ศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 2022 หรือ World Cup ครั้งที่ 22 กำลังจะเริ่มต้นขึ้นที่ประเทศกาตาร์บนดินแดนตะวันออกกลางที่มีความรุงรังและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่ที่พวกเขาได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพ
โดยเวิลด์ คัพ หนนี้ทีมอย่าง “แซมบ้า” บราซิล แชมป์ 5 สมัย ถูกยกให้เป็นทีมเต็งหนึ่งที่จะคว้าแชมป์ไปครองด้วยศักยภาพผู้เล่นความลงตัวต่าง ๆ บวกกับสภาพอาการที่ร้อน แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ฟุตบอลโลกโยกมาหวดกันในช่วงหน้าหนาว และสนามติดเครื่องปรับอากาศก็ตาม
ซึ่งแน่นอนว่าในทุก ๆ ทัวร์นาเมนท์ของฟุตบอลโลกมักจะมีทีม Underdog หรือม้ามืดประจำการแข่งขัน วันนี้เราหยิบ 5 ทีมที่ลุ้นทำเซอร์ไพรส์ในศึกฟุตบอลโลก 2022 มาฝากจะมีทีมไหนบ้างไปดูกันเลย
๐ สหรัฐอเมริกา
นี่คือ 1 ใน 13 ชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย และสามารถจบอันดับ 3 ในทัวร์นาเมนท์นั้น พวกเขาเรียกฟุตบอลว่า Soccer เคยเป็นเจ้าภาพมาแล้วเมื่อปี 1994 บรรยากาศผู้ชมเกือบแสนคนในเกมนัดชิงชนะเลิศระหว่าง บราซิลพบกับอิตาลีที่สนามโรส โบวล์ ยังน่าตื่นตาตื่นใจมาจนถึงทุกวันนี้
สหรัฐอเมริกา ชุดนี้ถือว่าเป็นทีม “โกลเด้น เจเนเรชั่น” รวมผู้เล่นชั้นยอดที่ค้าแข้งในยุโรปอย่างมากมาย อาทิ เซร์กิโญ่ เดสต์, แอนโทนี่ โรบินสัน, ไทเลอร์ อดัมส์, เบรนเด้น แอรอนสัน, คริสเตียน พูลิซิซ รวมไปถึงโจวานนี่ เรย์น่า เรียกได้ว่าเราคุ้นเคยกับผู้เล่นเหล่านี้กันเป็นอย่างดี
โดยผลงานที่ดีที่สุดของสหรัฐอเมริกา ในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไม่นับปี 1930 คือการทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีม เมื่อ 20 ปีที่แล้ว หรือฟุตบอลโลกฉบับเอเชียที่ประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ผู้เล่นอย่าง แลนดอน โดโนแวน คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมในทัวร์นาเมนท์นั้น เมื่อดูจากกลุ่มที่พวกเขาอยู่ถือว่ามีโอกาสสร้างเซอร์ไพรส์ได้เหมือนกัน เพราะอยู่ร่วมกับ อังกฤษ, เวลส์ และอิหร่าน
26 ขุนพลทีมชาติสหรัฐอเมริกาลุยศึกฟุตบอลโลก 2022
กุนซือ: เกร็ก เบอร์ฮัลเตอร์ (สหรัฐอเมริกา)
ผู้รักษาประตู: แม็ตต์ เทอร์เนอร์ (อาร์เซน่อล), ฌอน จอห์นสัน (นิวยอร์ค เอฟซี) และอีธาน ฮอร์วาธ (ลูตัน ทาวน์)
กองหลัง: เซร์กิโญ่ เดสต์ (เอซี มิลาน), วอล์คเกอร์ ซิมเมอร์แมน (แนชวิลล์), ดิอังเดร เยดลิน (อินเตอร์ ไมอามี่), แอนโทนี่ โรบินสัน (ฟูแล่ม), ทิม รีม (ฟูแล่ม), โจ สกัลลี่ (มึนเช่นกลัดบัค), แช็ค มัวร์ (แนชวิลล์), คาเมร่อน คาร์เตอร์-วิคเกอร์ส (เซลติก) และแอร่อน ลอง (นิวยอร์ก เรดบูลล์ส)
กองกลาง: เบรนเด้น แอรอนสัน (ลีดส์ ยูไนเต็ด), ไทเลอร์ อดัมส์ (ลีดส์ ยูไนเต็ด), เคลลีน อคอสต้า (แอลเอ เอฟซี), ลูก้า เดอ ลา ตอร์เร่ (เซลต้า บีโก้), เวสตัน แม็คเคนนี่ (ยูเวนตุส), ยูนุส มูซาห์ (บาเลนเซีย) และคริสเตียน โรลแดน (ซีแอทเทิ้ล ซาวน์เดอร์ส)
กองหน้า: คริสเตียน พูลิซิช (เชลซี), เฆซุส เฟเรย์ร่า (เอฟซี ดัลลาส), จอร์แดน มอร์ริส (ซีแอทเทิ้ล ซาวน์เดอร์ส), โจวานนี่ เรย์น่า (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์), จอช ซาร์เจนท์ (นอริช ซิตี้), ทิม เวอาห์ (ลีลล์) และฮาจี้ ไรท์ (อันตาลายาสปอร์)
๐ เกาหลีใต้
“โสมขาว” ทีมชาติเกาหลีใต้ มักจะทำเซอร์ไพรส์ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เสมอ ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พวกเขาสามารถล้มทีมแชมป์เก่าอย่าง “อินทรีเหล็ก” ทีมชาติเยอรมนี มาแล้ว ทีมชุดนี้คุมทัพโดย เปาโล เบนโต้ อดีตมิดฟิลด์ตัวรับทีมชาติโปรตุเกส
ขุมกำลังถือว่าพร้อมเมื่อได้ ซน ฮึง-มิน คีย์แมนคนสำคัญที่ผ่าตัดกระดูกบริเวณใบหน้ากลับมา พร้อมด้วยผู้เล่นที่ค้าแข้งในยุโรปที่ผลงานกำลังท็อปฟอร์มคือแนวรับอย่าง คิม มิน-แจ ที่เล่นได้แข็งแกร่งสุด ๆ กับนาโปลี ในอิตาลี
นอกจากนี้พวกเขายังเป็นทีมจากเอเชียที่เข้าร่วมทัวร์นาเมนท์ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมากที่สุด ถึง 10 ครั้ง หนนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 11 ของพวกเขา โดยผลงานที่ดีที่สุดคือการคว้าอันดับ 4 ในปี 2002 ที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพกับญี่ปุ่น ล้มทั้ง อิตาลี และสเปน แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์มากมายว่าพวกเขาโกงก็มา
ในศึกฟุตบอลโลก 2022 ต้องมาลุ้นกันว่า เกาหลีใต้ จะไปได้ไกลแค่ไหน เพราะต้องยอมรับว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มที่โหดเลยทีเดียว ร่วมกับ โปรตุเกส, อุรุกวัย และกาน่า ที่เรียกได้ว่าสูสีมีโอกาสลุ้นเข้ารอบกันได้ทุกทีม
26 ขุนพลทีมชาติเกาหลีใต้ลุยศึกฟุตบอลโลก 2022
กุนซือ: เปาโล เบนโต้ (โปรตุเกส)
ผู้รักษาประตู : คิม ซอง-กิว (อัล ชาบับ), โจ ฮยอน-วู (อุลซาน ฮุนได) และซน บุม-คึน (ยอนบัค ฮุนได มอเตอร์ส)
กองหลัง : คิม มิน-แจ (นาโปลี), คิม ยอง-กวอน (อุลซาน ฮุนได), ควอน คยอง-วอน (กัมบะ โอซาก้า), โช ยู-มิน (แดยอน ฮานาซิติเซ่น), คิม มุน-ฮวาน (ยอนบุค ฮุนได มอเตอร์ส), ยุน ยอง-กีว (เอฟซี โซล), คิม แต-ฮวาน (อุลซาน ฮุนได), คิม จิน-ซู (ยอนบัค ฮุนได มอเตอร์ส) และฮง ชุล (แดกู เอฟซี)
กองกลาง : ยอง วู-ยัง (อัล ซาดด์), ซน จุน-โอ (ชางดง ไทซาน), พัค ซึง-โฮ (ยอนบัค ฮุนได มอเตอร์ส), ฮวาง อิน-บอม (โอลิมเปียกอส), อี แจ-ซอง (ไมนซ์), ควอน ชาง-ฮุน (กิมชอน ซางมู), นา ซัง-โฮ (เอฟซี โซล) และซอง มิน-คิว (ยอนบัค ฮุนได มอเตอร์ส)
กองหน้า : ฮวาง อุย-โจ (โอลิมเปียกอส) และโช กู-ซัง (ยอนบัค ฮุนได มอเตอร์ส), ควาง ฮี-ชาน (วูล์ฟแฮมป์ตัน), จอง วู-ยอง (ไฟร์บวร์ก), อี คัง-อิน (มายอร์ก้า และซน ฮึง-มิน (สเปอร์ส)
๐ เซอร์เบีย
ขุนพล “เซิร์บ” หรือทีมชาติเซอร์เบีย พวกเขากลับมาอีกครั้ง หวังจะลบภาพอาถรรพ์ เพราะนับตั้งแต่ที่แยกประเทศจาก ยูโกสลาเวีย มาเป็น เซอร์เบียและมอนเตเนโกร หรือเซอร์เบีย ยังไม่สามารถผ่านรอบแบ่งกลุ่มในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เลย เพราะทั้งปี 2010 และปี 2018 ต่างก็ตกที่รอบแรก แม้ว่าตัวผู้เล่นนั้นถือว่าไม่ขี้เหล่อะไร แต่รวมกันทีไรวิบัติเมื่อนั้น
ชุดนี้คุมทีมโดย ดราแกน สตอยโควิช เพลย์เมกเกอร์ระดับตำนานที่เคยโชว์เพลงแข้งลงเล่นให้กับทีมชาติยูโกสลาเวียปะทะกับอาร์เจนติน่าของ ดีเอโก้ มาราโดน่า มาแล้วในรอบ 8 ทีมของศึกฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี
เมื่อดูจากตัวผู้เล่นถือว่ามีขุมกำลังที่ดีใช้ได้เลยทีเดียว แนวรุกนำทัพมาโดย ดูซาน ทาดิช, ฟิลิป คอสติช รวมไปถึงคู่หัวหอกจอมถล่มประตูอย่าง ดูซาน วลาโฮวิช และอเล็กซานดาร์ มิโตรวิช เรียกได้ว่าประมาทพวกเขาไม่ได้เหมือนกัน โดยอยู่ในกลุ่ม จี ถือว่าเป็น “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ร่วมกับเต็งหนึ่งอย่าง บราซิล, สวิตเซอร์แลนด์ และแคเมอรูน
26 ขุนพลทีมชาติเซอร์เบียลุยศึกฟุตบอลโลก 2022
กุนซือ: ดราแกน สตอยโควิช (เซอร์เบีย)
ผู้รักษาประตู: เปแดร็ก รายโควิช (มายอร์ก้า), มาร์โก ดมิโตรวิช (เซบีย่า) และวานยา มิลินโควิช-ซาวิช (โตริโน่)
กองหลัง: นิโกล่า มิเลนโควิช (ฟิออเรนติน่า), สเตฟาน มิโตรวิช (เคตาเฟ่), สตราฮินย่า พาฟโลวิช (เรดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก), มิลอส เวลจ์โควิช (เบรเมน), ฟิลิป มลาเดโนวิช (ลีเกีย วอร์ซอว์), เซอร์ดาน บาบิช (อัลเมเรีย), สตราฮินย่า เอราโควิช (เซอร์เวนา ซเวซด้า)
กองกลาง: เซอร์เกย์ มิลินโควิช-ซาวิช (ลาซิโอ), ฟิลิป คอสติช (ยูเวนตุส), เนมานยา กูเดลจ์ (เซบีย่า), เนมานย่า มักซิโมวิช (เคตาเฟ่), ซาซ่า ลูคิช (โตริโน่), อันดริยา ซิฟโควิช (พีเอโอเค), ดาร์โก ลาโซวิช (เวโรน่า), มาร์โก กรูยิช (ปอร์โต้), อูรอส ราซิช (บราก้า) และอิวาน อิลิช (เวโรน่า)
กองหน้า: อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช (ฟูแล่ม), ดูซาน ทาดิช (อาแจ็กซ์), ลูก้า โยวิช (ฟิออเรนติน่า), ดูซาน วลาโฮวิช (ยูเวนตุส), ฟิลิป ดูริซิช (ซามพ์โดเรีย) และเนมานย่า ราดอนยิช (โตริโน่)
๐ เดนมาร์ก
“โคนม” ทีมชาติเดนมาร์ก อีกหนึ่งทีมจอมสร้างเซอร์ไพรส์ในทัวร์นาเมนท์ใหญ่ ๆ หากจำกันได้พวกเขาเคยสร้างเทพนิยายเดนส์ด้วยการผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 1992 ที่ในตอนนั้นมาในฐานะทีมที่ได้ส้มหล่นจากการที่ยูโกสลาเวียถูกลงโทษแบนเพราะมีสงครามกลางเมือง
ว่ากันในศึกฟุตบอลโลก เดนมาร์ก เคยสร้างความตื่นตาตื่นในปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก พวกเขาฟอร์มร้อนแรงสุด ๆ เอาชนะ 3 เกมรวด ปราบทีมอย่าง เยอรมันตะวันตก, สกอตแลนด์ และถล่ม อุรุกวัย ที่นำโดยจอมทัพอย่าง “เจ้าชายลูกหนัง” เอ็นโซ่ ฟรานเชสโคลี่ ส่วนผลงานที่ดีที่สุดคือปี 1998 สามารถเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย
ในฟุตบอลโลกหนนี้ เดนมาร์ก กลายเป็นทีมที่น่าสนใจ เพราะขุมกำลังแทบจะไม่เปลี่ยนจากยูโร 2020 ที่สามารถทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แคสเปอร์ ยูลมันด์ ยังคุมทีมเหมือนเดิม แกนหลักได้ คริสเตียน เอริคเซ่น กลับมา ผนึกกำลังกับ ปีแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ค และยอดดาวเตะอีกหลายรายที่ค้าแข้งอยู่ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ
พวกเขาอยู่ในกลุ่มดี ร่วมกับแชมป์เก่าอย่าง ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย และตูนิเซีย เรียกได้ว่าสู้ได้ทุกทีมเลยทีเดียว ดูแล้วการผ่านเข้ารอบ 16 ทีมไม่น่าจะเป็นงานยากสำหรับพวกเขา ส่วนจะไปได้ลึกแค่ไหนต้องรอติดตามดู
26 ขุนพลทีมชาติเดนมาร์กลุยศึกฟุตบอลโลก 2022
กุนซือ: แคสเปอร์ ยูลมันด์
ผู้รักษาประตู: แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล (นีซ), เฟรเดริค รอนนาว (อูนิโอน เบอร์ลิน) และโอลิเวอร์ คริสเตนเซ่น (แฮร์ธา เบอร์ลิน)
กองหลัง: ซิมง เคียร์ (เอซี มิลาน), โยอาคิม แอนเดอร์เซ่น (คริสตัล พาเลซ), โยอาคิม เมห์เล่ (อตาลันตา), อันเดรียส คริสเตนเซ่น (บาร์เซโลนา), ราสมุส คริสเตนเซ่น (ลีดส์ ยูไนเต็ด), เยนส์ สตรีเกอร์ ลาร์เซ่น (แทร็บซอนสปอร์), วิคเตอร์ เนลส์สัน (กาลาตาซาราย), ดาเนียล วาสส์ (บรอนด์บี) และอเล็กซานเดอร์ บาห์ (เบนฟิก้า)
กองกลาง: คริสเตียน อีริคเซ่น (แมนฯ ยูไนเต็ด), ปิแอร์-เอมิล ฮอยเบียร์ค (สเปอร์ส), แมตเธียส เยนเซ่น (เบรนท์ฟอร์ด), โธมัส เดลานีย์ (เซบีย่า) และคริสเตียน นอร์การ์ด (เบรนท์ฟอร์ด)
กองหน้า: มิคเคล ดามส์การ์ด (เบรนท์ฟอร์ด), อันเดรียส สคอฟ โอลเซ่น (คลับ บรูช), เยสเปอร์ ลินด์สตรอม (แฟรงค์เฟิร์ต), อันเดรียส คอร์เนลิอุส (โคเปนเฮเกน), มาร์ติน เบรธเวท (เอสปันญอล), แคสเปอร์ โดลเบิร์ก (เซบีญ่า), โยนาส วินด์ (โวล์ฟสบวร์ก), ยูสซุฟ โพลเซ่น (แอร์เบ ไลป์ซิก) และโรเบิร์ต สคอฟ (ฮอฟเฟนไฮม์)
๐ อุรุกวัย
“จอมโหด” ทีมชาติอุรุกวัย ที่ไม่ใช่อุรุพงษ์ แฮร่.. พวกเขาคือทีมแรกที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองได้ 2 สมัย ในปี 1930 (เป็นเจ้าภาพ) และ1950 ที่บราซิล หลังจากนั้นอดีตทีมที่เคยยิ่งใหญ่ในยุคเริ่มต้นของวงการลูกหนังก็ไม่เคยคว้าแชมป์ได้อีกเลย หากย้อนกลับไปผลงานที่ดีที่สุดในยุคมิลลิเนียน คือการคว้าอันดับ 4 ในศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอริกาใต้
แกนหลักจากทีมชุดนั้นอย่าง เฟอร์นานโด มุสเรล่า, ดิเอโก้ โกดิน, มาร์ติน กาเซเรส, เอดินสัน คาวานี่ และหลุยส์ ซัวเรซ ยังเล่นอยู่ ซึ่งทัวร์นาเมนท์นี้น่าจะเป็นรายการทิ้งทวนสำหรับพวกเขา แต่ตัวกุนซือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น “ขรัวเฒ่า” อย่าง ออสการ์ วอชิงตัน ตาบาเรซ ที่คุมทัพมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 2006 ได้วางมือไป ส่งไม้ต่อให้คนรุ่นใหญ่อย่าง ดีเอโก้ อลอนโซ่ ได้ทำทีมแทน
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจสำหรับทีมชาติอุรุกวัยชุดนี้คือสายเลือดใหม่ที่ก้าวขึ้นมา ผู้เล่นอย่าง โรดริโก้ เบนตานคูร์ แม้จะเคยสัมผัสในเวทีฟุตบอลโลกมาแล้วในปี 2018 ที่รัสเซีย ตอนนี้เขาเติบโตขึ้นกว่าเดิม พร้อมเป็นหัวใจหลักคุมแดนกลาง เช่นเดียวกับสองผู้เล่นระดับท็อปอย่าง เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ และดาร์วิน นูนเญซ เมื่อดูจากขุมกำลังแล้วถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว
แต่งานของอุรุกวัยนั้นไม่ง่ายอย่างแน่นอน เพราะรอบแรกก็อยู่ในกลุ่ม จี ร่วมกับ โปรตุเกส, กาน่า และเกาหลีใต้ เรียกได้ว่าทุกทีมนั้นมีโอกาสที่จะลุ้นเข้ารอบกันได้หมด น่าสนใจเลยทีเดียวสำหรับกลุ่มนี้การต่อสู้น่าจะฟาดฟันกันอย่างเข้มข้นในทุก ๆ เกม
26 ขุนพลทีมชาติอุรุกวัยลุยศึกฟุตบอลโลก 2022
กุนซือ: ดีเอโก้ อลอนโซ่ (อุรุกวัย)
ผู้รักษาประตู: เฟอร์นานโด มุสเลร่า (กาลาตาซาราย), เซร์จิโอ โรเชต์ (นาซิอองนาล) และเซบาสเตียน โซซ่า (อินเดเพนดิเอนเต้)
กองหลัง: ดีเอโก้ โกดิน (เบเลซ ซาร์ฟิลด์), มาร์ติน คาเซเรส (แอลเอ กาแล็กซี่), เซบาสเตียน โคอาเตส (สปอร์ติ้ง ลิสบอน), โฮเซ่ กิเมเนซ (แอตฯ มาดริด), โรนัลด์ อเราโฮ่ (บาร์เซโลน่า), มาติอัส วิญ่า (โรม่า), มาธิอัส โอลิเวร่า (นาโปลี), กีเยร์โม่ บาเรล่า (ฟลาเมงโก้) และโฮเซ่ หลุยส์ โรดริเกวซ (นาซิอองนาล)
กองกลาง: มาติอัส เวซิโน่ (ลาซิโอ), โรดริโก้ เบนตานคูร์ (ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์), เฟเดริโก้ บัลเบร์เด้ (เรอัล มาดริด), ลูคัส ตอร์เรร่า (กาลาตาซาราย), มานูเอล อูการ์เต้ (สปอร์ติ้ง ลิสบอน), นิโคลัส เด ลา ครูซ (ริเวอร์ เพลท) และจอร์เจี้ยน ดิ อาร์ราสเกต้า (ฟลาเมงโก้)
กองหน้า: ดาร์วิน นูนเญซ (ลิเวอร์พูล), หลุยส์ ซัวเรซ (นาซิอองนาล), เอดินสัน คาวานี่ (บาเลนเซีย), แม็กซิมิเลียโน่ โกเมซ (แทร็บซอนสปอร์), ฟาคุนโด้ เปลลิสตรี้ (แมนฯ ยูไนเต็ด), ออกุสติน คาน็อบบิโอ (แอตเลติโก้ พาราเนนเซ่) และฟาคุนโด้ ตอร์เรส (ออร์แลนโด้ ซิตี้)