หนึ่งในเกียรติประวัติสูงสุดของผู้จัดการทีมคือการมีแชมป์มาประดับบารมีให้กับตัวเอง และการคว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก คือสิ่งที่กุนซือในทวีปยุโรปต่างหมายปอง แต่ทว่าโค้ชฝีมือดีบางรายก็ไม่สามารถคว้าถ้วยใบนี้มาเชยชมได้เลย แม้จะได้รับการยกย่องมากแค่ไหนก็ตาม
ซิโมเน่ อินซากี้ เป็นกุนซือชาวรายล่าสุดที่มีโอกาสเชยชมโทรฟี่ UCL หลังพา อินเตอร์ มิลาน เข้าชิงในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่ในฤดูกาล 2022-23 ทว่าก็ต้านความแข็งแกร่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทีมเต็งแชมป์ที่มี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ไหว พ่ายไปด้วยสกอร์ 1-0 เมื่อวันเสาร์ที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับ 10 กุนซือที่มีฝีมือดี แต่ไม่มีวาสนาในการชูถ้วยหูยักษ์เลย เชื่อว่าส่วนใหญ่คอลูกหนังน่าคุ้นชื่อกันดีอยู่ แต่บางคนก็ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้รายการนี้จริงถึงจะจำได้เช่นกัน
ปล. กุนซือที่อยู่บทความนี้คือกุนซือที่มีส่วนร่วมในแชมเปี้ยนลีกตั้งแต่ปี 1992 เป็นต้นไป เพราะคงจะไม่แฟร์เท่าไหร่ถ้าเหมารวมกุนซือชื่อดังที่ไม่เคยลงคุมทีมในรายการนี้เลย อย่าง โยอาคิม เลิฟ ที่คว้าแชมป์โลกกับเยอรมัน หรือ บิล แชงคลีย์ ตำนานกุนซือ ‘หงส์แดง’ ที่เคยเล่นในยูโรเปี้ยน คัพ ซึ่งเป็นชื่อเดิมของแชมเปี้ยนส์ลีก เท่านั้น
อันโตนิโอ คอนเต้ (ยูเวนตุส, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, สเปอร์ส)
คอนเต้ เป็นกุนซือที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอีกคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป แต่ทว่าพอมาแข่งขันในฟุตบอลยุโรปทีไร เป็นอันต้องช้ำใจทุกครั้งไป และรอบ 8 ทีมสุดท้ายคือรอบลึกที่สุดที่ คอนเต้ เคยพาทีมยูเวนตุส เข้าไปในรายการนี้
หลังจากพา บารี่ เลื่อนชั้นจากเซเรีย บี ได้สำเร็จ กุนซือชาวอิตาเลียน ก็ปลุกยักษ์หลับจากตูรินให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง และพา ยูเว่ คว้าแชมป์เซเรีย อา 3 สมัยซ้อน ก่อนจะโยกมาคุม เชลซี และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับเอฟเอ คัพ ไปอย่างละสมัย รวมถึงพา อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์เซเรีย อา เมื่อฤดูกาล 2020-21 แต่ถ้วย UCL ยังคงเป็นถ้วยที่ผู้จัดการทีมวัย 53 ปีต้องตามไขว่คว้าตามหาต่อไป
ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ (โมนาโก, มาร์กเซย)
บางคนอาจจะมองว่าการพาทีมชาติฝรั่งเศส คว้าแชมป์โลกเมื่อปี 2018 น่าจะทำให้ ดิดิเย่ร์ เดอชองส์ ขึ้นหิ้งเป็นกุนซือระดับตำนาน ทว่าในช่วงแรกๆ ที่เขารับงานผู้จัดการกับสโมสรเมื่อ 14 ปีก่อน อดีตกองกลางทัพ ‘ตราไก่’ ก็เคยทำเรื่องเหลือเชื่อในรายการแชมเปี้ยนส์ลีกมาก่อนแล้ว
เขาพา โมนาโก พ่ายให้กับ ปอร์โต้ของ โชเซ่ มูรินโญ่ ในนัดชิง UCL ปี 2004 ก็จริง แต่ เดส์ชองส์ สามารถล้มยักษ์อย่าง เรอัล มาดริด และ เชลซี ในรายการนี้ได้ จนผ่านเข้ามาสู่ชิงดำได้สำเร็จ ซึ่งถ้าหากเขาคว้าแชมป์รายการนี้มาได้ ตัวเขาคงจะถูกยกย่องในฐานะกุนซือมากกว่านี้แน่นอน
ออตโต้ เรห์ฮาเกล (เวเดอร์ เบรเมน, ไกเซอร์สเลาเทิร์น)
‘คิงออตโต้’ ได้รับการยกย่องว่าเป็นกุนซือระดับท็อปในประเทศเยอรมัน หลังพา แวร์เดอร์ เบรเมน คว้าแชมป์บุนเดสลีกาและเดเอฟเบ โพคาลได้ 2 สมัย, เยอรมัน ซูเปอร์ คัพ 3 สมัย และ แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ อีกสมัย ในปี 1992 รวมไปถึงพา ไกเซอร์สเลาเทิร์น คว้าแชมป์ลีกไปอย่างไม่มีใครคาดคิดในปี 1998
แต่ในศึกยูซีแอล เรห์ฮาเกล พาทีมไปไกลสุดแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น แม้จะผลงานในลีกได้ยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ความสำเร็จกับทีมชาติกรีซ ในการคว้าแชมป์ยูโรมาครองได้ในปี 2004 ก็พอจะทำให้เขาเป็นตำนานกุนซืออยู่ แม้จะไม่โอกาสเชยชมถ้วย UCL เลยก็ตาม
เคนนี่ ดัลกลิช (นิวคาสเซิ่ล)
‘คิงเคนนี่’ ของเหล่า เดอะ ค็อป เคยคว้าแชมป์ยุโรปตอนเป็นผู้เล่นถึง 3 ครั้ง แต่ในฐานะกุนซือเขาเคยพาทีม ‘สาลิกาดง’ เข้าไปเล่นใน แชมเปี้ยนส์ลีก และจอดแค่รอบแบ่งกลุ่มฤดูกาล 1997-98 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่เขาพา ลิเวอร์พูล กลายเป็นยอดทีมอันดับหนึ่งในเกาะอังกฤษ ได้ในช่วงปลายปี 80 และน่าจะทำให้เขามีโอกาสคว้าแชมป์ยุโรปมาครองด้วยซ้ำ ถ้าหากสโมสรจากอังกฤษ ไม่โดนแบนจากโศกนาฏกรรม ณ สนาม เฮย์เซล สเตเดี้ยมซะก่อน
หลัง ดัลกลิช พาทีมผ่านพ้นหายนะแห่งฮิลส์โบโร่มาได้ เขาพา ‘หงส์แดง’ คว้าแชมป์ลีกอีกสมัยในปี 1990 ก่อนจะลาออกในปี 1991 หลังจากนั้นก็พา แบล็คเบิร์น คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมในปี 1995 ทำให้ ดัลกลิช กลายเป็นกุนซือคนที่สี่ที่คว้าแชมป์ลีกอังกฤษ จาก 2 สโมสรต่างกัน
มีร์เซีย ลูเชสคู (กาลาตาซาราย, ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค, อินเตอร์ มิลาน, เบซิคตัส, ราปิด บูคาเรสต์)
บนโลกใบนี้มีกุนซือที่ทำหน้าที่ในแชมเปี้ยนส์ลีก เกินร้อยนัดแค่ 8 คนเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อของ มีร์เซีย ลูเชสคู อยู่ด้วย แค่ความจริงก็คือเขาไม่เคยใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ในรายการนี้เลย หลังพาทั้ง กาลาตาซาราย และ ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค เข้าไปแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายเท่านั้น
แต่ไม่มีใครปฏิเสธถึงความสามารถในการคุมทีมของกุนซือวัย 77 ปี เพราะเขาสามารถคว้าแชมป์ลีกได้เกือบทุกประเทศที่เขาไปทำหน้าที่ แต่ที่ที่เขาดูจะประสบความสำเร็จมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ชัคตาร์ โดเน็ตส์ค ที่เขาเคยปั้นนักเตะชั้นนำมาแล้วหลายคน คว้าแชมป์ลีกยูเครนอีก 8 สมัย และ คว้าแชมป์รายการแรกในยุโรปอย่าง ยูฟ่า คัพ มาครองได้ครั้งแรกและครั้งเดียวของทีมในปี 2009
มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี (มิลาน, ยูเวนตุส)
การแต่งตั้ง อัลเลกรี เข้ามาเป็นกุนซือทีม ม้าลาย ในปี 2014 ทำให้ใครหลายๆ คนงงงวยอยู่พอสมควร แม้เขาจะมีดีกรีในการคว้าแชมป์เซเรีย อา กับ มิลาน ในปี 2011 มาแล้วก็ตาม ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก เขาโดน ‘ปีศาจแดงดำ’ ปลดจากตำแหน่งกุนซือ หลังพาทีมจบอันดับที่ 11 แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนเปลี่ยนให้ ยูเวนตุส เป็นยอดทีมในทวีปยุโรปจนถึงปัจจุบัน
นายใหญ่ชาวอิตาลี เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังในการพาสโมสรจากตูริน เข้าชิงรายการนี้ถึง 2 ครั้งในปี 2015 และ 2017 แม้ว่าจะเสียนักเตะคนสำคัญอย่าง ปอล ป็อกบา ไปก็ตาม
อย่างไรก็ตาม การคุม ม้าลาย คำรบที่ 2 ของ อัลเลกรี กลับเต็มไปด้วยปัญหา ทั้งรูปการเล่น, ฟอร์มของนักเตะ รวมไปถึงเรื่องนอกสนาม ด้านการเงิน จนโดนตัดแต้ม ทำให้พลาดไปเล่น UCL ในฤดูกาลหน้า
บ็อบบี้ ร็อบสัน (ปอร์โต้, นิวคาสเซิล)
เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ผู้จัดการทีมชาวอังกฤษ ที่ออกไปสร้างชื่อนอกประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพาทีมชาติอังกฤษ เข้ารอบรองชนะเลิศในฟุตบอลโลกปี 1990 และคว้าแชมป์ต่างแดนมากมาย ไม่ว่าจะกับพีเอสวี ไอนด์โอเฟ่น, ปอร์โต้ และ บาร์เซโลน่า
แต่ความสำเร็จในเวทียุโรปนั้น ร็อบสัน มีน้อยมากๆ ซึ่งก็คือแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 1981 กับ อิปสวิช ทาวน์ และ แชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ กับ บาร์เซโลน่า ในปี 1997 เท่านั้น แต่เรื่องดีนอกจากนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง หลัง ร็อบสัน พาสโมสรบ้านเกิด นิวคาสเซิล เข้าไปเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ถึง 2 ครั้ง ในสมัยที่ ‘สาลิกาดง’ ยังไม่มีเจ้าของสโมสรเจ้าปัญหาอย่าง ไมค์ แอชลี่ย์
วาเลอรี่ย์ โลบานอฟสกี้ (ดินาโม เคียฟ)
โลบานอฟสกี้ คือคนที่ปลุกปั้น อังเดร เชฟเชนโก้ ให้เป็นกองหน้าระดับโลก แถมยังเคยพาทีมชาติรัสเซีย (สมัยนั้นยังเป็นสหภาพโซเวียต) เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกถึง 2 ครั้งและพาทีมเป็นรองแชมป์ในศึกยูโรปี 1988 ด้วย ส่วนในระดับสโมสรทีมที่เขาทำได้ดีที่สุดก็ต้องเป็น ดินาโม เคียฟ อยู่แล้ว
กุนซือชาวยูเครนพา เคียฟ คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 13 ครั้ง บวกกับคัพ วินเนอร์ส์ คัพ อีก 2 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม เขาพาทีมนี้ได้ไกลสุดแค่รอบรองชนะเลิศเท่านั้นในปี 1999 และพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิค ไปด้วยสกอร์รวม 4-3
อาร์แซน เวนเกอร์ (โมนาโก, อาร์เซน่อล)
ลืม 10 ปีหลังสุดของเขาไปซะ (แม้จะคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้ถึง 3 สมัยก็ตาม) เพราะก่อนหน้านั้น อาร์แเซน เวนเกอร์ เคยพ าอาร์เซน่อล เป็นยอดทีมในอังกฤษ โดยคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัย ด้วยการปั้นเด็กในสโมสร จนทำให้ยักษ์ใหญ่เงินหนาในยุโรปบางทีมต้องอับอายมาแล้ว
แม้กุนซือเลือดน้ำหอมจะช่วยให้ ‘ปืนใหญ่’ ดีขึ้นมากแค่ไหน แต่การคว้าแชมป์ฟุตบอลรายการยุโรปดูเหมือนจะเส้นทางที่ เวนเกอร์ เดินไปไม่ถึงซักที ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเล็กอย่าง ยูฟ่า คัพ เขาก็แพ้ต่อ กาลาตาซาราย ในการดวลจุดโทษปี 2000 และถ้วยใหญ่อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก เขาก็พ่ายต่อ บาร์เซโลน่า 2-1 ในปี 2006
ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ (แอตเลติโก้ มาดริด)
ทันทีที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ได้ก้าวเข้ามารับงานกับ แอตเลติโก มาดริด เข้าได้เปลี่ยน ‘ตราหมี’ ให้กลายทีมอันดับต้นๆ ในลีก เคียงข้างกับเรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ได้ภายในเวลาไม่กี่ปี ก่อนจะพาทีมเข้าไปเล่นในนัดชิงของแชมเปี้ยนส์ลีกถึง 2 ครั้งด้วยกันในปี 2014 และปี 2016
แต่ดูเหมือนอะไรๆ ก็ยังไม่เป็นใจให้เขาในรายการนี้ เพราะ 2 ครั้งนั้นเขาพ่ายแพ้หมดเลย แถมเป็นการแพ้ให้กับคู่อริตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริด ทั้ง 2 ครั้งด้วย (2014 แพ้ในช่วงต่อเวลา, 2016 แพ้ช่วงดวลจุดโทษ) แต่ถึงกระนั้นกุนซือวัย 53 ปีก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นคนพิเศษอยู่ หลังพาทีม ตราหมี คว้าแชมป์ยูโรป้า ลีกได้ 2 ครั้ง (2011 และ 2018) แม้ว่าในรายการนี้เขาจะยังไม่มีโอกาสสัมผัสถ้วย UCL ตาม