ด้วยสัญญาที่กำลังจะหมดลงกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง หลังจบฤดูกาลนี้ ทำให้อนาคตของ ลิโอเนล เมสซี่ ถูกคาดเดาไปต่างๆนาๆว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป และหนึ่งในนั้นคือการย้ายไปเล่นใน เมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์
ก่อนหน้านี้อาจมีข่าวรีเทิร์น บาร์เซโลน่า แต่ข่าวที่ถูกพูดถึงล่าสุดคือมีรายงานว่า ดาวเตะทีมชาติอาร์เจนติน่า จ่อซบ อินเตอร์ ไมอามี่ ทีมดังที่มี เดวิด เบ็คแฮม อดีตสตาร์หน้าหล่อเป็นเจ้าของร่วม พร้อมประเคนค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ของลีก
ลีกลูกหนังแดนลุงแซม มีชื่อเสียงในฐานะลีกที่ดาวดังจากยุโรป ย้ายมาโกยเงินดอลลาร์ในช่วงบั้นปลายอาชีพ แม้ว่ามีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่แข้งเหล่านั้นก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำตลอด 26 ปีที่ลีกนี้ถือกำเนิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านไปพบ 10 แข้งที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ MLS ผ่านบทความนี้ โดยอ้างอิงค่าเหนื่อยจาก Capology เว็บไซต์บันทึกสถิติค่าเหนื่อยและการเงินในวงการลูกหนัง
ปล. ไม่นับเงินที่ได้จากสปอนเซอร์อื่นๆ หรือรายได้นอกเหนือจากสัญญากับต้นสังกัด ตอนค้าแข้งใน อเมริกา เพราะฉะนั้นในลิสต์นี้ไม่มีชื่อของ เบ็คแฮม อย่างแน่นอน
10.เจอร์เมน เดโฟ | 6 ล้านดอลลาร์
เจอร์เมน เดโฟ เป็น 1 ใน 3 นักเตะอังกฤษที่อยู่ในลิสต์นี้ และกลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีค่าตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ เมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ หลังย้ายมาร่วมทีม โตรอนโต้ เอฟซี ในปี 2014
อย่างไรก็ตาม หอกเลือดผู้ดี ก็ไม่ได้โชว์ฟอร์มดีมากนัก แม้ออกสตาร์ทได้สวยหรูกับ 12 ประตูในช่วง 21 เกมแรก แต่อาการบาดเจ็บในเวลาต่อมา ทำให้เขาไม่สามารถคืนฟอร์มแจ่มได้อีกเลย
สุดท้าย เดโฟ เลือกกลับไปค้าแข้งที่บ้านเกิดกับ ซันเดอร์แลนด์ ในปีต่อมา และอยู่ในถิ่น สเตเดี้ยม ออฟ ไลท์ เป็นเวลา 2 ปี
9.ไมเคิ่ล แบรดลี่ย์ | 6 ล้านดอลลาร์
ไมเคิ่ล แบรดลี่ย์ ย้ายมาเล่นให้ โตรอนโต้ เอฟซี ในช่วงเวลาเดียวกับที่ เดโฟ ย้ายมา แถมมีค่าตัวและค่าเหนื่อยเท่ากันด้วย แถมจุดจบของพวกเขาก็กลับแตกต่างกันออกไป
ขณะที่อดีตหอก สเปอร์ส บาดเจ็บจนฟอร์มร่วง กองกลางชาวอเมริกัน กลายเป็นตำนานของ โตรอนโต้ หลังลงเล่นให้ทีมมากกว่า 250 เกม พร้อมมีส่วนพาทีมคว้าแชมป์ เอ็มแอลเอส คัพ และ ซัพพอร์ตเตอร์ ชิลด์ ในปี 2017
แม้ค่าเหนื่อยของเขาในปัจจุบันจะลดลงตามวัย แต่กองกลางวัย 35 กะรัต ก็ยังเป็นผู้เล่นคนสำคัญของ โตรอนโต้ ไม่เปลี่ยนแปลง
8.แฟรงค์ แลมพาร์ด | 6 ล้านดอลลาร์
แฟรงค์ แลมพาร์ด ได้ย้ายมาเล่นให้กับ นิวยอร์ก ซิตี้ เอฟซี ในปี 2015 หลังลงเล่นให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สโมสรแม่ในเครือ ซิตี้ กรุ๊ป ในฤดูกาลก่อน
หลังจากนั้นอดีตกองกลางตำนาน เชลซี ก็ใช้เวลาในลีกแดนลุงแซมนานกว่า 18 เดือน แถมลงเล่นทีมเดียวกับ อันเดรีย ปีร์โล่ และ ดาบิด บีย่า ด้วย และผลงาน 15 ประตูจาก 31 นัด ใน 2 ฤดูกาลสุดท้ายก่อนแขวนสตั๊ดของ แลมพ์ ก็แสดงให้เห็นว่าเขายอดเยี่ยมจนช่วงสุดท้ายในอาชีพค้าแข้งเลย
7.ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ | 6 ล้านดอลลาร์
แฟนบอลพรีเมียร์ลีก หลายคนรู้จัก ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ ในช่วงที่ย้ายมาเล่นกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และปัจจุบันเขาก็ยังค้าแข้งอยู่ โดยเล่นให้กับ แอลเอ กาแล็คซี่ ตั้งแต่ปี 2020 พร้อมได้ค่าเหนื่อยต่อปีถึง 6 ล้านดอลลาร์เลย
ทว่าปีแรกที่ย้ายจาก เซบีย่า มาเล่นใน MLS เขายิงเพียง 2 ประตูจาก 12 เกม ซึ่งไม่แปลกที่แฟนๆของ กาแล็คซี่ จะผิดหวัง แต่เมื่อเริ่มปรับตัวได้ ชิชาร์ริโต้ ก็ค่อยๆคืนฟอร์มอีกครั้งในปี 2021 เมื่อยิงไป 17 ประตู แม้สุดท้ายทีมจะพลาดไปเล่นรอบเพลย์ออฟก็ตาม
6.บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ | 6.10 ล้านดอลลาร์
บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ เป็นอีกอดีตแข้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ย้ายมาเล่นในอเมริกา เพียงแต่เวลาช่วงเวลาที่เขาอยู่กับ ‘ปีศาจแดง’ ไม่ได้น่าจดจำเท่ากับสมัยเป็นตำนานของ บาเยิร์น มิวนิค ที่ประสบความสำเร็จในทุกรายการ
แต่ชื่อชั้นของอดีตกองกลางทีมชาติเยอรมัน ก็ยังพอช่วยให้เขากอบโกยเงินก้อนโตในช่วงบั้นปลายอาชีพ หลังย้ายไปเล่นกับ ชิคาโก้ ไฟร์ เมื่อปี 2017 พร้อมค่าเหนื่อย 6.10 ล้านดอลลาร์ต่อปี ก่อนแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในอีก 2 ปีต่อมา
5.สตีเว่น เจอร์ราร์ด | 6.20 ล้านดอลลาร์
หลังค้าแข้งใน ลิเวอร์พูล นานกว่า 17 ปี สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็ถูกปล่อยออกจากทีมในยุคที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส คุมทัพ ก่อนเลือกย้ายมาเล่นกับ แอลเอ กาแล็คซี่ ในปี 2015
ตำนานขวัญใจ เดอะ ค็อป ลงเล่นใน เมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ เป็นเวลา 2 ปี น่าเสียดายที่ตลอด 2 ปีในแดนลุงแซม อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษ ไม่สามารถพา กาแล็คซี่ ไปถึงแชมป์ได้เลย แม้ผ่านเข้ารอบเพลย์ออฟทั้ง 2 ฤดูกาลสุดท้ายในอาชีพค้าแข้งก็ตาม
4.ริคาร์โด้ กาก้า | 6.66 ล้านดอลลาร์
ไม่มีใครปฏิเสธว่า ริคาร์โด้ กาก้า คือหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของวงการฟุตบอลโลก โดยเฉพาะในปี 2007 ที่พีกสุดๆในอาชีพที่ช่วยให้ เอซี มิลาน คว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก มาครอง พร้อมคว้ารางวัล บัลลงดอร์ ในปีนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม หลังย้ายไปเล่นกับ เรอัล มาดริด ในปี 2009 กองกลางบราซิลเลี่ยน ก็เจอปัญหาอาการบาดเจ็บจนไม่สามารถคืนฟอร์มเก่งได้เหมือนเมื่อก่อน แต่ถึงอย่างนั้นการย้ายมาเล่นในอเมริกา ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอลแดนลุงแซมได้ไม่น้อย โดยย้ายซบ ออร์แลนโด้ ซิตี้ ในปี 2015
ทว่าช่วง 3 ปีใน MLS กาก้า ไม่สามารถพาทีมจาก ฟลอริด้า ไปเล่นในรอบเพลย์ออฟได้เลย แต่อย่างน้อยเขาก็แสดงให้เห็นถึงคลาสบอลระดับโลกอยู่บ้างในช่วงเวลานั้น ก่อนแขวนสตั๊ดในปี 2017
3.ซลาตัน อิบราฮิโมวิช | 7.2 ล้านดอลลาร์
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ย้ายมาเล่นให้กับ แอลเอ กาแล็คซี่ ในปี 2018 หลังแยกทางกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พร้อมสร้างผลงานสั่นสะเทือนเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ ตั้งแต่เกมแรก ด้วยการซัดไกลระยะ 45 หลาใส่ แอลเอ เอฟซี
แม้กองหน้าทีมชาติสวีเดน จะไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ใดๆได้เลยตลอด 2 ปีในอเมริกา แต่ผลงาน 52 ประตู จาก 58 นัด และการติดทีมยอดเยี่ยมของ MLS 2 ฤดูกาลติด ก็เพียงพอทำให้ ซลาตัน กลายเป็นตำนานของลีกอเมริกา และแอลเอ กาแล็คซี่ เช่นกัน
2.เชอร์ดาน ชากิรี่ | 7.35 ล้านดอลลาร์
หลังอดทนกับบทบาทตัวสำรองมานานสองนาน เชอร์ดาน ชากิรี่ ก็เลือกลา ลิเวอร์พูล มาเฉิดฉายกับ โอลิมปิก ลียง ในปี 2021 แต่เมื่อล้มเหลวในลีกเอิง เขาก็เลือกไปโกยเงินกับ ชิคาโก้ ไฟร์ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 พร้อมค่าเหนื่อยถึง 7.35 ล้านดอลลาร์ โดยที่ยังไม่บวกโบนัส
แต่อย่างร้อย ปีกร่างเล็กแต่กล้ามโต ก็ทำผลงานในอเมริกาได้ดีกว่าตอนเล่นใน ฝรั่งเศส เยอะ หลังทำไป 7 ประตูกับ 6 แอสซิสต์ ในปีแรกที่ MLS จนได้ติดทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ไปเล่นฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์
แต่สถานะการเป็นแข้งที่มีค่าเหนื่อยสูงสุดในลีกแดนลุงแซมของ ชากิรี่ ก็ถูกทำลายลง หลังย้ายมาได้ไม่นาน
1.ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ | 14 ล้านดอลลาร์
ลอเรนโซ่ อินซินเญ่ ทำลายสถิติค่าเหนื่อยของ ชากิรี่ อย่างราบคาบ หลังเลือกไม่ต่อสัญญาใหม่กับ นาโปลี และย้ายมาเล่นกับ โตรอนโต้ เอฟซี ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา โดยเซ็นสัญญายาว 4 ปี พร้อมค่าเหนื่อยก้อนโตถึง 14 ล้านดอลลาร์
โดยค่าเหนื่อยที่ดาวเตะทีมชาติอิตาลี ได้รับ มากกว่าค่าเหนื่อยที่ 17 จาก 28 ทีมในเมเจอร์ลีกซ็อคเกอร์ต้องจ่ายรวมกันให้นักเตะตัวเองเสียอีก
ผลงานในปีแรกก็น่าพอใจ หลังทำไป 6 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ จาก 11 นัดในลีก และต้องมาดูกันว่าในฤดูกาลต่อไป อินเซินเญ่ จะพาทีมคว้าแชมป์ เอ็มแอลเอส คัพ เป็นสมัยที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของสโมสรได้หรือไม่