บังโมขึ้นเบอร์หนึ่ง : 8 แข้งแฮตทริกเร็วสุดใน UCL

บังโมขึ้นเบอร์หนึ่ง : 8 แข้งแฮตทริกเร็วสุดใน UCL

การทำแฮตทริกได้ในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก ถือเป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว แต่คงยอดเยี่ยมกว่าเดิมหลายเท่าตัว หากเขาคนนั้นสามารถยิงได้ 3 ประตูโดยใช้เวลาเพียงไม่นาน

ล่าสุด โมฮาเหม็ด ซาลาห์ แนวรุกจากลิเวอร์พูล ทำสถิติกลายเป็นผู้เล่นที่ยิงแฮตทริกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยเวลา 6 นาที 12 วินาที ในเกมที่ถล่ม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส 7-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา

แต่ก่อนหน้านี้มีใครทำได้รวดเร็วมาบ้างก่อนที่ ดาวเตะ ‘หงส์แดง’ จะทำสถิตินี้ และ UFA ARENA จะพาไปพบกับ 8 แข้งแฮตทริกเร็วสุดใน UCL ผ่านบทความนี้กัน 

 

8.หลุยซ์ อาเดรียโน่ | 12 นาที (ชัคตาร์ โดเนสต์ส 7 – 0 บาเต้ โบริซอฟ ปี 2014)

ในเกม 2 นัดแรกของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2014-15 ชัคตาร์ โดเนสต์ส ทำได้แต่เสมอกับ แอธเลติก บิลเบา 0-0 และ ชัคตาร์ โดเนสต์ส 2-2 ปอร์โต้ ทว่าในเกมที่ 3 ทีมจากยูเครนก็รัว 7 ลูกใส่ บาเต้ โบริซอฟ 

หลุยซ์ อาเดรียโน่ ดาวยิงตัวเก่งของทีม ก็จัดการซัดแฮตทริกในเกมนั้น แต่จริงๆ หอกบราซิลเลี่ยน ซัดไปถึง 5 ประตู และกลายเป็นนักเตะคนที่ 2 ที่ยิงได้ 5 ลูกใน UCL ต่อจาก ลิโอเนล เมสซี่ โดยแฮตทริกที่เขาทำได้ใช้เวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้น

จากนั้น 2 อาทิตย์ต่อมา อาเดรียโน่ ก็ทำแฮตทริกใส่ทีมจากเบลารุสอีก และกลายเป็นนักเตะคนแรกในรายการนี้ที่ยิง 3 ประตูได้ 2 เกมติด ก่อนที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ คาริม เบนเซม่า จะทำได้ตามในเวลาต่อมา

 

7.โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ | 12 นาที (บาเยิร์น มิวนิค 6-0 เซอร์เวน่า ซเวซด้า ปี 2019)

บาเยิร์น มิวนิค ครองความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ยุโรป สมัยที่ 5 ฤดูกาล 2019-20 และปัจจัยหลักๆที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จขนาดนี้มาจากฝีเท้าของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้

บาเยิร์น กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ UCL ที่ชนะได้ทุกเกมตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จนถึงนัดชิงคว้าแชมป์ ซึ่ง เลวี่เป็นดาวเด่นประจำทีมตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ด้วยการซัดไป 10 ประตูในเวลานั้น ร่วมไปถึงการกด 4 ประตู ที่ถล่ม เซอร์เวน่า ซเวซด้า 6-0 โดยใช้เวลาเพียง 12 นาทีเท่านั้น

โดยในซีซั่นนั้น หอกจาก ‘เสือใต้’ ซัดไป 55 ประตูในทุกรายการจนช่วยให้ทีมคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ไปครองแบบยิ่งใหญ่

 

6.โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ | 11 นาที (บาเยิร์น มิวนิค 7-1 ซัลซ์บวร์ก ปี 2022)

ดูเหมือนว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ยิ่งอายุมาก ความเฉียบคมและเด็ดขาดในการทำประตูก็มากตามไปด้วย และการเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ก็มั่นใจได้ค่อนข้างมากว่าพวกเขาพร้อมเดินหน้าฆ่าคู่แข่งแบบไร้ความปราณี

เช่นเกมในเกมที่พบกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์กใน UCL รอบ 16 ทีมสุดท้าย ฤดูกาล 2021-22 แม้เลกแรกจะตามตีเสมอทีมจากออสเตรีย แต่ในเกมต่อมา ‘เสือใต้’ ก็รัวยับ 7 ประตู เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบไร้ปัญหา

เลวี่ ยิงประตูแรกให้ทีมในนาทีที่ 12 ด้วยลูกจุดโทษ ก่อนกดเพิ่มอีกในนาทีที่ 21 จากนั้นอีก 2 นาทีต่อมาก็ปิดจ็อบเป็นแฮตทริก นั่นทำให้เขายิงประตูในแชมเปี้ยนส์ลีกแตะ 85 ลูก หลังลงเล่นเพียง 104 นัด เร็วกว่าที่ โรนัลโด้ (121) และ เมสซี่ (107) ทำได้ด้วย

 

5.คริสเตียโน่ โรนัลโด้ | 11 นาที (เรอัล มาดริด 8-0 มัลโม่ ปี 2015)

เรอัล มาดริด ทำสถิติยิงประตูในเกมเดียวมากสุดในแชมเปี้ยนส์ลีกด้วยจำนวน 8 ประตูในเกมที่อัด มัลโม่ ฤดูกาล 2015-16 โดยมีพระเอกในวันนั้นคือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่กดไป 4 ประตูใน ซานติอาโก้ เบอร์บาเบว

‘โลส บลังโกส’ กดไป 3 ลูกในครึ่งแรกจากการเหมา 2 ของ คาริม เบนเซม่า และ CR7 อีกลูก ก่อนที่ ดาวเตะทีมชาติโปรตุเกสจะยิงเพิ่มอีก 2 ลูกในช่วงต้นครึ่งหลัง เท่ากับเขาใช้เวลา 11 นาทีเท่านั้นในการทำแฮตทริก จากนั้นเขาก็บวกเพิ่มอีกลูก ก่อนที่พี่เบนซ์จะยิงประตูที่ 8 ปิดกล่องให้ทีม

นั่นถือเป็นแฮตทริกครั้งที่ 2 จากทั้งหมด 3 ครั้งของ โรนัลโด้ ใน UCL ฤดูกาลนั้น ซึ่งทำให้เขาครองตำแหน่งผู้เล่นที่ทำแฮตทริกได้มากที่สุดในซีซั่นเดียวของรายการ พร้อมพา ‘ราชันชุดขาว’ พาครองแชมป์ยุโรปอีกสมัย  

 

4.ราฮีม สเตอร์ลิ่ง | 11 นาที (แมนฯซิตี้ 5-1 อตาลันต้า ปี 2019)

ราฮีม สเตอร์ลิ่ง อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการใช้โอกาสเปลืองบ่อยๆ ยามลงเล่นให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ในเกมที่พบ อตาลันต้า ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2019-20 ถือเป็นหนึ่งในเกมที่เขาโดดเด่นที่สุดในทีมก็ว่าได้

แม้ อตาลันต้า ในตอนนั้นที่ร้อนแรงพอตัว แต่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหนือชั้นกว่าอีกขั้น โดยที่ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ แอสซิสต์ให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ก่อนเรียกจุดโทษให้ทีมได้ในเวลาต่อมา

จากนั้น หนูริ่ง ก็ขอรับบทเป็นพระเอกทันที หลังใช้ความเร็วฉีกแนวรับทีมจาก อิตาลี เป็นชิ้นๆ พร้อมกด 3 ประตูในช่วงเวลาห่างกันเพียง 11 นาทีเท่านั้น 

 

3.ไมค์ นีเวลล์ | 9 นาที (แบล็คเบิร์น 4-1 โรเซนบอร์ก ปี 1995)

แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1995-95 หลังคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในซีซั่นก่อน ซึ่งเป็นแชมป์ลีกหนแรกในรอบ 81 ปี แต่ผลงานของพวกเขาในเวทียุโรป กลับน่าผิดหวังไม่น้อย เมื่อร่วงกลับบ้านตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม โดยแพ้ไปถึง 4 เสมอ 1 จาก 5 เกมแรก

แต่อย่างน้อย แฟนบอล ‘กุหลาบไฟ’ ก็ยังได้เห็นเรื่องดีๆอยู่บ้าง หลังชัยชนะเหนือ โรเซนบอร์ก 4-1 ในเกมสุดท้าย หลังไมค์ นีเวลล์ ทำสถิติกดแฮตทริกเร็วสุดใน UCL ณ ตอนนั้น

แม้สถิติแฮตทริกเร็วสุด จะไม่ใช่ของอดีตกองหน้าวัย 57 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังเป็นเจ้าของสถิติทำ เพอร์เฟ็ค แฮตทริกที่เร็วสุด ด้วยการยิงประตูจากเท้าซ้าย, ขวา และลูกโหม่ง 

 

2.บาเฟติมบี้ โกมิส | 8 นาที (ดินาโม ซาเกร็บ 1-7 ลียง ปี 2011)

บาเฟติมบี้ โกมิส เป็นที่คุ้นหาของแฟนบอลพรีเมียร์ลีกพอสมควร หลังเคยย้ายมาเล่นกับ สวอนซี เป็นเวลา 2 ปี แต่ก่อนหน้านั้น เขาคือเจ้าของสถิติยิงแฮตทริกเร็วที่สุดในแชมเปี้ยนส์ลีก สมัยเล่นให้กับ โอลิมปิก ลียง เมื่อปี 2011

หอกชาวฝรั่งเศส ช่วยให้ ‘โอแอล’ ผ่านเข้ารอบน็อคเอ้าท์ หลังมีผลประตูได้เสียเหนือกว่า อาแจ็กซ์ ด้วยการถล่ม ดินาโม ซาเกร็บ 7-1  ซึ่งเขาทำประตูในเกมนั้นถึง 4 ลูก

แต่การยิงประตูในนาทีที่ 45 ถึง นาทีที่ 52 ทำให้ โกมิส ทุบสถิติของ นีเวลล์ เป็นนักเตะที่ทำแฮตทริกเร็วสุดในแชมเปี้ยนส์ลีก พร้อมครองสถิตินี้ต่อไปร่วม 11 ปี 

 

1.โมฮาเหม็ด ซาลาห์ | 7 นาที (เรนเจอร์ส 1-7 ลิเวอร์พูล ปี 2022)

โกมิส ครองสถิตินี้นานถึง 11 ปีอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่สุดท้ายตัวเลขนี้ก็ถูกทำลายลงอีกครั้ง ในเกมที่ ลิเวอร์พูล บุกไปถล่ม กลาสโกว์ เรนเจอร์ส 7-1 ในศึกแชมเปี้ยนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม ฤดูกาล 2022-23 

โดยนักเตะคนนั้นก็คือ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถูกส่งลงมาเป็นสำรองในนาทีที่ 67 ก่อนจะยิง 3 ประตูรวด นาทีที่ 76, 80 และ 81 ส่งผลให้เขากลายเป็นเจ้าของสถิติยิงแฮตทริกได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ใช้เวลาเพียง 6 นาที 12 วินาที

นอกจากนี้ ดาวเตะทีมชาติอียปิต์ ยังกลายเป็นผู้เล่นจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ยิงประตูสูงสุดตลอดกาลในบอลถ้วยแชมเปี้ยนลีก ด้วยจำนวน 38 ประตู แซงหน้า ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา (เชลซี) และเซร์คิโอ้ กุน อเกวโร่ (แมนฯซิตี้) ทำไว้เท่ากัน 36 ประตู และเขาก็กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 3 ของ หงส์แดง ที่ลงเป็นสำรองและสามารถทำแฮตทริกได้สำเร็จ ต่อจาก สตีฟ สตอนตัน (1989) และสตีเว่น เจอร์ราร์ด (2010)

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทั้งหล่อทั้งเก่ง : กาก้ากับ 7 ช่วงเวลาสู่แข้งเบอร์หนึ่งของโลก
ทั้งหล่อทั้งเก่ง : กาก้ากับ 7 ช่วงเวลาสู่แข้งเบอร์หนึ่งของโลก