อัซซูร่าคืนชีพ! ‘มันชินี่’ ผู้กอบกู้ ‘อิตาลี’ จากยุคมืด

 

สถิติการชนะ 9นัดติดในศึกฟุตบอลยูโร 2020 รอบคัดเลือกของทีมชาติอิตาลีเป็นตัวบ่งบอกเป็นอย่างดีว่าพวกเขากำลังจะกลับมาเป็นชาติมหาอำนาจด้านฟุตบอลอีกครั้ง หลังจากอกหักตกรอบแรกในฟุตบอลโลก 2018ที่ผ่านมา ซึ่งก็ได้เปลี่ยนมือจาก จามปิเอโร เวนตูรา มาเป็น โรแบร์โต้ มันชินี่ และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมจากการพาทีมชนะ 12 เกม, เสมอ 4 นัด และแพ้ 2 ครั้งเท่านั้น

 

วันนี้ทางUFAARENA จะพาไปชมปัจจัยสู่การกลับมายิ่งใหญ่ของทัพอัซซูรี่ รวมถึงข้อด้อยที่ยังต้องแก้กันต่อไปว่าจะมีอะไรกันบ้าง

 

พลิกโฉมทีมเน้นรับมารุกเต็มสูบ

 

 

เป็นที่รู้กันดีว่าทีมชาติอิตาลีขึ้นชื่อเรื่องทีมที่เน้นเกมรับที่แข็งแกร่งมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขาครองความยิ่งใหญ่มานาน แต่ในช่วงหลังๆสไตล์การเล่นฟุตบอลของโลกเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สไตล์เกมรับของพวกเขาก่อนหน้านี้เริ่มใช้ไม่ได้แล้ว การเข้ามาของ มันชินี่ เรียกว่าพลิกภาพจำของอัซซูรี่ไปเลย แต่ในเรื่องเกมรับพวกเขาก็ไม่ได้ทิ้ง เพราะจากสถิติเผยว่าพวกเขาเก็บคลีนชีทไปได้ 6นัด เสียไปแค่ 3ประตูเท่านั้น

 

ถ้าหากนับจากยุคของเวนตูร่า ก็ถือว่าค่อนข้างแตกต่างกันพอสมควร เพราะในยุคของเวนตูร่า เขาใช้แผนใกล้เคียงกับยุค อันโตนิโอ คอนเต้ อย่าง3-5-2 เน้นการรับแล้วสวนกลับ แต่ในเรื่องของรูปแบบการเล่นยังดูไม่เป็นทรงเท่าไรนัก เพราะนอกจากแผนดังกล่าวแล้ว เจ้าตัวค่อนข้างเปลี่ยนแผนบ่อยมากจนนักเตะแทบไม่คุ้นชินกับแผน ส่วนในยุคของ มันชินี่ เขาเลือกใช้แผน 4-3-3เป็นหลัก จึงทำให้นักเตะเล่นกันได้คุ้นชินและเข้าขากันมากกว่า

 

จอร์จินโญ่ ผู้คุมแดนกลาง

 

 

ถ้าหากมองดูแล้วนอกจากตำแหน่งปราการหลัง และผู้รักษาประตู ทัพอัซซูรี่แทบจะโรเทชั่นตำแหน่งแต่ละตำแหน่งตลอดเวลา แต่มีแค่ จอร์จินโญ่ที่ได้ลงสนามแทบทุกนัด ถ้านับแค่ในศึกยูโรเขาก็ได้ลงเล่นไป 8จาก 9นัดที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในแดนกลางของอิตาลี ด้วยเปอร์เซ็นการผ่านบอลสำเร็จสูงถึง 91เปอร์เซ็น แม้ว่าจะยังไม่มีแอสซิสต์ให้กับเพื่อนร่วมทีม แต่ด้วยบทบาทหน้าที่ของเจ้าตัวที่ถูกวางให้เป็นตัวเชื่อมเกม และคอยคุมจังหวะเกมเสียมากกว่า ก็ถือว่าเขาทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

 

การเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่สมบูรณ์แล้ว?

 

 

นอกจากเรื่องแผนการเล่นแล้ว เรื่องตัวนักเตะก็ค่อนข้างมีผลเพราะก่อนหน้านี้หลังจาก คอนเต้ วางมือจากทีมชาติไปตั้งแต่จบศึกยูโร 2016 อิตาลีก็เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนถ่ายเลือดใหม่พวกนักเตะตัวเก๋าๆอย่าง อังเดร บาซาญี่ , จานลุยจิ บุฟฟ่อน , แดเนียล เดรอสซี่ ต่างก็อำลาทีมชาติไปกันหมดทำให้ในยุคของ เวนตูร่า เห็นได้ชัดเลยว่าทีมยังตั้งตัวกันไม่ได้เมื่อขาดสตาร์ตัวเก๋าๆ 

 

แต่มาในยุคของ มันชินี่ ที่ยังคงมีนักเตะจากยุคที่พลาดท่าตกรอบฟุตบอลโลก2018มาบ้าง แต่นักเตะเหล่านั้นก็สะสมประสบการณ์มาพอตัวแล้ว แม้ว่าจะขาด จอร์จิโอ คิเอลลินี่ ที่มีอาการบาดเจ็บอยู่ในช่วงนี้ก็ไม่ได้ติดทีมชุดปัจจุบันมาด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขามีปัญหาในแนวรับเท่าไรนัก ส่วนพวกนักเตะในชุดปัจจุบัน ก็กำลังฟอร์มเข้าฝักทั้งในระดับสโมสรและทีมชาติ แถมยังมีพวกดาวรุ่งที่รอขึ้นเสียบตำแหน่งรุ่พี่ในทีมหลายๆคนเตรียมรอเอาไว้รุ่นต่อไปแล้วด้วยซ้ำ

 

ประสบการณ์นักเตะในทีมยังน้อย

 

 

ปฏิเสทไม่ได้ว่าแม้จะถ่ายเลือดใหม่มาแบบเรียบร้อยแล้ว แต่มันก็ยังไม่เต็มที่ 100เปอร์เซ็น ซึ่งสิ่งที่ขาดไปนั่นคือประสบการณ์ที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนสำคัญอันดับต้นๆของฟุตบอล เนื่องจากนักเตะภายในทีมมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 25.6ปีเท่านั้น ส่วนทีมที่อายุเฉลี่ยต่ำสุดอยู่ที่ 23.7ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นทีมชาติโคโซโว ชุดที่เอาชนะบัลแกเรีย 3-2 ส่วนอีกทีมก็คือทีมชาติอังกฤษในเกมที่เอาชนะ มอนเตเนโกร 7-0เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นักเตะบางคนเพิ่งได้มีประสบการณ์ลุยรายการระดับทวีปแบบนี้ด้วยซ้ำ ทำให้ในรอบต่อๆไปอาจมีผลไม่มากก็น้อย

 

การเจอทีมใหญ่ยังน่าห่วง

ต่อเนื่องจากเรื่องประสบการณ์แม้ว่าทัพอัซซูรี่จะมีผลงานอันน่าพอใจในศึกยูโร 2020 แต่ในส่วนของการเจอทีมชาติยักษ์ใหญ่พวกเขายังค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะในบรรดาทีมใหญ่ๆที่พวกเขาเคยเจอตั้งแต่ มันชินี่เข้ามาคุมทีมไล่มาตั้งแต่ ฝรั่งเศส , เนเธอร์แลนด์ , โปรตุเกส และ โปแลนด์ พวกเขาเอาชนะไปได้แค่ โปแลนด์เท่านั้นในศึกเนชั่นลีก แต่เกมแรกที่พวกเขาเจอกันก็เป็นการเสมอกันไป1-1 ที่เหลือก็เป็นการ เสมอ2นัด และ แพ้2นัด ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะมีสถิติที่สวยหรู แต่การพิสูจน์ตัวเองของพวกเขา คงจะต้องรอในรอบต่อไป ว่าจะสามารถผ่านทีมใหญ่ๆได้หรือไม่