มีดีแค่ปีเดียว : 10 แข้งดังแต่ปังฤดูกาลเดียวใน UCL

มีดีแค่ปีเดียว : 10 แข้งดังแต่ปังฤดูกาลเดียวใน UCL

แม้ว่านักเตะบางคนจะไม่ได้ค้าแข้งให้กับสโมสรอันดับต้นๆในทวีปยุโรป แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สามารถโชว์ฟอร์มเด่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้ ชื่อของพวกเขาเหล่านั้นก็จะกลายเป็นที่รู้จักในชั่วข้ามคืน

ยกตัวอย่างเช่น เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ หัวหอกชาวนอร์เวย์ ที่แจ้งเกิดในรายทวีปกับ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก ในฤดูกาล 2019-20 ก่อนย้ายไป โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในเวลาต่อมา และด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับความสนใจจากสโมสรยักษ์ใหญ่มากมาย

ทว่าหลายคนก็ทำไม่ได้แบบ ฮาแลนด์ เพราะการที่พวกเขาโผล่มาปังปีเดียวก็ไม่ได้หมายความฟอร์มการเล่นเหล่านั้นจะคงอยู่ตลอดไปปีต่อๆไป ซึ่งมีนักเตะไม่น้อยที่โชว์ผลงานเด่นแค่ปีเดียว ก็ค่อยเลื่อนหายไปตามเวลา เนื่องจากไม่สามารถมาตรฐานของตนเองไว้ หรือด้วยทัศนคติของตนเองก็ตามแต่

และนี่คือ 10 แข้งดังแต่ปังฤดูกาลเดียวใน UCL ซึ่ง UFA ARENA ก็หวังว่า ดาวรุ่งหรือคนที่รอแจ้งเกิดในรายการนี้จะไม่เอาพวกเขาเหล่านี้เป็นเยี่ยงอย่างนะ 

 

คาร์ลอส อัลแบร์โต้ (ปอร์โต้, 2003-04)

18 Champions League one-season wonders who dazzled – and then disappeared

คาร์ลอส อัลแบร์โต้  เป็นกองหน้าตัวต่ำที่คอยสนับสนุนทั้ง เดอร์เลย์ และ เบนนี่ แม็คคาธี่ และเป็นนักเตะที่โชเซ่ มูรินโญ่ ไว้ใจส่งลงเล่นกับ ปอร์โต้ ทุกเกมจนถึงนัดชิงใน UCL ฤดูกาล 2004-05 ซึ่ง ณ เวลา ดังกล่าวเขามีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น แต่ก็เป็นคนยิงเบิกสกอร์แรกใส่โมนาโกด้วย

แต่ช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์กลับถูกขัดขวางด้วยออีโก้ของแข้งชาวบราซิลเลี่ยนเอง หลังมีปากมีเสียงกับ วิคตอร์ เฟร์นานเดซ กุนซือที่เข้ามาแทน เดอะ สเปเชียล วัน ทำให้เขาตัดสินใจย้ายกลับบ้านเกิดไปเล่นให้กับ โครินเธียนส์ แทนในปี 2005 ทว่าก็ไปมีเรื่องกับ เอเมอร์สัน เลโอ นายใหญ่ของทีมอีก จนถูกปล่อยให้กับ ฟลูมิเนนเซ่ ในเวลาต่อมา

อัลแบร์โต้ได้กลับมาค้าแข้งในยุโรปช่วงสั้นๆกับ แวร์เดอร์ เบรเมน แต่ไม่ประสบความสำเร็จดังเดิม โดยอ้างว่าเกิดจาก โรคนอนไม่หลับ และนับตั้งแต่นั้นเขาก็ค้าแข้งอยู่ในบราซิลตลอด แม้จะย้ายมาเล่นกับ อัล ดาห์ฟรา ทีมใน UAE เมื่อปี 2015 ก็ย้ายกลับบ้านเกิดทันที หลังอยู่กับทีมใหม่ได้ 15 วันเท่านั้น

 

ฮวน ซานเชซ (บาเลนเซีย, 2000-01)

Juan Sanchez

กองหน้าที่ทำประตูได้น้อยนิดตลอดเวลาที่ค้าแข้งกับ บาเลนเซีย (40 ลูก ตลอดการลงเล่น178 นัด หลังย้ายมา 2 ครั้ง) ฮวน ซานเชซ ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในเกมรอบตัดเชือก UCL ที่ ‘ลอส เช’ พบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด นัดสอง เมื่อปี 2001 ซึ่งเสมอนัดแรกที่ เอลเลน โร้ด 0-0 

แต่ผ่านไป 16 นาที แข้งชาวสแปนิชก็ซัดลูกแรกให้ทีมได้ทันที หลังเปลี่ยนลูกเปิดของ กาอิซก้า เมนดิเอต้า เป็นประตู ผ่านแขนของ ไนเจล มาร์ติน นายทวารนกยูงทอง เข้าไป หลังจากนั้นก็มาเพิ่มประตูที่สองให้ ‘ไอ้ค้างคาว’ ในนาทีที่ 47 

ท้ายที่สุดแล้ว บาเลนเซีย เป็นเอาชนะไปได้ 3-0 แต่ในนัดชิง ซานเชซ กลับฟอร์มตกดื้อๆ แม้จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงก็ตาม และจากนั้นก็พบว่าบทบาทของเขาในทีมค่อยลดลงมาในปีต่อๆมาก ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ เซลต้า บีโก้ แทนในปี 2004 และแขวนสตั๊ดด้วยวัย 34 ปี

 

หลุยส์ อาเดรียโน่ (ชักตาร์ โดเน็ตส์ก, 2014-15)

Luiz Adriano

อาเดรียโน่เป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของ ชักตาร์ โดเน็ตส์ก ใน ยูเครน พรีเมียร์ลีก แต่ทว่าในแชมเปี้ยนส์ลีก เขากลับทำผลงานได้เข้าตาอยู่ปีเดียวเท่านั้นในฤดูกาล 2014-15 หลังซัดไปถึง 9 ประตูในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ลีก เท่ากับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงของเรอัล มาดริด ในขณะนั้น

นอกจากนี้ หัวหอกชาวบราซิลเลี่ยนยังทำสถิติเทียบเท่า ลิโอเนล เมสซี่ แข้งเบอร์หนึ่งของบาร์เซโลน่า ด้วยการประตูในนัดเดียวมากที่สุดของ UCL หลังยิงไป 5 ลูกในเกมที่ถล่มบาเต้ บอริซอฟ 7-0 ด้วยความสำเร็จ 2 อย่างก็เพียงพอที่จะทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรอบแบ่งกลุ่มไป ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ เอซี มิลาน ในเดือนกรกฏาคมปี 2015

ทว่าลีลาการทำประตูของเขาในอิตาลีกลับไม่แพรวพราวเหมือนตอนอยู่ที่ยูเครนแล้ว ทำให้เขาเลือกย้ายไปค้าแข้งกับ สปาร์ตัก มอสโก เพื่อกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาอีกครั้งในเดือนมกราคมปี 2017 ก่อนจะตัดสินใจไปตายรังที่บ้านเกิดกับ พัลไมรัส แทนในปีนี้

  

มิคาลิส คอนสแตนตินู (พานาธิไนกอส, 2001/02)

Michalis Konstantinou

พานาธิไนกอส เดิมพันกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ในซัมเมอร์ปี 2001 เมื่อคว้าตัว มิคาลิส คอนสแตนตินู กองหน้าจากอิราคลิส เธซาโลนิกิ ด้วยค่าตัวกว่า 11.3 ล้านยูโร หลังเขายิงไป 61 ลูก จากการลงเล่น 119 นัดให้สโมสรจากไซปรัส ไม่แปลกใจที่คนจะตั้งข้อสงสัยว่าเขาจะโชวใน กรีก ซุปเปอร์ ลีก หรือ แชมเปี้ยนส์ลีกได้ดีมากน้อยแค่ไหน

แต่อย่างน้อย เขาก็พิสูจน์ว่ามีดีอยู่พอสมควร แม้เป็นแค่ปีแรกก็ตาม หลังประสานงานกับ 3 กองกลางตัวหลักของทีมอย่าง เปาโล ซูซ่า, แยน มิคาเอลเซ่น และ โรเบิร์ต ยาร์นี่ ซึ่งทำให้ คอนสแตนตินู  ซัดไปถึง 6 ประตูจาก 14 เกม และหนึ่งในนั้นคือลูกยิงไกลระยะ 40 หลา ใส่บาร์เซโลน่า ที่สนามคัมป์ นู ใน UCL รอบ 8 ทีมสุดท้าย

แม้ไม่สามารถโชว์ฟอร์มเก่งในบอลยุโรปได้แล้วหลังจากนั้น เขายังช่วยพานาธิไนกอส คว้าแชมป์ลีกและบอลถ้วยอีกด้วยในปี 2004 ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมอริอย่าง โอลิมเปียกอส ในปี 2005 และถึงแม้เขาจะยิงกระจายในแชมเปี้ยนส์ลีกไม่ได้อีก หัวหอกชาวไซปรัสก็คว้าแชมป์ลีกแดนเทพนิยายอีก 3 สมัย และ กรีก คัพ อีก 2 สมัยมาได้แทน

 

เจอโรม โรเตน (โมนาโก, 2003-04)

Jerome Rothen

โรเตน และ ลูโดวิช ชูลี่ เป็นตัวจู่โจมทางฝั่งริมเส้นให้กับ โมนาโก ชุดเข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2004 และจ่ายบอลถวายพานสวยๆให้กับ เฟร์นานโด มอริเอนเตส และ ดาโด แปร์โซ 2 หัวหอกร่างยักษ์ทำประตูมากมาย

ทั้งคู่กลายเป็นสนใจของสโมสรดังทั่วยุโรปหลังจบฤดูกาลนั้น และในขณะที่ ชูลี่ เลือกย้ายไปค้าแข้งในบาร์เซโลน่า โรเตนกลับเลือกปฏิเสธทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี เพื่อย้ายไปเล่นทีมในบ้านเกิดอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง แทน

ซึ่งอดีตปีกซ้ายของโมนาโกมีชีวิตที่ดีกว่าอย่างชัดเจน หลังคว้าแชมป์ลาลีก้า กับ ถ้วยบิ๊กเอียร์ กับ ‘เจ้าบุญทุ่ม’ ได้ แต่ โรเตน กับ เปแอชเช กลับต้องเผชิญหน้ากับการดิ้นรนหนีตกชั้น  และเขาได้เล่นในบอลยุโรปแค่ 5 นัดเท่านั้น และใช้ช่วงเวลาสุดท้ายในอาชีพค้าแข้งกับ ก็อง ก่อนบอกลาฟลอร์หญ้าในปี 2013 ไปแบบเงียบๆ

 

ฮาคาน ยาคิน (เอฟซี บาเซิล, 2002-03)

Hakan Yakin

ชื่อของ ฮาคาน ยาคิน คงคุ้นหูแฟนเดอะ ค็อป รุ่นเก่าพอสมควร เนื่องจากเขาเป็นคนที่เล่นงานลิเวอร์พูลจนเสียท่า และช่วยให้บาเซิลยันเสมอกับทีมจากอังกฤษไป 3-3 ใน UCL รอบแบ่งกลุ่ม พร้อมกับเขี่ยให้หงส์แดงไปเล่นในยูฟ่า คัพ แทน ในฤดูกาล 2002-03

เพลย์เมกเกอร์ชาวสวิตถึงกับพูดถึงฟอร์มการเล่นของตนเองในวันนั้นว่า ‘เป็นแมตช์แห่งชีวิตของเขาเลย’ แต่หลังจากคำพูดนั้นทุกอย่างก็ค่อยๆดิ่งลงมาเรื่อยๆ

หลังจากที่ สโมสรจากแดนนาฬิกาไม่ผ่านเข้ารอบจากรอบแบ่งกลุ่มครั้งที่ 2 ยาคินก็อาศัยโอกาสที่กำลังขาขึ้นของตนเองย้ายไปเล่นให้ทีมที่ใหญ่กว่าเดิมอย่าง เปแอชเช, สตุ๊ตการ์ท และ กาลาตาซาราย แต่ก็ไม่มีทีมไหนที่เขาอยู่ยาวหรือประสบความสำเร็จเลย 

  

ซิโมเน่ อินซากี้ (ลาซิโอ, 1999-00)

14 marzo 2000: 20 anni fa il poker di Simone Inzaghi in Lazio-Marsiglia | Goal.com

น้องชายของปิปโป้ เริ่มต้นวัย 19 ปีด้วยการประเดิมฤดูกาลแรกให้กับ ลาซิโอ ในปี 1999 ซึ่งเขาทำผลงานไม่ค่อยดีนักในเซเรียอา หลังย้ายมาจาก เปียเซนซ่า และยิงไปได้เพียง 7 ประตู จากการลงสนาม 22 นัดในปีนั้น แต่ในฟุตบอลยุโรป อินซากี้คนน้องกับรัวไปถึง 9 เม็ดจากการลงเล่น 11 เกม

ฟอร์มการเล่นที่ตะตามากที่สุดได้ของ ซิโมเน่ ได้โผล่มาในเดือนมีนาคมปี 2000 เมื่อเขาทำสถิติทาบ มารโก ฟาน บานเท่น หัวหอกระดับตำนานชาวดัชต์ ด้วยการทำ 4 ประตูในนัดเดียวในเกมที่พบกับ มาร์กเซย และด้วยผลงานระดับนั้นทำให้เขาถูกเรียกติดทีมชาติอิตาลีในเกมอุ่นเครื่องพบกับ สเปน ทำให้มีแววไม่น้อยว่า แฟนบอล อาจจะได้เห็น 2 พี่น้องอินซากี้ยืนเป็นหัวหอกคู่กันให้อัซซูรี่ในศึกยูโรปี 2000 ก็เป็นได้

แม้จะคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ และ อิตาเลียน คัพ มาได้กับ ‘อินทรีฟ้าขาว’ ในปีนั้น ซิโมเน่ก็ไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นนี้ได้เช่น ปิปโป้ พี่ชาย ในปีถัดมา ก่อนจะยิงแตะเลข 2 หลักได้อีกครั้งในชีวิตค้าแข้ง จากนั้นก็แขวนสตั๊ดไปในปี 2010

อย่างไรก็ตาม ในเส้นทางสายกุนซือนั้นดูเหมือนว่า ซิโมเน่ จะไปได้ดีกว่าพี่ชายหลายขุมเลย หลังสร้างชื่อกับ ลาซิโอ ทีมเก่าในสมัยค้าแข้งของเขา และปัจจุบันกำลังพา อินเตอร์ มิลาน ป้องกันแชมป์สคูเด็ตโต้อยู่ 

 

ลาร์ส ริคเค่น (โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, 1996-97)

Notez le lob de Ricken ! | UEFA Champions League | UEFA.com

นี่อาจจะเป็นแข้งที่สะดุดตาที่สุดในลิสต์นี้ ลาร์ส ริคเค่นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักเตะตัวสำรองที่ลงมาทำประตูได้เร็วที่สุดในนัดชิงของแชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยเวลาเพียง 16 วินาทีเท่านั้น หลังลงมาแทนที่ สเตฟาน ซัปปุยซาต์ ในเกมนัดชิงที่พบกับ ยูเวนตุส

กองกลางชาวเยอรมันเห็น แองเจโล่ เปรุสซี่ นายทวาร ‘เบี่ยงโคเนรี่’ ออกมาห่างจากปากประตูพอดี จึงทำการส่องไกลสุดสวยช่วยให้เสือเหลืองนำ 3-1 และปิดโอกาสกลับสู่เกมของยูเว่ไปโดยปริยาย ช่วยให้ ‘เสือเหลือง’ คว้าแชมป์ UCL อย่างยิ่งใหญ่

ทว่าหลังจากนั้น 2-3 ปี ต่อมาเขาก็เข้าๆออกๆทีมอยู่เป็นประจำเนื่องจากมีอากาศบาดเจ็บรบกวน แต่ก็มีช่วงเวลาคืนฟอร์มกับทีมอยู่ในฤดูกาล 2001-02 ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีก้า และมีชื่อติดทีม ‘อินทรีเหล็ก’ ไปเล่นฟุตบอลโลกด้วย อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บก็ยังตามรังควานไม่เลิก ก่อนที่จะแขวนสตั๊ดไปในปี 2007 

 

มิลอส คราซิช (ซีเอสเคเอ มอสโก, 2009-10)

ยูเวนตุสคงคิดว่าพวกเขาได้ พาเวล เนดเว็ด คนต่อไปมาร่วมทีม เมื่อไปคว้า มิลอส คราซิช ปีกจอมพริ้วชาวเซิร์บมาร่วมทีมในซัมเมอร์ปี 2010 ซึ่งเขาไม่ได้มีผมที่คล้ายกับตำนานแข้งชาวเช็กเท่านั้น แต่แข้งวัย 25 ปีก็พิสูจน์ฟอร์มการเล่นให้เห็นแล้ว ในฤดูกาลก่อนซึ่งช่วยให้ ซีเอสเคเอ มอสโก ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย และยิงไป 4 ประตู หนึ่งในนั้นมาจากเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วย

แม้ทุกอย่างที่ดูดีตั้งแต่ย้ายมาแรกๆ หลังเขาทำไปถึง 3 แอสซิสต์จาก 2 เกม และทำแฮตทริกได้อีกต่างหากในเกมที่ 3 กับทีม ‘ม้าลาย’ แต่จู่ๆฟอร์มของเขาก็ตกลงไปดื้อๆ โดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตู หลังผ่านครึ่งฤดูกาลไป

หลังจากนั้น เขาก็ไม่เคยกลับมาเป็นคนเดิมอีกเลย และในฤดูกาล 2011-12 เขาก็ย้ายไปค้าแข้งกับ เฟร์เนบาร์เช่ ทีมดังจาากตุรกี แต่ฟอร์มการเล่นที่เคยยอดเยี่ยมสมัยอยู่รัสเซียก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นซักที และช่วงที่กลายเป็นนักเตะไร้สังกัด หลังหมดสัญญากับ เลเชีย กดังซ์ เมื่อปี 2018 เขาก็แขวนสตั๊ดไปแบบเงียบหลังจากนั้นไม่นาน

 

ไรอัน บาเบล (ลิเวอร์พูล 2007-08)

Ryan Babel on his Liverpool regrets, Rafa Benitez's broken promises and finally finding a position and place to call home | The Independent | The Independent

เมื่อมองไปดูสโมสรที่เขาย้ายไปค้าแข้งมากมาย ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่หลายจะลืมว่า ไรอัน บาเบล เคยโดดเด่นมากแค่ไหนในฤดูกาลแรกกับ ลิเวอร์พูล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกม UCL ในฤดูกาล2007-08

ปีกชาวดัตช์ลงมาเหมา 2 ประตูในเกมที่ถล่ม เบซิคตัส 8-0, ยิงประตูปิดกล่องในเกมสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มที่เอาชนะมาร์กเซยไป 3-0 แต่ช่วงที่น่าจดจำที่สุดคงเป็นตอนที่เขายิงประตูใส่อาร์เซน่อลในนัดที่ 2 ของรอบ 8 ทีมสุดท้าย จนทำให้หงส์แดงผ่านไปเล่นรอบตัดเชือกได้สำเร็จ

แม้จะพ่าย เชลซี ในรอบรองชนะเลิศ บาเบลก็ยิงส่งท้ายก่อนจากอีกลูก ทำให้เขาซัดในบอลยุโรปไปทั้งหมด 5 ลูกของฤดูกาลนั้น น่าเสียดายที่ เดอะ ค็อป ได้เห็นช่วงท็อปฟอร์มของอดีตแข้งอาแจ็กซ์ แค่ตอนนั้น

และถึงแม้เขาจะไม่กลับอยู่จุดเดิมได้ แข้งวัย 35 ปีก็ดูสนุกกับชีวิตค้าแข้งของตน นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นกับ เบซิคตัส ในเดือนมกราคมปี 2017 ซึ่งนั่นทำให้เขาติดทีมชาติฮอลแลนด์เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยปัจจุบันก็ยังเล่นในลีกแดนไก่งวงกับ กาลาตาซาราย 

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

บาเยิร์นหลบไป : 10 ทีมคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันนานสุดในยุโรป
บาเยิร์นหลบไป : 10 ทีมคว้าแชมป์ลีกติดต่อกันนานสุดในยุโรป