แม้ว่าโลกปัจจุบันจะผ่านมาถึงปี 2020แล้วแต่ก็ยังคงมีปัญหาการเหยียดผิวออกมาให้เห็น แถมยังทวีความรุนแรงมากขึ้นอีกด้วย อย่างเหตุการณ์ร้อนแรงล่าสุดคงหนีไม่พ้น #justiceforgeorgefloyd ที่มีตำรวจสหรัฐอเมริกาไปฆ่าชายผิวสีขณะจับกุม ทำเอาเหตุการณ์บานปลายเป็นการประท้วง
ส่วนในโลกฟุตบอลมีเรื่องราวแบบนี้ฝังรากลึกอยู่ในวงการนี้มาเป็นเวลานาน แต่ถ้าหากนับแค่ในฤดูกาล 2019/20 ในเวลาที่โลกก้าวไปไกลเหลือเกินก็ยังคงมีเรื่องการเหยียดผิวอยู่มากมายเกิน 10เรื่องทั้งในสนาม และในโซเชี่ยลมีเดีย วันนี้ทางUFAARENA จะหยิบยกมา 10เหตุการณ์เหยียดผิวบนโลกลูกหนังในฤดูกาลปัจจุบัน
เฟร็ดโดนเหยียดในเกมแมนเชสเตอร์ดาร์บี้
แมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่มีความดุเดือดและแพชชั่นของบรรดาแฟนบอลรวมถึงนักเตะ แน่นอนว่าการกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องปกติ และการเหยียดผิวเป็นเรื่องที่ยังไงก็ไม่ควรเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้นจนได้ในเกมแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ เกมแรกของฤดูกาล 2019/20 ก็มีแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทำท่าลิงใส่เฟร็ด กองกลางแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แถมยังมีการปาข้าวของใส่อีกด้วย
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้จับกุมผู้ต้องหานามว่าแอนโธนี เบิร์ค วัย 41 ปี พร้อมถูกดำเนินการตามกฏหมาย นอกจากนี้ยังมี เจสซี่ ลินการ์ดอีกรายที่โดนเหยียดผิวเช่นเดียวกัน
ส่วนทางด้านดาวเตะชาวบราซิเลี่ยนก็ได้ออกมากล่าวถึงกรณีนี้ว่า“น่าเสียดายที่เรายังอยู่ในสังคมที่ล้าหลัง มันน่าละอายที่เรายังต้องอยู่กับมันในปี 2019”
@ManCity @ManUtd racist abuse toward Fred by Man City fan ??? pic.twitter.com/Dszyio5XMn
— Simon Butler (@simonbutler76) December 7, 2019
ทีมชาติอังกฤษโดนเหยียดผิวในเกมคัดยูโร 2020
สำหรับทีมชาติอังกฤษเจอเรื่องราวการโดนเหยียดผิวถึง 2ครั้งในรอบคัดเลือกของศึกยูโร 2020 ครั้งแรกในเกมที่พวกเขาบุกไปถล่มมอนเตเนโกร 5-1 โดยก็มีทั้ง แดนนี่ โรส และ ราฮิม สเตอร์ลิ่ง ที่โดนเหยียดผิว ซึ่งเรื่องราวในครั้งนี้ทำให้ แฮร์รี่ เคน กองหน้ากัปตันทีมก็ได้ออกมาประกาศว่าจะวอล์คเอ้าท์ทันทีหากมีการเหยียดดผิวอีก “ผมสนับสนุนเพื่อนร่วมทีมของผม และถ้ามันเกิด ขึ้นอีก และพวกเขาไม่มีความสุข จนอยากจะคุยถึงเรื่องนั้น หรืออยากจะหยุดเล่น ผมก็จะสนับสนุนพวกเขาอย่างเต็มที่”
สำหรับในกรณีแรกทางยูฟ่าก็มีการสั่งลงโทษแบน มอนเตรเนโกร ห้ามแฟนบอลเข้าชมเกมในเกมถัดไป รวมถึงปรับเงินเป็นจำนวน 20,000ยูโร ส่วนในกรณีที่สอง เกิดขึ้นในเกมกับ บัลแกเรีย ซึ่งทัพสิงโตคำรามกดไปถึง 6-0 ก็มีแฟนบอลเจ้าบ้านตะโกนเหยียดผิว ราฮีม สเตอร์ลิง และ ไทโรน มิงส์ ทุกครั้งที่ได้บอลทั้งทำเสียงลิง และทำท่านาซีอีกด้วย จนทำให้มีการหยุดเกมถึง 2ครั้งแต่ก็สามารถกลับมาแข่งขันต่อจนจบ
แต่หลังจากนั้นก็มีประเด็นที่ออกมาตอบโต้กันระหว่างผู้จัดการทีมชาติบัลแกเรียอย่าง คราซิเมียร์ บาลาคอฟ ที่ออกมาบอกว่าไม่มีใครเหยียดผิวทั้งนั้น จนสเตอร์ลิ่งที่เป็นผู้ถูกกระทำออกมาสวนว่า”อืมมม…ไม่แน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นะ”
สุดท้ายเรื่องก็ไปจบที่บัลแกเรียโดนตั้ง 4ข้อหาได้แก่ การแสดงพฤติกรรมเหยียดผิว รวมไปถึงการให้ถ้อยคำหยาบคาย และแสดงท่าทางที่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มนาซี,ขว้างปาสิ่งของ, การแทรกแซงขณะร้องเพลงชาติ และการรีเพลย์บนจอใหญ่ในสนาม ส่วนทางฝั่งผู้ดีเองก็โดนตั้งไป 2ข้อหา คือการก่อกวนขณะที่มีการร้องเพลงชาติ และการนำทีมงานเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลความปลอดภัยเดินทางมาด้วยไม่เพียงพอ
มัลค่อมโดนแฟนเซนิตเหยียดผิวตั้งแต่เกมแรก
ปีกตัวรุกชาวบราซิเลี่ยนเลือกอำลาบาร์เซโลน่ามาอยู่กับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ในเกมแรกที่เจ้าตัวถูกส่งลงสนามเจอกับ คราสโนดาร์ มัลค่อมก็โดนแฟนบอลเหยียดผิวทันที แถมยังเป็นแฟนบอลทีมตัวเองอีกด้วย และแม้จะไม่ใช่การเหยียดเขาโดยตรง แต่ก็เป็นการใช้ข้อความกระทบใส่ จากข้อความที่ว่า “ขอบคุณมากเลยท่านประธาน สำหรับความภักดีต่อประเพณีของเรา” ซึ่งเป็นการสื่อถึงประเพณีของสโมสรที่ไม่ใช่งานนักเตะผิวสี
เรื่องดังกล่าวร้ายแรงถึงขั้นที่ทางยอดทีมจากรัสเซียพิจารณาปล่อยตัวเขาออกจากทีมในช่วงเดือนมกราคมทั้งที่เพิ่งย้ายมาแค่ 3วันเท่านั้น แม้ในท้ายที่สุดมันก็ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ส่วนทางด้านแนวรุกวัย 23ก็ได้ออกมาเปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า “สิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาในเกมแรกของผม มันสร้างแรงบันดาลใจให้ผมมากขึ้น นั่นคือทั้งหมดที่ทำให้กับผม ผมจะตอบแทนความรักที่ได้รับจากทุกคนที่นี้”
บาโลเตลลี่โดนแฟนบอลเวโรน่าเหยียดผิว
ถือเป็นเรื่องที่กองหน้ารายนี้เจอมาตลอดชีวิตตั้งแต่เด็กจนกลายมาเป็นนักฟุตบอล แต่ใครจะเชื่อว่าโลกหมุนไปถึงปี 2020แล้วแต่เขาก็ยังโดนเหยียดผิวอยู่ กับมาริโอ บาโลเตลลี่ ที่เพิ่งย้ายกลับมาที่บ้านเกิดกับ เบรสชา ในเกมกัลโช่ เซเรียอา ที่เบรสชาบุกไปแพ้เวโรน่า 2-1 หอกวัย 29ปี โดนแฟนบอลเจ้าบ้านตะโกนเหยียดผิว พร้อมทำท่าล้อเลียน จนเจ้าตัวฉุนขาดเตะบอลขึ้นอัฒจันทร์ และเกือบที่จะเดินออกจากสนาม
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ดาวเตะชาวอิตาเลี่ยนคิดถึงเรื่องการย้ายทีมอีกครั้งทั้งที่เพิ่งย้ายกลับมาที่บ้านเกิด ส่วนแฟนบอลตัวต้นเหตุก็ถูกจับกุมพร้อมสั่งแบนจากกิจกรรมกีฬาในอิตาลีรวมถึงในยุโรปเป็นเวลา 5 ปี
กูรูเลี่ยนเหยียดลูกากูออกสื่อ
นับเป็นเรื่องที่ตอกย้ำให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปัญหาการเหยียดผิวในประเทศอิตาลี กับการที่กูรูชื่อดังอย่าง ลูชาโน่ ปาสซิรานี่ ที่ถูกเชิญมาออกรายการของสถานีโทรทัศน์ ท็อปกัลโช่ 24 ซึ่งได้ออกมาพูดถึงดาวยิงชาวเบลเยี่ยมว่า “ผมไม่เคยเห็นลีก อิตาลี มีนักเตะอย่าง ลูกากู ไม่ใช่แค่กับ เอซี มิลาน, อินเตอร์, โรม่า, ลาซิโอ เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่แข็งแกร่งที่สุด และผมชื่นชอบเขามากๆ เพราะเขาเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งไม่เป็นรองใครเหมือนกับ (ดูวาน) ซาปาต้า จาก อตาลันต้า”
“นักเตะแบบนี้มีบางอย่างที่เหนือกว่านักเตะคนอื่นๆ พวกเขายิงประตู และช่วยทีมได้ ถ้าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์แบบตัวต่อตัวกับคุณ คุณโดนแน่ คุณคงล้มกลิ้งในสนาม หนทางเดียวที่จะหยุดเขาได้ก็คือต้องให้กล้วย 10 ใบให้เขากิน”
ซึ่งหลังจากนั้นทางสถานีโทรทัศน์ก็ได้ประกาศว่าจะไม่เชิญนักวิจารณ์คนนี้มาออกรายการอีกต่อไป แม้เจ้าตัวจะออกมาขอโทษเป็นการใหญ่สำหรับการกระทำในครั้งนี้ แต่มันก็สายเกินไปแล้ว
สื่อเลี่ยนพาดหัวเหยียดลูกากู-สมอลลิ่ง
ยังอยู่กับเวทีกัลโช่ เซเรียอา และ โรเมลู ลูกากูคนเดิม แต่รอบนี้เพิ่ม คริส สมอลลิ่ง เข้ามาด้วย แถมรอบนี้ยังเป็นสื่อดังอย่าง Corriere dello Sport ที่พาดหัวข่าวเกมคู่ระหว่าง อินเตอร์ มิลาน และโรม่า แต่ดันใช้รูปของ โรเมลู ลูกากู และ คริส สมอลลิ่ง พร้อมข้อความว่า ‘Black Friday’ ล้อเลียนเทศกาลช็อปปิ้งครั้งใหญ่ของสหรัฐฯหลังวันขอบคุณพระเจ้า ก่อนที่จะโดนต้นสังกัดของทั้งสองนักเตะออกแถลงการณ์จวกยับรวมถึง ฟิออเรนติน่าที่แม้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ออกมาตำหนิด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ในแถลงการณ์ของโรม่า และ อินเตอร์ มิลาน ยังเปิดมาตรการแบนสื่อดังกล่าวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ “เราตัดสินใจแบนนักข่าวจาก Corriere dello Sport จากสนามซ้อมของเราตลอดช่วงที่เหลือของปีนี้ และนักเตะของเราจะไม่ไปร่วมกิจกรรมใด ๆ กับสื่อเล่มนี้ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวด้วย”
ในขณะที่ฝั่ง Corriere dello Sport ก็ออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น โดยโพสต์ผ่านหน้าเว็บไซต์ของตัวเองว่า “มันเป็นแค่การฉลองในความแตกต่างเท่านั้น”
อับราฮัม-ซูม่าโดนเหยียดบนโลกออนไลน์
ก่อนที่แทมมี่ อับราฮัมจะได้รับการยอมรับในฐานะดาวรุ่งฟอร์มแรงของเชลซี ในช่วงต้นฤดูกาลเขาก็ทำพลาดจากเกมที่พลาจุดโทษรายการซุปเปอร์คัพกับ ลิเวอร์พูล เป็นสาเหตุทำให้ทีมพลาดแชมป์ ซึ่งก็มีแฟนบอลสมองกลวงบางคนออกมาเหยียดผิวใส่แข้งรายนี้จนแม่ของแทมมี่ถึงกับร้องไห้กับเหตุการณ์นี้
ส่วนทางด้านแฟนสาวของเจ้าตัวก็ออกมาตอบโต้พวกขี้เหยียดแบบแสบทรวงผ่านทางอินสตราแกรมว่า”ไอ้พวกชอบเหยียดผิวนี่มันดักดานไม่ต่างจากถุงขยะ พวกมึงสำเหนียกไว้กูจะแช่งให้นรกจองที่พิเศษสำหรับแกทุกตัวไว้เลย”
ต่อจากนั้นหลังเปิดฤดูกาลมาได้ 4นัด ทัพสิงห์บลูเพิ่งเก็บชัยได้แค่นัดเดียวเมื่อต้องมาเจอทีมน้องใหม่อย่างเชฟฟิลด์ ในบ้านตัวเองก็หวังจะเก็บชัยนัดที่สองให้ได้ แต่ด้วยความผิดพลาดของ เคิร์ต ซูม่า ปราการหลังร่างยักษ์ของเชลซี ที่ทำเข้าประตูตัวเองในนาทีที่ 89 ทำให้พวกเขาเก็บไปได้แค่แต้มเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าบรรดาแฟนบอลก็เกิดความไม่พอใจและเข้าไปก่นด่าแข้งรายนี้ผ่านโซเชี่ยลมีเดียกันเต็มไปหมด ซึ่งไม่ใช่การด่าฟอร์มการเล่นที่ย่ำแย่ แต่เป็นการด่าสีผิว แถมในเกมถัดมากับวูล์ฟแฮมป์ตัน ก็เกิดเรื่องเหยียดผิวอีกรอบและเป็น แทมมี่ อับราฮัมคนเดิม แต่คราวนี้เขาโดนแฟนหมาป่าเหยียดเพราะดันโชว์ฟอร์มซัดแฮตทริคใส่ทีมรัก
ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะหาตัวแฟนบอลรายดังกล่าวพบและจัดการลงโทษด้วยการปรับเป็นเงิน 800ปอนด์ และสั่งให้จ่ายเพิ่มอีก 600ปอนด์ พร้อมจ่ายค่าชดเชยให้ผู้เสียหายอีก 50ปอนด์ รวมๆแล้วเจ้าตัวต้องเสียไปทั้งหมด 1450ปอนด์ แถมยังโดนแบนยาวห้ามเข้าชมเกมในทุกสนามของอังกฤษในสนามเป็นเวลา 4 ปีจากการกระทำครั้งนี้
แรชฟอร์ด-ป๊อกบาโดนเหยียดในโซเชี่ยล
ยังอยู่กันในโลกโซเชี่ยลคราวนี้เป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งมันเกิดขึ้นจากการที่ พอล ป๊อกบา กองกลางที่แฟนบอลจ้องจะด่าอยู่แล้วดันซัดจุดโทษพลาดในเกมเสมอกับ วูล์ฟแฮมป์ตันไป1-1 จนแฟนบอลที่รอซ้ำอยู่แล้วประเคนคำด่าในเชิงเหยียดผิวกันเต็มโลกออนไลน์ จนทางสโมสรและสองเพื่อนร่วมทีมอย่าง แฮร์รี่ แม็คไกวร์ และมาร์คัส แรชฟอร์ด ออกมาตอบโต้กับการกระทำของแฟนบอลในครั้งนี้
ด้านตัวดาวเตะเลือดน้ำหอมเองก็ไม่ได้เกรงกลัวคำด่าออกมาสวนว่า “การเหยียดผิวเป็นเรื่องที่แสนโง่เขลา และทำให้ผมแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นแรงกระตุ้นให้ผมที่จะสู้อย่างเต็มที่เพื่อรุ่นต่อไป”
หลังจากนั้นในเกมถัดมา มาร์คัส แรชฟอร์ด ก็เป็นเหยื่อที่โดนเหยียดผิวติดๆกันในเกมกับคริสตัล พาเลซ ที่พวกเขาแพ้ไป 2-1 และจังหวะที่เจ้าตัวโดนเหยียดก็คือจังหวะพลาดจุดโทษเช่นเดียวกันในนาทีที่ 70ของเกม ซึ่งส่งผลให้พวกเขาแพ้ไปในเกมนั้น
เรื่องครั้งนี้ทำเอาทางโอเล่ กุนนาร์ โซลชา กุนซือปีศาจแดงอดรนทนไม่ไหวต้องออกมาพูดปกป้องลูกทีมด้วยตัวเองว่า “มันเหมือนกับที่เราพูดไปเมื่อสัปดาห์ก่อน และมันจำเป็นต้องหยุดสักที”
“ผมหมดคำจะพูด เรารณรงค์มามากมาย และพวกเขาก็ยังหลบซ่อนอยู่หลังตัวตนปลอมๆ มันบ้าไปแล้วที่เราต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ในปี 2019”
หอกปอร์โต้วอร์คเอ้าท์หลังโดนเหยียด
การฉลองประตูด้วยการยั่วยุแฟนบอลอีกฝั่งถือเป็นเรื่องพบเห็นได้บ่อยในวงการฟุตบอล แน่นอนว่าการที่แฟนบอลตอบโต้ด่าทอกลับมามันก็ไม่ผิด หากว่าไม่ใช่การเหยียดผิวแบบที่ มุสซ่า มาเรก้า กองหน้าร่างยักษ์ของเอฟซี ปอร์โต้ต้องเจอ ในเกมที่เจ้าตัวสามารถยิงประตูให้ต้นสังกัดขึ้นนำไป 2-1 ก็ได้วิ่งไปดีใจต่อหน้าแฟนบอลเจ้าถิ่น ซึ่งแน่นอนก็มีการตอบโต้กลับมา
แต่เหตุการณ์มันบานปลายจากการตะโกนด่าทั่วๆไปกลายเป็นการเหยียดผิว ทำให้แข้งวัย 28ปีถึงกับรับไม่ได้ และตัดสินใจวอล์คเอ้าท์ออกจากสนามทันที แม้บรรดาเพื่อนร่วมทีมจะพยายามรั้งไว้แต่ก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายก็ถูกเปฃี่ยนตัวออกไปในที่สุด ซึ่งภายหลังตัวนักเตะก็ออกมาโพสต์ตอบโต้แฟนบอลไร้คุณภาพว่า “สำหรับพวกโง่เง่าที่เข้าไปตะโกนเหยียดผิวในสนาม ก็ไปไกล ๆ ส้นเท้าซะ”
“และผมก็รู้สึกขอบคุณผู้ตัดสินที่ไม่ได้ปกป้องผม แถมยังให้ใบเหลืองแก่ผมที่พยายามปกป้องสีผิวของตัวเองอีก ผมหวังว่าจะไม่มีวันได้เห็นคุณในสนามอีกนะ คุณมันน่าอดสูสิ้นดี”
FC Porto's Moussa Marega substitutes himself off the pitch following racist chants in Portugal.
Instead of stopping Marega from substituting himself, FC Porto players should have left the pitch with him. Shocking scenes.pic.twitter.com/EB4xk2fsxz
— Troll Football (@TrollFootball) February 16, 2020
นอกจากนี้ยังมี ชอน ไรท์-ฟิลลิปส์ อดีตดาวเตะทีมชาติอังกฤษ ที่ออกมาตำหนิเพื่อนร่วมทีมปอร์โต้ที่พยายามห้ามไม่ให้ มาเรก้าออกจากสนามทั้งที่โดนเหยียดว่า “บอกตามตรงเลยผมคิดว่ามันน่าเกลียดมาก”
“สำหรับผมโดยส่วนตัว ถ้าผมเดินลงสนามกับเพื่อนร่วมทีม ผมก็ต้องการที่จะสู้ตายเต็มที่และเชื่อมั่นในตัวพวกเขา ผมไม่ต้องการอะไรที่น้อยไปกว่านั้นกลับคืนมาจากพวกเขาด้วย ถ้าเรื่องนั้น(เหยียด)เกิดขึ้นกับผม และผมรู้สึกว่าอยากจะเดินออกจากสนาม ผมก็หวังให้เพื่อนร่วมทีมหนุนหลังผม แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้เป็นแบบนั้น ซึ่งมันค่อนข้างเจ็บปวดที่ได้เห็น โดยเฉพาะสำหรับเขา”
“ผมนึกภาพได้เลยว่าเขาจะรู้สึกโดดเดี่ยวแค่ไหนในเวลานั้น”
แข้งชัคตาร์ โดเนทส์คโดนใบแดงหลังตอบโต้พวกเหยียดผิวในสนาม
การที่คนคนนึงจะแสดงการตอบโต้ต่อการเหยียดผิวที่ตนต้องเจอนับว่าเป็นสิทธิที่คนคนนั้นควรได้รับ แต่กับเหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นกับ ไทสัน ปีกตัวรุกของชัคตาร์ โดเนทส์ค กลับโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในเกมกับ ดินาโม เคียฟ หลังแฟนบอลทีมคู่แข่งตะโกนเหยียดผิวใส่เขา ซึ่งเจ้าตัวก็ทนมาถึงช่วงท้ายเกมก่อนฟิวส์ขาด เตะบอลขึ้นไปทางกองเชียร์ พร้อมชูนิ้วกลางใส่ จากนั้นเขากลับโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม ทำเอาตัวเขาและเพื่อนร่วมทีมอย่าง เดนตินโญ่ ต้องร้องไห้ออกมาสำหรับความไม่ยุติธรรมในครั้งนี้
นอกจากนี้ก่อนเกมทางสโมสรก็ได้มีแคมเปญต้านการเหยียดผิวแต่แฟนบอลจอมเหยียดก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรแถมยังมีการทำสติ๊กเกอร์ที่มีข้อความว่า “ชอบเหยียดผิว” แจกจ่ายก่อนเกมเพื่อล้อเลียนแคมเปญดังกล่าวอีกด้วบ ส่วนหลังจากนั้นแข้งวัย 31ปี ก็ถูกแบนไป 1นัดตามระเบียบ ในณะที่ทางดินาโม เคียฟ ก็โดนสมาคมฟุตบอลปรับเงินเป็นจำนวน 16,000ปอรด์ พร้อมสั่งเล่นแบบปิดสนามอีก 1เกม
Absolutely heartbreaking seeing Shakhtar player Dentinho in tears after receiving racist abuse in today’s game against Dynamo. Taison retaliates by kicking the ball into the crowd and gets sent off. More needs to be done. pic.twitter.com/S9CA5uNfcw
— Tom Sleeman (@TomSleeman11) November 10, 2019