หากไม่มีอะไรผิดพลาด เหล่ากูนเนอร์ส คงได้เห็น ไค ฮาแวร์ตซ์ เป็นสมาชิกใหม่รายแรกของ อาร์เซน่อล ในซัมเมอร์ปี 2023 หลังจ่อปิดดีลจ่ายให้ เชลซี ด้วยค่าตัวราวๆ 65 ล้านปอนด์
ดาวเตะทีมชาติเยอรมนี ย้ายมา สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในปี 2020 ด้วยค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์ จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น น่าเสียดายที่ตลอด 3 ปีในทีม ‘สิงห์บลูส์’ เขาทำผลงานได้ไม่ดีอย่างที่แฟนๆคาดหวังนัก
หลังจบฤดูกาลล่าสุด ดาวเตะชาวเยอรมัน ตกเป็นข่าวกับ ‘ปืนใหญ่’ อย่างหนัก ก่อนสื่อหลายเจ้าจะโหมข่าวว่า ไค เตรียมย้ายจาก ลอนดอนฝั่งตะวันตก ไปค้าแข้งใน ลอนดอนเหนือแทน หลัง 2 สโมสร ตกลงค่าตัวได้แล้ว รวมไปถึงเงื่อนไขส่วนตัวของนักเตะด้วย
ว่าแต่ ทำไม มิเกล อาร์เตต้า ถึงอยากได้ ฮาแวร์ตซ์ ไปร่วมทีมขนาดนั้น และจะส่งผลดีอะไรให้กับ เดอะ กันเนอร์ส UFA ARENA จะพาไปวิเคราะห์ผ่านบทความนี้กัน
ล้มเหลวหรือไม่กับ ‘สิงห์บลูส์’
ฮาแวร์ตซ์ เตรียมอำลา เชลซี หลังค้าแข้ง 3 ปีใน เดอะ บริดจ์ แม้ผลงานอาจไม่เข้าเป้า แต่ยากจะตัดสินว่านี่เป็นดีลที่ล้มเหลวสำหรับพวกเขาเช่นกัน
ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ ที่จ่ายให้ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ทำให้ความคาดหวังย่อมมีสูง แต่สถิติยิงประตู 32 ลูกจาก 139 นัด ก็ถือน่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ค่าเฉลี่ยยิงประตูให้กับ เชลซี อยู่ที่ 0.23 ลูกต่อเกม น้อยกว่าสมัยที่เขาเคยเล่นให้กับ ห้างขายยา ที่ 0.31 ลูกต่อเกม อีกทั้งในฤดูกาล 2022-23 ก็ถือว่าแย่ไม่น้อย เนื่องจากฟอร์มการเล่นต่ำกว่าค่าการคาดหวังทำประตู (11.6) แต่ยิงได้ 7 ลูกในลีก มีเพียง แพทริค แบมฟอร์ด หอกจาก ลีดส์ ยูไนเต็ด ที่ทำได้แย่กว่า (4 ประตู ค่า xG 8.6) อีกทั้งยังพลาดโอกาสสำคัญ 14 จาก 18 ครั้ง
แต่กองหน้าไม่ควรตัดสินจากจำนวนประตูที่พวกเขาทำได้เท่านั้น พวกเขาทำประตูได้เมื่อใดและที่ไหนก็มีความสำคัญเท่าเทียมกัน
ในหมวดหมู่นี้ ฮาแวร์ตซ์ สามารถชี้ไปที่ประตูชัยของเขาใน แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2021 และรอบชิงชนะเลิศสโมสรโลก ปี 2022 ซึ่งเป็นประตูที่ทำให้เขาได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้เล่นที่โดดเด่นในเกมสำคัญ และต้องนำมาพิจารณา เมื่อวิเคราะห์เวลาของเขาที่ เชลซี
แต่ประตูนั้นกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็น 1 ใน 6 ประตูที่เขาทำได้ในแชมเปียนส์ลีกจาก 31 เกมกับ’สิงห์บลูส์’ ซึ่งควรคาดหวังมากกว่านี้ สำหรับผู้เล่นกองหน้าที่ออกสตาร์ทให้กับ 1 ในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเป็นประจำหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม มันก็ยุติธรรมแล้วที่จะถามว่า วิธีที่ เชลซี ใช้งานแข้งชาวเยอรมัน ฉุดรั้งความสามารถของเขาไว้หรือไม่? ความสามารถอันหลากหลายช่วยให้เขาได้ออกสตาร์ทอย่างสม่ำเสมอ แต่ทีมมักจะปล่อยให้เขาเป็นกองหน้าตัวเป้าคนเดียว ที่ต้องแบกภาระการทำประตูให้ทีมเป็นหลัก
ไม่ใช่ว่าการเล่นเป็นหมายเลข 9 ไม่เหมาะกับ ดาวเตะวัย 24 ปี หากเขาสามารถถอยลงมาเชื่อมเกม และจับคู่กับจอมยิงประตูที่ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ข้างหลังเขาหรือด้านข้าง จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเห็นว่า นั่นอาจทำให้เขาเป็น ฟอลส์ไนน์ ที่มีประสิทธิภาพสูง
แต่นั่นไม่ใช่บทบาทที่ เชลซี ใช้งาน เนื่องจากวางเขาเป็นกองหน้า ขณะที่เพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ที่อยู่รายล้อม ก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่ยิงประตูได้เฉียบคม หรือหวังผลได้มากนัก
อีกทั้ง เขาคงไร้โอกาสแสดงคุณค่า ในฐานะผู้เล่นหมายเลข 8 หรือหมายเลข 10 ที่เล่นอยู่เบื้องหลังหมายเลข 9 ที่แท้จริง ซึ่ง 2 บทบาทที่ดูเหมือนจะเหมาะสมกับความสามารถของเขาในการเชื่อมโยงการเล่น และสอดขึ้นไปทำประตูในกรอบเขตโทษ
และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น แฟรงค์ แลมพาร์ด (2 ครั้ง), โธมัส ทูเคิล, เกรแฮม พอตเตอร์ ก็ไม่มีกุนซือคนไหนที่สามารถเค้นฟอร์มของ อดีตดาวรุ่งจาก เลเวอร์คูเซ่นได้เลย
สถิติยิงประตูที่แฟนปืนอาจกังวล
น่าเสียดายที่ ฮาแวร์ตซ์ อาจต้องลา เชลซี ทั้งๆที่เขามีโอกาสได้เจอกุนซือที่สามารถใช้งานได้มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ อย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
ระบบ 4-2-3-1 ที่ พอช ใช้งานเป็นหลักในช่วงที่คุม ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ คือช่วงที่ทำให้ เดเล่ อัลลี่ เฉิดฉายสุดๆ ในตำแหน่งผู้เล่นเบอร์ 10 ที่คอยปั้นเกม หรือทำประตู แถมโดดเด่นสุดๆในระหว่างปี 2015-2018 ที่ทั้งคู่ร่วมงานกัน
แข้งชาวเยอรมัน อาจทำแบบนั้นได้เช่นกัน หากได้ร่วมงานกับ กุนซือชาวอาร์เจนไตน์ จริงๆ เพียงแต่การมาของ คริสโตเฟอร์ เอ็นคุนคู ที่ย้ายจาก แอร์เบ ไลป์ซิก ด้วยค่าตัว 52 ล้านปอนด์ ที่มีตำแหน่งการเล่นคล้ายๆกัน อาจทำให้ทีมจะเลือกเพียงคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
แม้น่าสนใจไม่น้อยว่า พอช จะทำให้ ไค กลับมาเป็นดาวเด่นได้อย่างไร แต่ดูเหมือนว่าคนที่จะปลดล็อคศักยภาพของเขา น่าจะเป็น มิเกล อาร์เตต้า แทนแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถิติการทำประตูที่น้อยนิดของ ฮาแวร์ตซ์ ที่ เชลซี อาจสร้างความกังวลให้กับกองเชียร์ อาร์เซน่อล บางส่วน ซึ่งข้อมูลพื้นฐานเพียวๆจากฤดูกาลที่แล้ว แสดงให้เห็นภาพรวมว่าเขาเป็นผู้เล่นที่ไม่ค่อยเฉียบคมเท่าไหร่ในกรอบเขตโทษ
แต่ควรสังเกตุว่า แม้ฟอร์มการทำประตูของเขาในช่วง 2 ฤดูกาลหลังอาจไม่สวยหรู แต่ก่อนหน้านี้ เขาซัดไป 38 ประตูจาก 87 นัดให้กับ เลเวอร์คูเซ่น ช่วง 2 ปีสุดท้ายกับทีม อีกทั้งยังยิงไป 13 ประตูจาก 36 นัดยามที่รับใช้ ทีมชาติเยอรมนี
สำหรับ อาร์เซน่อล มีความหวังตัวเลขเหล่านั้นจะดีขึ้นในฐานะตัวจบสกอร์ อย่างน้อยก็ให้มากกว่าช่วงเวลา 3 ปีที่ไม่เป็นดังหวังกับ เชลซี
นอกจากนี้ การทำประตูเป็นเพียงด้านเดียว ในการเล่นของเขาเท่านั้น
ดาวเตะวัย 24 ปี แสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถในการเล่นเป็น ฟอลส์ ไนน์ แต่เขาไม่ใช่และไม่เคยเป็นกองหน้าตัวเป้าเลย อีกทั้งยังมีความสามารถอันหลากหลายเกินกว่าจะให้ยึดติดเป็นกองหน้าเพียงอย่างเดียว
ยามครองบอล เขาเป็นนักเตะอีกคนที่มีเทคนิคสูง สไตล์การเล่นที่เนื่อยๆ เนิบๆ ของเขาชวนให้นึกถึง ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ไม่น้อย แต่เขามีดีกว่านั้น และนั่นเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ อาร์เตต้า กับ อาร์เซน่อล สนใจในตัวเขา
ไม่ว่าจะเล่นริมเส้นหรือยืนตรงกลาง การเคลื่อนที่ของดาวเตะเมืองเบียร์ ยอดเยี่ยมมาก โดยเขามักจะมองหาทางเลือกให้เพื่อนร่วมทีมในพื้นที่สุดท้าย และความตั้งใจของเขาที่จะเน้นเปิดช่องว่างในแนวรับของคู่แข่ง สามารถเห็นได้ในจำนวนของเขาในการเคลี่อนที่ยามไม่มีบอล
ฤดูกาลที่แล้วในพรีเมียร์ลีก มีเพียง ซน ฮึง มิน ที่ทำได้มากกว่าเขา ในการวิ่ง (1011) ขณะที่การวิ่งเติมเกมรุก ก็รั้งอันดับ 3 (876) ในลีก เป็นรองเพียง ซน กับ โอลลี่ วัตกินส์ จาก แอสตัน วิลล่า
อีกทั้งมีเพียง 4 คน ซึ่งก็คือ วัตกินส์, ซน, เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ และ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่วิ่งท้าทายตัดไลน์แนวรับมากกว่า ไค (332) และคุณภาพในการวิ่งของเขา ก็เห็นได้ชัดจากอีกสถิติตัววิ่งที่เป็นเป้าหมายในการจ่ายบอล (377) เป็นรองแค่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เท่านั้น
เพิ่มมิติใหม่ให้เกมรุกของ อาร์เตต้า
การเคลื่อนไหวและการควบคุมพื้นที่ของ ฮาแวร์ตซ์ สร้างความสนใจให้กับ อาร์เตต้า ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งเขาคือกุนซือที่มักให้ผู้เล่นแนวรุกเปลี่ยนตำแหน่งบ่อยๆ เพื่อให้คู่แข่ง จับทางได้ยาก คาดเดาได้ลำบาก ทำให้ความสามารถอันหลากหลายของเขาจึงมีค่าเช่นเดียวกัน
ไค ได้เล่นเป็น กองหน้าตัวเป้า มากกว่าตำแหน่งอื่นๆใน เชลซี แต่เขาถูกใช้งานมาหมดแล้วในแผงเกมรุก แถมบางคนมองว่าเขาเป็นมิดฟิลด์ด้วยซ้ำในบางเกม
แน่นอนว่านี่คือรูปแบบการเล่นที่ อาร์เตต้า ใช้กับ อาร์เซนอล และตำแหน่งหมายเลข 8 ทางด้านขวาที่ มาร์ติน โอเดการ์ด ลงเล่น เป็นเพียงหนึ่งในตำแหน่งที่ แข้งชาวเยอรมัน สามารถเติมเต็มได้
ความสามารถในการใช้ 2 เท้า ทำให้เขาสามารถลงเล่นในอีกฝั่งหนึ่งของกองกลางได้ด้วย กับบทบาทของ กรานิต ชาก้า เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ในขณะที่เขายังสามารถเป็นทางเลือกเพิ่มเติมที่จำเป็นสำหรับ บูคาโย่ ซาก้า ซึ่งต้องแบกภาระอันหนักหน่วงในตำแหน่งตัวรุกด้านขวาในซีซั่นก่อน
จากนั้นก็ศักยภาพที่จะใช้เขาในแดนหน้า แน่นอนว่าไม่ได้แตกต่างจาก กาเบรียล เชซุส ในแง่ของการเคลื่อนไหว อัตราการทำงานเพื่อทีม และความสามารถในการเพรสซิ่ง ซึ่งวิ่งสปรินต์เต็มที่และครอบคลุมพื้นที่มากกว่าผู้เล่นเชลซีคนอื่นๆ ในฤดูกาลที่แล้ว แต่เขาจะนำคุณสมบัติที่แตกต่างจากที่ เดอะ กันเนอร์ส มี มาสู่บทบาทหมายเลข 9 อีกด้วย
ด้วยความสูงถึง 190 เซนติเมตร ทำให้ ไค เล่นลูกกลางอากาศได้ดี ในแบบที่แนวรุก ‘ปืนใหญ่’ ชุดนี้ ยังไม่มีใครทำได้มากนัก จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่กองหน้าตัวเป้าแบบดั้งเดิม แต่ก็มีความแข็งแกร่งพอในการดวลกับคู่แข่งในลูกกลางอากาศ ทั้งโหม่งชงให้เพื่อน หรือทำประตูในกรอบเขตโทษ
ฤดูกาลที่แล้ว แข้งชาวเยอรมัน โหม่งทำประตูไป 3 ลูกในพรีเมียร์ลีก ซึ่งมีเพียง 8 คนที่โหม่งทำประตูได้มากกว่าเขา อีกทั้ง ยังมีเปอร์เซนต์ชนะการดวลกันกลางอากาศ 56% สูงกว่าทั้ง ไอแวน โทนี่ย์ หรือ อเล็กซานดาร์ มิโตรวิช (48%) และชัดเจนว่าเหนือกว่า เชซุส แบบกินขาด (37%)
ท้ายที่สุดแล้ว การย้ายไป อาร์เซนอล อาจเหมาะสมกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง เชลซี ที่ได้ค่าชดเชยกลับมาบ้าง แม้ไม่เท่าทุน 75 ล้านปอนด์ที่จ่ายให้ เลเวอร์คูเซ่น ก็ตาม อีกทั้ง พวกเขาก็หานักเตะมาแทนที่ได้แล้วด้วยการคว้า เอ็นคุนคู มาเสริมทัพในซัมเมอร์นี้
ในทางกลับกัน อาร์เซน่อล ก็จะรู้สึกว่าพวกเขากำลังได้นักเตะที่มีศักยภาพสูงที่ยังไม่ได้ปล่อยของเต็มที่ ซึ่งในวัย 24 ปี ยังมีช่วงพีครออยู่ในอนาคตข้างหน้า และความสามารถในการครอบคลุมหลายตำแหน่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้ อาร์เตต้า มีตัวเลือกในการโจมตีที่แตกต่างออกไป
สำหรับ ฮาแวร์ตซ์ เอง มันจะเป็นการเริ่มต้นใหม่ และเป็นโอกาสในการแสดงความสามารถอย่างเต็มที่อีกครั้ง อย่างที่เขาเคยแสดงให้เห็นกับ เลเวอร์คูเซ่น จนกลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุดของยุโรป