บุญพาวาสนาไม่ส่ง : 7 ทีมยอดเยี่ยมไม่เคยชูถ้วย UCL

บุญพาวาสนาไม่ส่ง : 7 ทีมยอดเยี่ยมไม่เคยชูถ้วย UCL

ศึกชิงแชมป์สโมสรยุโรปรายการใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (หรือ ยูโรเปี้ยน คัพในชื่อเก่า) เป็นศึกที่แฟนทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอันดับต้นๆ เนื่องจากเต็มไปด้วยทีมระดับท็อปมากมายของแต่ละประเทศร่วมชิงชัย

ทว่าต่อให้แต่ละทีมจะเก่งกาจมากแค่ไหน แต่ผู้ที่จะได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์ มีได้แค่ทีมเดียวเท่านั้น และทำให้ในประวัติศาสตร์ของรายการนี้ มีทั้งโคตรทีมที่คว้าแชมป์มาครองสมใจ และทีมยอดเยี่ยมที่ไร้วาสนาในรายการนี้

แถมบางสโมสรต้องประสบพบเจอชะตากรรมอันแสนเจ็บปวดนี้บ่อยๆ เพราะต่อให้เข้าชิงมากกว่า 1 ครั้ง แต่ต้องอกหักและผิดหวังอยู่ร่ำไป

และ UFA ARENA จะพาไปพบกับ 7 ทีมดังที่ไม่มีโอกาสได้ชูถ้วย ยูโรเปี้ยน คัพ หรือ UCL ในนัดชิงชนะเลิศ แม้จะโชว์ฟอร์มได้ร้อนแรงแค่ไหนก็ตามในรอบที่ผ่านมาก็ตาม 

 

ลีดส์ ยูไนเต็ด (1975)

Leeds United - en stilstudie i suksess og fiasko, om hverandre ... - VG

แฟน ‘นกยูงทอง’ ส่วนใหญ่ยกให้ทีมรักของพวกเขาในยุค 70 คือลีดส์ ยูไนเต็ด ชุดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งทีมที่มียอดนักเตะชั้นนำในประเทศอย่าง นอร์แมน ฮันเตอร์, จอห์นนี่ กิลส์, บิลลี่ เบรมเมอร์, ปีเตอร์ ลอริเมอร์ และ อัลเลน คล้าก

ผลงานในลีกปี 1974-75 อาจจะดูย่ำแย่พอสมควร หลังจบอันดับ 9 ในลีกดิวิชั่น 1 แต่ว่าใน ยูโรเปี้ยน คัพ ปีนั้น ลีดส์ ยูไนเต็ด พ่ายแค่เกมเดียวเท่านั้นจาก 8 เกมแรก และสามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงในฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่

อย่างไรก็ตาม นกยูงทองดันไปพ่ายให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ที่ฟอร์มบู่คว้าอันดับ 10 ในบุนเดสลีก้า 2-0 โดยฝั่งเสือใต้ประตูจาก ฟรานซ์ ร็อธ และ แกรด มูลเลอร์ คว้าถ้วยยุโรปสมัยที่ 2 ของพวกเขาไปครอง

  

โรม่า (1984)

Why Liverpool's victory over Roma in 1984 was a glorious night with tragic consequences in more ways than one | The Independent | The Independent

‘หมาป่ากรุงโรม’ คว้าสิทธิ์มาเล่น ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ด้วยการคว้าแชมป์เซเรีย อาครั้งแรกในรอบ 41 ปี และพวกเขาต่อยอดความสำเร็จด้วยการโชว์ฟอร์มหรูจนสามารถเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก โดยแข่งขันกัน ณ สนาม โอลิมปิโก้ สตาดิโอ้ รังเหย้าของพวกเขาเอง

คู่แข่ง โรม่า ในวันนั้นคือ ลิเวอร์พูล สโมสรสุดแกร่งที่เคยคว้ารายการนี้มาแล้ว 3 สมัย ซึ่งในเกมนัดชิงวันนั้น ทีมจากกรุงโรม ที่เหมือนเล่นในบ้านของตัวเองโดนนำไปก่อนจากลูกยิงของ ฟิลลิป นีล ในนาทีที่ 13 แต่ในช่วงท้ายครึ่งแรก ‘จัลโล่รอสซี่’ ก็มาได้ประตูตีเสมอจาก โรแบร์โต้ ปรุสโซ่ หลังจากนั้น แม้แข้ง ‘หงส์แดง’ จะบุกอย่างหนักหวังทำประตู แต่ก็ไม่ผ่าน ฟรังโก้ ทานเครดี้ นายทวารของ โรม่า ไปได้ ทำให้เกมต้องตัดสินหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษชี้ขาด

แม้ สเตฟาน นิโคล กองกลาง ‘หงส์แดง’ จะยิงพลาดไปก่อน แต่แข้งของ  ‘หมาป่ากรุงโรม’ ไม่สามารถฉกฉวยความได้เปรียบนั้นได้ และพลาดจุดโทษถึง 2 คน ขณะที่แข้ง ลิเวอร์พูล ที่เหลือสามารถสังหารจุดโทษได้อย่างเฉียบขาดและเยือกเย็น ทำให้ยอดทีมจากเมอร์ซียไซด์ ได้ชูถ้วยบิ๊กเอียร์สมัยที่ 4 ในท้ายที่สุด

 

บาเลนเซีย (2000, 2001) 

BL-döntősök, akikre érdemes emlékezni: Valencia CF 2000–2001

เฮคเตอร์ คูเปอร์ พาบาเลนเซียผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ UCL ในปี 2000 ได้ หลังฝ่าด่านรอบแบ่งกลุ่ม 2 รอบ ก่อนที่เอาชนะยอดทีมในยุคนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็น ลาซิโอ แชมป์เซเรียอาปี 2000 เช่นเดียวกับ บาร์เซโลน่า ทีมอริร่วมลีก ต้องขอบคุณฟอร์มการเล่นที่สุดยอดในถิ่น เมสตาย่า อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไปพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด คู่แข่งร่วมลีกอีกทีมในสนาม สต๊าด เดอ ฟร็องช์ ในเมืองปารีส ถึง 3-0 

แต่ทว่า กัปตันทีม ‘ค้างคาว’ กาอิซก้า เมนเดียต้า ได้กระตุ้นเพื่อนร่วมให้ฮึดสู้และผ่านเข้ารอบชิงอีกครั้งในปีต่อมา หลังจัดการยอดทีมจากอังกฤษอย่าง อาร์เซน่อล และ ลีดส์ ยูไนเต็ด ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย,รอบตัดเชือกตามลำดับ และคู่แข่งในนัดชิงของพวกเขาปี 2001 คือ บาเยิร์น มิวนิค ทีมสุดแกร่งจากเยอรมัน 

ซึ่งกองกลางชาวสแปนิชยิงจุดโทษให้ บาเลนเซีย ออกนำ ‘เสือใต้’ ไปก่อนในช่วงต้นเกม แต่ในครึ่งหลังทีมจากเยอรมันก็ได้ประตูตีเสมอจากจุดโทษของ สเตฟาน เอฟเฟ่นเบิร์ก ทำให้ทั้งคู่ต้องยืดเยื้อในช่วงต่อเวลาและชี้ขาดด้วยการดวลจุดโทษในเวลาต่อมา สุดท้ายเป็นฝ่าย อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ จะเอาชนะไปด้วยสกอร์ 5-4 กระนั้น ราฟาเอล เบนิเตซ ก็ช่วยให้สาวก ‘ค้างคาว’ ลืมความผิดหวังจากถ้วยยุโรปไปได้ ด้วยการคว้าแชมป์ลาลีก้าในปีถัดมา

 

ไบเออร์ เลเวอร์คู่เซ่น (2002)

เทรเบิลช้ำ! ย้อนตำนาน 'เลเวอร์คูเซน' ชุดสามรองแชมป์ | Goal.com

ทีม ‘ห้างขาย’ สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งยุโรป หลังก้าวขึ้นมาต่อกรกับ บาเยิร์น มิวนิค  ได้อย่างสูสี รวมไปถึง ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศในแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างสวยงามในฤดูกาล 2001-02 

เลเวอร์คูเซ่น ในชุดนั้นประกอบไปด้วย ลูซิโอ ที่เป็นหัวใจสำคัญในแนวรับ, มิชาเอล บัลลัค กองกลางจอมทัพคนเก่งที่กำลังอยู่ในช่วงพีกประสานงานกับ แบรนด์ ชไนเดอร์ มิดฟิลด์รุ่นพี่ในทัพ ‘อินทรีเหล็ก’ และในแดนหน้าที่มีหัวหอกมากประสบการณ์อย่าง โอลิเวอร์ นอยวิลล์ และดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ กองหน้ามาดศิลปินในวัยหนุ่มอยู่

 น่าเสียดายที่ปีนั้น ลูกทีมของ เคลาส์ ท็อปโมลเลอร์ พลาดท่าในนัดสุดท้ายเสียแชมป์ลีก รวมถึงบอลถ้วยให้กับ ‘เสือใต้’ ซ้ำร้ายพวกเขายังโดน ซีเนเดีน ซีดาน ยิงประตูชัยด้วยลูกวอลเลย์สุดสวยในนัดชิงดำของศึก UCL และคว้ารางวัลรองแชมป์ 3 รายการในปีเดียวไปอย่างเจ็บปวดใจ

 

โมนาโก( 2004)

L'AS Monaco et l'exploit de 2004 - Les clubs français qui ont tutoyé les sommets européens

ก่อนที่ ดิดิเย่ร์ เดอชองส์ จะก้าวขึ้นไปกุนซือแชมป์โลกกับทีมชาติฝรั่งเศส เขาเคยผิดหวังในนัดชิงมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนค้าแข้งอยู่หรือตอนก้าวขึ้นมาเป็นผู้จัดการทีม และหนึ่งในนั้นคือตอนที่เดเด้เข้ามาคุมทีม โมนาโก ตั้งแต่ปี 2001

ตลอดเวลา 5 ปีที่อดีตกองกลางทัพตราไก่ที่อยู่ในถิ่น สต๊าด หลุยส์ เดอซ์ เขาพาทีมคว้าแค่แชมป์ แฟรนช์ ลีก คัพ เท่านั้น แต่สิ่งที่น่ามหัศจรรย์มากที่สุด ณ ตอนนั้น คือช่วงเวลาที่ โมนาโก กลายเป็นม้ามืดผ่านเข้ารอบไปเจอ ปอร์โต้ ในแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2004

โชคร้ายที่พวกเขาต้องมาเจอกับ กุนซือหน้าใหม่ไฟแรงอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ก่อนจะโดนสอนเชิงลูกหนังไปถึง 3-0 และนับตั้งแต่นั้น โมนาโก ก็ไม่สามารถกลับมาอยู่ในจุดที่พวกเขาทำได้เลยใน UCL

อาร์เซน่อล (2006)

UEFA Champions League on Twitter: "🔴 𝙏𝙝𝙞𝙨 Arsenal line-up from the 2006 #UCL final 😍 #FlashbackFriday https://t.co/XVdwfSapyO" / Twitter

การแข่งขันฟุตบอลยุโรปดูเหมือนจะเป็นของแสลงสำหรับแข้ง อาร์เซน่อล มาตลอด ในถ้วยรองอย่าง ยูโรป้าลีก ที่จบด้วยรองแชมป์ 2 หน แต่ครั้งที่เจ็บปวดที่สุดคงหนีไม่พ้นครั้งที่พวกเขาได้เข้าชิงถ้วยใหญ่อย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2005-06 

‘ปืนใหญ่’ ประสบปัญหาฟอร์มตกพอสมควรในพรีเมียร์ลีก แต่ทว่าในรายการยุโรปนั้น ผลงานของแข้ง ‘กันเนอร์ส’ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พวกเขาคว้าแชมป์ในรอบแบ่งกลุ่มโดยไม่แพ้ใครเลย ก่อนจะทุบทีมใหญ่ทั่วยุโรปในรอบน็อคเอาท์ ทั้ง เรอัล มาดริด, ยูเวนตุส และ บียาร์เรอัล เพื่อไปพบกับคู่แข่งในนัดชิงชนะเลิศอย่าง บาร์เซโลน่า

เทพีแห่งชัยชนะดูเป็นใจให้กับลูกทีมของ อาร์แซน เวนเกอร์ ตั้งแต่ครึ่งแรกหลังได้ประตูขึ้นจาก โซล แคมป์เบลล์ ในนาทีที่ 37 อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายเกม ‘อาซูลกราน่า’ ก็พลิกขึ้นภายในเวลาแค่ 4 นาทีจาก ซามูเอล เอโต้ และ จูเลียโน่ เบเล็ตติ ทำให้เหล่า กูนเนอร์สทั่วโลกต้องผิดหวังไปตามๆ กันใน UCL ฤดูกาลดังกล่าว

 

แอตเลติโก มาดริด (1974, 2014, 2016)

Real Madrid beat Atletico Madrid Champions League final | The Sun

เมื่อ 49 ปีที่แล้ว แอตเลติโก มาดริด โอกาสเข้าชิงฟุตบอลยุโรปเป็นครั้งแรก แต่ทว่าพวกเขาก็ผิดหวังเป็นครั้งแรกเมื่อต้านความแข็งแกร่งของ บาเยิร์น มิวนิค ไม่ไหว พ่ายไปด้วยสกอร์ 4-0 และพวกเขาต้องรออีก 40 ปี กว่าจะได้เข้าชิงในครั้งต่อมา 

ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ได้เข้ามาปฏิวัติทีมนับตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมในเดือนธันวาคม 2011 หลังจากที่ฤดูกาลก่อนทีมตราหมีจบอันดับ 7 ในลาลีกา และจอดแค่รอบแบ่งกลุ่มในศึกยูโรป้า ลีก ซึ่งอดีตกองกลางพันธ์ุดุชาวอาร์เจนไตน์ได้เปลี่ยนโฉมให้ ‘ตราหมี’ กลายเป็นยอดทีมในลีกแดนกระทิงรวมไปถึงผู้ท้าชิงในฟุตบอลยุโรปแบบเต็มตัว

ในฤดูกาล 2013-14 แอตฯ มาดริด คว้าแชมป์ ลา ลีกา ได้สำเร็จและเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศใน แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งพวกเขาเกือบเอาชนะทีมอริร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด ได้แล้ว แต่ทว่าโดนมาโดนลูกโขกตีเสมอจาก เซร์คิโอ รามอส ในนาทีสุดท้าย ก่อนที่พวกเขาจะพ่ายแก่ ‘โลส บลังโกส’ ไป 4-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

‘เอล โชโล่’ พิสูจน์ว่าความสำเร็จของเขาไม่ได้โผล่มาแค่ชั่ววูบหลังพาทีม ‘โลส โคลโชเนรอส’ ผ่านเข้าสู่รอบชิงใน UCL อีกครั้ง ใน 2 ปีถัดมา โดยพบกับคู่แค้นร่วมเมืองอีกครั้ง แต่ครั้งนี้แข้ง ‘ตราหมี’ ก็ตกอกหักซ้ำสอง (หรือสาม) ในถ้วยยุโรปรายการนี้ เมื่อพวกเขาพ่ายช่วงดวลจุดโทษตัดสิน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ยืมจมูกหายใจ : 7 เกมต้องใช้คู่แค้นช่วยสงเคราะห์ให้สมหวัง
ยืมจมูกหายใจ : 7 เกมต้องใช้คู่แค้นช่วยสงเคราะห์ให้สมหวัง