เรียบร้อยโรงเรียนจีน อุสมาน เดมเบเล่ เป็นสตาร์ดังคนล่าสุดที่จะพลาดไปวาดลวดลายใน ยูโร 2020 กลางปีนี้แน่นอนแล้ว
หลัง บาร์เซโลน่า ต้นสังกัดออกมายืนยันว่า “พ่อเลี้ยงแดนน้ำหอม” จะต้องพักยาว 6 เดือน หลังเพิ่งเดินทางไปผ่าตัดอาการเจ็บต้นขาที่ประเทศฟินแลนด์
จริงๆ เดมเบเล่ ควรจะมีกราฟชีวิตที่พุ่งกว่านี้ มูลค่าของเขาสูงมากถึงขนาด บาร์เซโลน่า มองเป็นตัวแทนของ เนย์มาร์ แต่ทุกวันนี้มีแต่เสียงเรียกร้องสตาร์แซมบ้า แค่นี้ก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวล้มเหลวแค่ไหน
เรื่องฝีเท้่าไม่มีใครครหา แต่อาการบาดเจ็บคืออุปสรรคใหญ่ อยู่ บาร์ซ่า 3 ฤดูกาลบาดเจ็บไป 9 ครั้ง หายไป 514 วัน พลาดไปทั้งหมด 63 เกม ฉุดทุกอย่างที่ควรจะเป็น
เรื่องนี้คือปัญหาใหญ่ที่ไม่ควรมองข้าม แม้อายุของ เดมเบเล่ จะเพียง 22 ปี แต่ก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วหลายราย ที่แก้ไม่ตกเรื่องกระดูกเปราะจนสุดท้ายต้องจบอาชีพแบบไม่มีคนจำ
10 คนต่อจากนี้คือตัวอย่างชั้นดี ที่พ่อเลี้ยงจาก บาร์เซโลน่า ควรศึกษาหากไม่อยากให้อนาคตของตัวเองต้องเดินบนเส้นทางเดียวกัน
10.โยอัน กูร์กรุฟฟ์
สมัยรุ่นๆ นี่คือดาวเตะที่ถูกยกย่องให้เป็น “นิวซีดาน” ด้วยลีลาการเลี้ยงที่พริ้วไหว การใช้ “ซีดานเทิร์น” ที่คล่องแคล่ว การก้าวไปเล่นให้ทีมใหญ่อย่าง เอซี มิลาน มีแต่คนชื่นชมและรอดูการเติบโตสู่้แข้งเวิลด์คลาส
ทว่าทุกอย่างไม่สวยหรูแบบนั้น นับเฉพาะที่มีบันทึกไว้ในเว็บ ทรานเฟอร์มาร์เก็ต ตั้งแต่ปี 2009 เจ้าตัวก็เดี้ยงไปถึง 19 ครั้ง เรียกว่าทุกอย่างพังเป็นราบคาบ ทุกวันนี้ในวัย 33 ปีแม้จะยังไม่เลิกเล่นแต่ก็โยกไปอยู่กับ ดิฌง ทีมท้ายตารางของลีก เอิง ในเวลานี้
9.เควิน สตรอทมัน
หากจะหานักเตะสักคนในยุคนี้ที่มีชีวิตที่น่าสงสาร เชื่อเหลือเกินว่าชื่อของ สตรอทมัน ต้องอยู่ในสารบบอย่างแน่นอน เพราะสมัยรุ่งๆ ที่เล่นให้กับ พีเอสวี เคยถูกเรียกขานว่า “รอย คีนของ ฮอลแลนด์”
อย่างไรก็ตามการย้ายมาเล่นให้ โรม่า กลายเป็นฝันร้ายที่สุดในอาชีพ เจ้าตัวบาดเจ็บถึง 8 ครั้งกับยอดทีมจากกรุงโรม เคยผ่าตัดหนักที่เข่าถึง 2 รอบ รวมเวลาแล้วก็มากถึง 721 วันที่ต้องร้างจากสนามแข่งขัน
ปัจจุบัน สตรอทมัน ย้ายมาเล่นให้กับ มาร์กเซย ซึ่งต้องขอบคุณสวรรค์ที่ไม่กลั่นแกล้งอะไรเพิ่มเติม ได้ลงเล่นเต็มเม็ดเต็มหน่วย และยังไม่มีอาการบาดเจ็บรุนแรงแต่อย่างใด
8.โจนาธาน วู้ดเกต
อดีตปราการหลังดาวรุ่งรุ่นราวคราวเดียวกับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ สมัยอยู่ ลีดส์ เจ้่าตัวถูกยกย่องว่าจะกลายเป็นหนึ่งในปราการหลังชั้นยอดของทีมชาติอังกฤษ ทว่าทุกอย่างก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะอาการบาดเจ็บที่ทำให้เขาเดินเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
แม้จะมีโปรไฟล์กระดูกยูง แต่ก็หน้าเหลือเชื่อไม่น้อยที่เจ้าตัวกลับได้ย้ายไปเล่นให้ เรอัล มาดริด ซึ่งทุกอย่างก็เลวร้ายสุดๆ ตั้งแต่เกมแรกที่ทั้งยิงประตูตัวเองและโดนใบแดง รวมถึง 2 ปีที่ได้ลงเล่นเพียง 14 นัดเท่านั้น
7.อเล็กซานเดอร์ ปาโต้
ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่สมัยย้ายกลับไปเล่นให้ โครินเธียนส์ ในบ้านเกิด เจ้าของฉายา “เป็ดน้อย” จะกล่าวโทษทีมแพทย์ของ เอซี มิลาน ที่ทำให้เส้นทางของเขาไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็น หลังต้องบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง พลาดลงสนามไม่ต่ำกว่า 350 วัน
จากดาวรุ่งแซมบ้า ที่ใครต่างคาดหวังให้เป็นสตาร์ดวงใหม่แทน โรนัลโด้ ทว่าสุดท้ายกลายเป็นเพียงนักเตะพเนจรเคยย้ายมาเล่นในลีกจีน และไม่เคยกลับไปติดทีมชาติบราซิล อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2013
6.เอดูอาร์โด้ ดา ซิลวา
เอาจริงๆ สถิติบาดเจ็บของ “ดูดู้” อาจจะไม่มากมายเหมือนคนอื่นๆ แต่สำหรับหอกแซมบ้ารายนี้การบาดเจ็บหนักเพียงครั้งเดียวสมัยเล่นให้กับ อาร์เซนอล คือที่สุดของชีวิตที่เป็น “จุดเปลี่ยน” สำคัญในเส้นทางอาชีพที่สุดปวดร้าว
การเสียบอย่างบ้าคลั่งของ มาร์ติน เทย์เลอร์ แข้งของ เบอร์มิงแฮม ทำให้ เอดูอาร์โด้ ต้องบอกเจ็บหนักพักไปนานเกือบปี ซึ่งหลังหายมาระดับการเล่นของเขาก็ไม่เหมือนเดิม ซึ่งถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ เจ้าตัวคงมีชีวิตที่รุ่งโรจน์ในเส้นทางลูกหนังไปแล้ว
5.โฮลเกอร์ บาดสตูเบอร์
ปราการหลังชาวเยอรมัน นับเป็นอีกหนึ่งแข้งที่ชีวิตลูกหนังต้องพังทลายเพราะอาการบาดเจ็บ ทั้งๆ ที่ช่วงที่แจ้งเกิดใหม่ๆ ในวัย 19 ปีเจ้าตัวสามารถยึดตัวจริงของทีม บาเยิร์น และก้าวไปติดทีมชาติเยอรมัน ลุยทั้งฟุตบอลโลก 2010 และยูโร 2012 มาแล้ว
ทว่าอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้ฉีกในปี 2012 ทำให้เจ้าตัวต้องพักนานถึง 532 วัน หรือเกือบ 2 ปี พลาดลงสนามมากถึง 124 เกม และกลายมาเป็นนักเตะกระดูกเปราะเจ็บเพิ่มอีกมากมายหลายครั้ง ไม้เว้นกระทั่งสโมสรปัจจุบันอย่าง สตุ๊ตการ์ต ที่ตามข้อมูลก็เดี้ยงไปแล้วถึง 10 หน
4.โอเว่น ฮาร์กรีฟส์
จากมิดฟิลด์พันธ์แกร่งที่ลงสนามให้กับ บาเยิร์น เกือบ 150 เกม ทว่า 4 ปีที่ย้ายมาเล่นให้ แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นเรื่องราวสยดสยองเพราะตลอด 4 ปีเจ้าตัวได้ลงเล่นเพียง 27 นัดในพรีเมียร์ลีก โดยมีถึง 23 เกมที่มาจากการค้าแข้งปีแรก
“คุณคงต้องไปถามพวกเขา(ผีแดง)ว่ารักษาผมผิดวิธีหรือเปล่า มันมีช่วงเวลาสำคัญๆอยู่ 2-3 ครั้ง ผมเล่นตลอดซีซั่นแรก ผมเข้ารับการฉีดยาบ้าง และหลังจากนั้นเข่าผมก็ไม่เหมือนเดิมอีก” หนึ่งบทสัมภาษณ์ของเจ้าตัวหลังต้องบาดเจ็บรวมถึง 718 วัน
หลังออกจาก “ผีแดง” เจ้าตัวทำคลิปเรียกความฟิตลงยูทูปและได้ย้ายไป แมนฯ ซิตี้ แต่สุดท้ายก็ได้เล่นเพียงเกมเดียวเท่านั้น เหมือนที่เจ้าตัวเคยพูดไว้ว่า “ผมรู้สึกเหมือนตัวเองทำมาจากแก้ว”
3.เลดลี่ย์ คิง
“ถึงแม้ว่าเขาจะเล่นเพียง 20 เกมต่อฤดูกาล มันก็คุ้มค่าสำหรับเรา เพราะเขาเป็นคนที่เก่งมาก เขาทำให้เรามีโอกาสมากยิ่งขึ้นในการเก็บชัยชนะ” หนึ่งในคำพูดระดับตำนานของ แฮร์รี่ เรดแนปป์ ที่บอกถึงความเก่งกาจของ เล็ดลี่ย์ คิง สมัยที่ทำงานร่วมกันที่ สเปอร์ส
ขณะที่ เธียร์รี่ อองรี ยอดกองหน้าแห่งยุคของ อาร์เซนอล ก็ชื่นชมว่า คิง คือกองหลังที่ดีที่สุดที่เขาเผชิญหน้าด้วย โดยมีจุดเด่นที่การเข้าสกัดที่แม่นยำ โดยแทบไม่เสียฟาวล์เลย
น่าเสียดายที่อาการเจ็บเข่าของเขามันเรื้อรังเกินเยียวยา ตั้งแต่ครั้งแรกในปี 2007 เจ้าตัวมีเจ็บยาวพักขั้นต่ำเป็นเดือนแทบทุกซีซั่น ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดในปี 2012 ในวัย 32 ปี
2.อาบู ดิอาบี้
พูดกันตรงๆ เอายุคที่ผู้เขียนทันดูหากพูดถึงนักเตะที่เจ็บมากที่สุด อาบู ดิอาบี้ คือตัวท็อประดับตำนานเลยก็ว่าได้ และเป็นหนึ่งในนักเตะ อาร์เซนอล ที่พูดได้เต็มปากว่าเสียดายพรสวรรค์ที่สุดแล้ว
เจ้าของฉายา “นิววิเอร่า” มีทุกอย่างที่กองกลางพึงมี รูปร่างสูงยาว เทคนิคยอดเยี่ยม ครองบอลเหนียวแน่น พลังยิงล้นเหลือ แต่ทุกอย่างไม่เปล่งแสงออกมาเพราะต้องดำเนินชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในโรงพยาบาลมากกว่าสนามบอล
ดิอาบี้ บาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 35 ครั้งสมัยเล่นให้ทีม “ปืนใหญ่” ก่อนย้ายไป มาร์กเซย ก็ยังเจ็บซ้ำเจ็บซ้อน จนในที่สุดตัดสินใจแขวนสตั๊ดไปแล้วด้วยวัย 32 ปี เมื่อต้นปีที่แล้วนิเอง
1.เซบาสเตียน ไดส์เลอร์
นิยามสั้นๆ ของ “บาสตี้” คือ “นักเตะที่เก่งที่สุดที่มีชะตากรรมที่เศร้าที่สุด” หลังโดยอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก จนถึงขั้นกลายเป็นยาพิษที่บั่นทอนจิตใจถึงขั้นยอมยกธงขาวประกาศแขวนสตั๊ดในวัยเพียง 27 ปีเท่านั้น
ไดส์เลอร์ ถูกยกให้เป็นแข้งพรสวรรค์ที่จะก้าวมาเป็นผู้นำต่อจาก แอนดี้ โมลเลอร์, โธมัส เฮลเลอร์, มาริโอ บาสเลอร์ รวมถึง สเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก หลังมีความสามารถในการขึ้นเกม เทคนิคที่ยอดเยี่ยม รวมถึงเท้่าขวาที่เปิดบอลได้อย่างแม่นยำ
เสียดายทุกอย่างมีเวลาอันจำกัด และสุดท้ายนักเตะคนนี้ก็ไม่ได้เฉิดฉายอย่างที่คนเยอรมัน คาดหวัง