โคตรคัมแบ็ค : 8 เกมโกงตายของราชันรอบน็อคเอ้าท์เวที UCL

โคตรคัมแบ็ค : 8 เกมโกงตายของราชันรอบน็อคเอ้าท์เวที UCL

เรอัล มาดริด คือสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยการคว้าแชมป์ทวีปถึง 13 สมัย แต่การเดินทางไปถึงจุดหมายแต่ละครั้งก็ไม่ได้ราบรื่นหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ควรจะเป็น

รอบน็อคเอ้าท์ใน UCL ถือเป็นสิ่งที่ชวนให้แฟนบอลตื่นเต้นที่สุด เพราะต่อให้เป็นทีมที่แข็งแกร่งที่สุด หรือโชว์ฟอร์มสม่ำเสมอแค่ไหน ก็ต้องปัญหาในรายการนี้กับโมเมนต์สุดอับโชคจนต้องพบกับการปราชัย และ ‘ราชันชุดขาว’ ก็เป็นหนึ่งในสโมสรที่พบเจอเรื่องเหล่านี้ไม่น้อยตลอดหลายปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ทีมคู่แข่งคงต้องแกร่งจริงๆ ไม่ก็พวกดวงมาเกินร้อย ถึงจะจัดการทีมระดับ ‘โลส บลังโกส’ ได้ เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าสามารถเอาตัวรอดได้จากสถานการณ์สุดคับขันได้บ่อยๆ 

หรือต่อให้ตกเป็นรองจนร่อแร่ว่าจะต้องตกรอบ ทีมจากสเปน ก็ใช้เความเก๋าเกมและประสบการณ์ที่เหลือล้นของนักเตะที่มี จนกลับมาผ่านเข้ารอบต่อไป อย่างเช่นในฤดูกาลนี้ที่ทำให้เห็นบ่อยๆ รวมไปถึงพลิกชนะจนคว้าแชมป์ในนัดชิงบางปีด้วย

ด้วเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับ 8 เกมที่ เรอัล มาดริด โกงตายสุดเหลือเชื่อในเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

 

บาเยิร์น มิวนิค ปี 2002

ฤดูกาล 2001-02 รอบ 8 ทีมสุดท้าย มีเกมบิ๊กแมตช์ที่หลายคนตั้งตารอคอยระหว่าง เรอัล มาดริด พบ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่ง ทีมจากสเปน ดูเป็นฝ่ายเสียเปรียบ หลังพลาดท่าพ่ายไปก่อน 1-2 ที่เกมเลกแรกที่ โอลิมเปียสตาดิโอน ในเยอรมัน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของเกมก็เปลี่ยนไป เมื่อกลับมาเตะกันที่ มาดริด ในเลกสอง หลัง ‘ราชันชุดขาว’ ได้ประตูที่พวกเขารอคอยจาก อิบัน เอลเกร่า ในนาทีที่ 69 ส่งผลให้พวกเขาได้เปรียบสุดๆ เพราะมีประตูทีมเยือนตุนไว้แล้วในเกมแรก

ท้ายที่สุด กูตี ก็จัดการยิงประตูปิดกล่องให้ทีมเมืองหลวงกระทิง เข้ารอบไปแบบไม่มีปัญหาด้วยสกอร์ 3-2 ผ่านเข้ารอบต่อไป ก่อนคว้าแชมป์ยุโรปในบั้นปลาย ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ UCL ครั้งที่ 3 ในรอบ 6 ปีนั้นด้วย

 

แอตเลติโก้ มาดริด ปี 2014

เรอัล มาดริด ต้องรอคอยนานกว่า 12 ปี กว่าจะได้ผ่านเข้ามาเล่นนัดชิงชนะเลิศใน แชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้ง และจะดวลกับทีมอริร่วมเมืองอย่าง แอตเลติโก้ มาดริด โดยมีเป้าหมายคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 10 มาครองให้ได้

2 ยอดทีมจาก มาดริด มุ่งหน้าสู่สนามตัดสินใน ลิสบอน และหลังจาก ดีเอโก้ โกดิน ยิงประตูให้ ‘ตราหมี’ ขึ้นนำ เกมของ ‘ราชันชุดชาว’ ก็ดูช็อตไปยาวๆ จนกระทั่งช่วงท้ายเกม กัปตันทีมตำนาน เซร์คิโอ้ รามอส ก็ขึ้นโขกประตูตีเสมอในนาทีที่ 93 ทำให้ทีมกลับคืนสู่เกม และไปลุยกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ

ประตูตีเสมอของ รามอส ทำให้ ‘โลส บลังโกส’ ได้กำลังใจเพิ่มขึ้นมากโข รวมถึงโมเมนตัม ก็เทมาที่พวกเขาหมด ก่อนซัดเพิ่มอีก 3 ประตูหลังจากนั้น คว้าแชมป์ UCL มาครองได้สำเร็จ

นั่นถือเป็นช่วงเวลาที่เจ็บปวดสำหรับแฟน แอตฯ มาดริด แต่สำหรับ เรอัล มาดริด แล้ว นี่คือหนึ่งในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรเลย

 

ชาลเก้ ปี 2015

เรอัล มาดริด เริ่มต้นในฤดูกาล 2014-15 บนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก ในฐานะแชมป์เก่า โดยมีเป้าหมายคว้าแชมป์รายการนี้ 2 สมัยซ้อนเป็นทีมแรก 

เมื่อต้องเจอกับ ชาลเก้ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย เกมแรกที่เยอรมันก็เอาชนะไปได้ไม่ยากเย็น กับสกอร์ 2-0 ทำให้หลายคนมั่นใจว่าเลกสองที่ ซานติอาโก้ เบอร์บาเบว คงไม่ใช่งานยากอะไรเช่นกัน

ทว่าความเป็นจริงไม่เป็นแบบนั้นเท่าไหร่ เมื่อ ‘ราชันสีน้ำเงิน’ บุกมาขึ้นนำได้ถึง 2 หนจาก คริสเตียน ฟุคส์ และ คลาส แยน ฮุนเตลาร์ ยังดีที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงตีเสมอให้ มาดริด ได้ทั้ง 2 ครั้ง ก่อนที่ คาริม เบนเซม่า จะยิงให้เจ้าถิ่นขึ้นนำเป็น 3-2

แต่การที่ เลรอย ซาเน่ ปีกดาวโรจน์ของ ชาลเก้ ยิงประตูได้ รวมไปถึงประตูที่ 2 ของ ฮุนเตลาร์ ในเกมนั้น ทำให้ทีมจากบุนเดสลีก้า ต้องการอีกแค่ลูกเดียวเท่านั้นก็สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ด้วยกฎประตูทีมเยือน 

อย่างไรก็ดี แม้ มาดริด มีลูกลนลานให้เห็นอยู่บ้างหลังจากนั้น แต่พวกเขาก็ยังนิ่งพอที่ยันสกอร์ในเกมนี้ไว้แค่ 3-4 และเข้ารอบไปได้ด้วยสกอร์รวม 5-4 แต่ถึงอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่ปีที่พวกเขาป้องกันแชมป์ได้ หลังพ่ายให้กับ ยูเวนตุส ในรอบตัดเชือก

 

โวล์ฟวบวร์ก ปี 2016

หลังจากเห็น บาร์เซโลน่า คว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ไปครองในฤดูกาลก่อน เรอัล มาดริด ก็ไม่ต้องการอะไรนอกจากคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 11 ให้ได้ แต่ทว่าฤดูกาล 2015-16 ก็เป็นอีกครั้งที่พวกเขาต้องเจอปัญหากับสโมสรจากบุนเดสลีก้า เยอรมัน

การบุกไปพ่าย ‘หมาป่าเมืองเบียร์’ 2-0 ในเลกแรก ทำให้ ‘ราชันชุดขาว’ มีงานยากรออยู่ใน ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เพื่อพลิกสถานการณ์ และสุ่มเสี่ยงเสียประตูทีมเยือน หากโดนคู่แข่งยิงแม้จะแค่ลูกเดียวก็ตาม

แต่โชคดีที่ ณ เวลานั้น ‘โลส บลังโกส’ มียอดดาวยิงแห่งยุคอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ อยู่ในทีม ซึ่งจัดการตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จตั้งแต่ครึ่งแรก ก่อนที่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายของเกม CR7 จะทำแฮตทริกของตัวเอง พาทีมพลิกแซง โวล์ฟสบวร์ก ด้วยสกอร์ 3-2

มากไปกว่านั้น มาดริด สามารถทำตามเป้าหมายที่พวกเขาวางไว้กับแชมป์ UCL สมัยที่ 11 ในบั้นปลายด้วย ด้วยการชนะช่วงดวลจุดโทษเหนือ แอตเลติโก้ มาดริด ในนัดชิงชนะเลิศ

 

ยูเวนตุส ปี 2018

หนึ่งในเกมที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนส์ลีก คือเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย เลกสอง ระหว่าง ยูเวนตุส ที่บุกไปเยือน เรอัล มาดริด 

ยอดทีมจากสเปน คว้าชัยมาก่อนในเลกแรกถึง 3-0 แต่ความได้เปรียบนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะในเกมที่ เบอร์นาเบว ‘ม้าลาย’ ก็ตามตีเสมอได้หลังเกมผ่านไปได้เพียงชั่วโมงเดียวจาก การเหมาสองของ มาริโอ มานด์ซูคิช และ แบลส มาตุยดี้ อีกทั้งการที่เล่นในสเปน หากทีมจากตูริน ยิงประตูได้เพิ่มอีกลูก ก็จะไม่มีการต่อเวลาพิเศษแน่นอน

แต่ช่วงเวลาสำคัญก็มาถึงช่วงทดเวลาของครึ่งหลัง เมื่อ มาดริด ได้จุดโทษ หลัง เมห์ดี้ เบนาเตีย ทำฟาวล์ ลูคัส บาสเกซ ในกรอบ 18 หลา ซึ่งนั่นทำให้ จานลุยจิ บุฟฟ่อน ฟิวส์ขาด เข้าไปท้วงติง ไมเคิล โอลิเวอร์ ผู้ตัดสินในเกมนั้น ด้วยความเดือดดาล ก่อนถูก เชิ้ตดำชาวอังกฤษควักใบแดงไล่ออกจากสนาม

วอยเชียค เชสนี่ ลงมาทำหน้าที่เซฟจุดโทษในช่วงเวลานั้น แต่สุดท้าย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ก็เยือกเย็นพอที่จะสังหารประตูสำคัญ ส่งให้ มาดริด ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป และคว้าแชมป์ UCL เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ด้วย

 

เปแอสเช ปี 2022

ในฤดูกาล 2021-22 เรอัล มาดริด อาจมีสถานะเป็นทีมระดับท็อปของทวีปเหมือนเดิม แต่พวกเขาก็ไม่ใช่ตัวเต็งในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกอยู่ดี แถมต้องเจอกับของแข็งตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย อย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ที่มีทั้ง คิลิยัน เอ็มบัปเป้, เนย์มาร์ และ ลิโอเนล เมสซี่

เปแอสเช คว้าชัยไปก่อนในเกมแรกจากประตูโทนช่วงท้ายของ เอ็มบัปเป้ และพวกเขาก็ยังมุ่งมั่นคว้าชัยให้ได้ต่อเนื่องในเกมที่ เบอร์บาเบว หลัง เอ็มบัปเป้ เจ้าเก่ายิงให้ขึ้นนำอีกครั้ง 

อย่างไรก็ตาม ในเกมนัดที่ 2 นี้ ทีมของ เมาริซิโฮ โปเช็ตติโน่ ไม่ได้ครองเกมเหนือกว่า ‘ราชันชุดขาว’ แต่อย่างใด ก่อนโดน คาริม เบนเซม่า ที่ร้อนแรงสุดๆในฤดูกาลนี้ แผลงฤทธิ์ซัดแฮตทริกให้ มาดริด โกงตายอย่างเหลือเชื่อ ด้วยสกอร์ 3-2

อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งที่ทำให้ เปแอสเช พ่ายแพ้ในเกมนี้ คือความผิดพลาดของ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ที่ติดประมาทจนเป็นเหตุที่ทำให้ทีมโดนยิงลูกที่ 2 ส่งผลให้ มาดริด มีลูกฮึดจนยิงลูกที่ 3 ในเวลาต่อมา

 

เชลซี ปี 2022

ต่อให้ผ่าน เปแอสเช มาได้ งานหินสำหรับ เรอัล มาดริด ก็ยังไม่จบแค่นี้ เมื่อต้องเจอกับ เชลซี แชมป์เก่า ภายใต้การดูแลของ โธมัส ทูเคิ่ล ยอดกุนซือชาวเยอรมัน

เบนเซม่า ซัดแฮตทริกอีกครั้งช่วยให้ ‘โลส บลังโกส’ บุกไปชนะถึง สแตมฟอร์ด บริดจ์ ส่วน สิงห์บลูส์ ได้ประตูตีตื้นจาก ไค ฮาแวร์ตซ์ แต่ความได้เปรียบก็ยังเป็นฝั่งทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ อยู่ดี

ทว่าเกมที่ เบอร์นาเบว เหล่า มาดริดนิสต้า เริ่มหน้าถอดสี เมื่อทีมรักของพวกเขาโดน เชลซี ออกนำในเกมเลกสอง 3-0 จาก เมสัน เม้าท์, อันโตนิโอ รูดิเกอร์ และ ติโม แวร์เนอร์ ซึ่งหากจบ 90 นาทีด้วยสกอร์นี้ มาดริด ตกรอบแบบดูไม่จืดแน่นอน

แต่ช่วงนาทีที่ 80 ลูก้า โมดริช ก็โชว์จ่ายไซด์ก้อยแบบเหนือมนุษย์ให้ โรดริโก้ ยิงประตูตีไข่แตก เป็น 1-3 ส่งผลให้ทีมของ อันเช่ ยังอยู่ในเกมอีกครั้ง และเมื่อต้องไปตัดสินกันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ เบนซ์ ก็ทำแสบใส่ เชลซี อีกหน ด้วยการยิงประตูชัยให้ มาดริด เอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 5-4

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ปี 2022

แม้ผ่านเข้ามาถึงรอบรองชนะเลิศ แต่ เรอัล มาดริด ก็ไม่วายถูกหลายคนค่อนขอดว่ามาไกลถึงรอบนี้ รวมถึงคว้าแชมป์ลาลีก้าในฤดูกาลล่าสุดได้เพราะโชคช่วย แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นในเห็นว่าแค่พวกดวงอย่างเดียวก็คงไม่พอ โดยเฉพาะในในเวที UCL เมื่อต้องเจอกับทีมระดับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 

‘เรือใบสีฟ้า’ ที่ถูกมองว่าเป็นต่อ ขึ้นนำไปก่อนอย่างรวดเร็วถึง 2 ลูกในช่วงเวลาแค่ 11 นาที แถมมีโอกาสทิ้งห่างเป็นลูกที่ 3 ด้วย แต่ไม่เด็ดขาดกันเอง ทำให้ มาดริด ยังมีลมหายใจลุ้นกลับมาได้จาก เบนเซม่า ในครึ่งแรก

ถึง ซิตี้ ได้ 2 ประตูเพิ่มจาก ฟิล โฟเด้น และ แบร์นาโด้ ซิลวา ในครึ่งหลังก็ไม่ได้ชนะขาดลอยอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อ เบนซ์ และ วินิซิอุส ยิงตีตื้นขึ้นมา ทำให้ทีมจากอังกฤษ เอาชนะด้วยสกอร์ 4-3 ในเลกแรก

ถัดมาในเกมเลกสองที่ เบอร์นาเบว ทั้ง 2 ทีมเล่นกันแบบอึดอัด แต่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่สกอร์ได้เปรียบกว่า ก็ได้ประตูทิ้งห่างจาก ริยาด มาห์เรซ ในนาทีที่ 73 ซึ่งหลายคนคงคิดว่านี่คงเป็นหมัดน็อคที่ส่ง มาดริด ลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว

ทว่า ทีมของ อันชล็อตติ ก็กลับมาโกงตายอีกครั้ง และทำได้อย่างเหลือเชื่อด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ 2 นาทีเท่านั้นในช่วงนาทีที่ 90 และ 90+1 เพื่อยิงประตูขึ้นนำเป็น 2-1 จาก โรดริโก้ ปีกตัวสำรอง และทำให้เกมยืดเยื้อไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษอีกครั้ง

สุดท้าย เดอะ แบก ประจำทีมอย่าง เบนเซม่า ก็ยิงจุดโทษช่วยให้ มาดริด กลับมาพลิกชนะได้แบบสุดมันส์ 3-1 ผ่านเข้ารอบด้วสกอร์รวม 6-5 ซึ่งจะเข้าไปดวลกับ ลิเวอร์พูล โจทก์เก่าที่พ่ายให้พวกเขาในนัดชิง UCL เมื่อปี 2018

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ชวนวิเคราะห์ : อันเช่พามาดริดคว้าแชมป์ลาลีก้าได้อย่างไร
ชวนวิเคราะห์ : อันเช่พามาดริดคว้าแชมป์ลาลีก้าได้อย่างไร