ศึกมิลานดาร์บี้ นับเป็นเกมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของโลก เพียงแต่ในเวที แชมเปี้ยนส์ลีก มีเจอกันเพียงแค่ 4 นัดเท่านั้น มิลานชนะ 1 เสมอ 2 และ อินเตอร์ถูกปรับแพ้อีก 1 นัด และในฤดูกาลปัจจุบันทั้งสองทีมได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 18 ปีของรายการนี้
วันนี้ UFAARENA จะพาไปย้อนดูศึกผ่าเมืองมิลาน ครั้งสุดในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อปี 2004/05 ว่ามีเรื่องไหนบ้างที่เป็นที่น่าจดจำ
ภาพจำในตำนาน
เวลาที่ค้นหาคำว่า ‘milan derby’ ภาพที่มักจะขึ้นมาเป็นอันดับแรกๆ ก็ไม่พ้นภาพของ รุย คอสต้า ที่กำลังยืนมอง พลุไฟที่ถูกปาเข้ามาในสนามคู่กับ มาร์โก มาร์เตรัซซี่ ซึ่งนั่นเป็นภาพจำครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่ได้พบกันในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก แต่หลังจากนั้นสองทีมจากเมืองมิลานก็เข้าสู่ยุคตกต่ำ แม้ว่าจะได้มาลุย UCL แต่อย่าว่าแต่ไปเจอกันเลย ให้สักทีมเข้ารอบน็อกเอาท์ยังไม่ง่ายเลย
ย้อนไปในเมื่อฤดูกาล 2004/2005 ทั้งคู่อุดมไปด้วยนักเตะชั้นยอด ฝั่ง ‘เนรัซซูรี่’ มีนักเตะอย่าง อาเดรียโน่, คริสเตียน วิเอรี่, ฮาเวียร์ ซาเนตติ และ มาร์โก มาร์เตรัซซี่ เป็นตัวชูโรง ส่วนทาง ‘รอสโซเนรี่’ ก็ไม่ได้น้อยหน้ามี อันเดร เชฟเชนโก้, เฮอร์นัน เครสโป, กาก้า และ เปาโล มัลดินี่ เป็นการการันตีเมื่อสองทีมนี้โคจรมาพบกัน จะเป็นเกมคุณภาพแน่นอน
ที่มาความเดือดในเกม
เป็นที่รู้กันว่าศึกผ่าเมืองมิลาน เป็นเกมที่ดุเดือดมากพออยู่แล้ว แต่ในเกม UCL 2004/05 มีประเด็นที่ทำให้เกมนั้นเดือดดาลขึ้นไปอีก นั่นคือการตัดสินของเชิ้ตดำอย่าง มาร์คุส แมร์ก ที่เป่าขัดหูขัดตาแฟนบอล อินเตอร์ มิลาน อยู่หลายหน จนสุดท้ายความอดทนก็ถึงขีดสุดในนาทีที่ 71
เหตุการณ์เลวร้ายลงจากที่แค่ด่าทอทั่วไป กลายเป็นการปาพลุไฟลงมาในสนาม โดนตัวของผู้รักษาประตูของ เอซี มิลาน อย่าง ดีด้า จนถึงกับบาดเจ็บและต้องเปลี่ยนตัวออก มาร์คุส แมร์ก เลยเป่าหยุดเกมราว 10 นาทีเพื่อเคลียร์พลุไฟออกให้หมด แต่หลังจากกลับมาเตะอีกรอบได้แค่นาทีเดียวก็ยังมีพลุไฟถูกแฟนบอล งูใหญ่ ปาลงมาเรื่อยๆ จนสนามกลายเป็นทะเลเพลิง
เมื่อผู้ตัดสินเป่าหยุดเกมอีกครั้ง ก็กลายมาเป็นภาพในตำนานที่นักเตะทั้งสองฝ่ายต่างยืนดูสนามที่กำลังลุกเป็นไฟ โดยเฉพาะภาพของ รุย คอสต้า และ มาร์โก้ มาร์เตรัซซี่ ที่ถูกสื่อนำไปใช้อย่างแพร่หลาย สุดท้ายเกมดังกล่าว ผู้ตัดสินเป่าให้ยุติการแข่งขัน เนื่องจากมองว่าแข่งต่อไม่ได้แล้วส่งให้ ปีศาจแดงดำ ชนะไปด้วยสกอร์ 1-0
หลังจากนั้นทาง ยูฟ่า ได้มีการพิจารณาบทลงโทษให้ งูใหญ่ เป็นฝ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 3-0 พร้อมปรับเงินอีก 192,180 ยูโร และสั่งให้ อินเตอร์ ห้ามมีกองเชียร์เข้าชมในเกมยุโรปจำนวน 4 นัด ส่วนผลในเกมยุโรป เอซี มิลาน เข้ารอบไปด้วยสกอร์รวม 5-0 แม้จะไปไม่ถึงฝันจากเหตุการณ์ปาฏิหาริย์อิสตันบลู ที่ ลิเวอร์พูลพลิกนรกกลับมาชนะจุดโทษได้อย่างน่าเจ็บใจ
การโคจรกลับมาพบกันอีกครั้ง
ตัดภาพมาที่ปัจจุบัน ทั้งสองทีมเพิ่งฟื้นตัวกลับมาจากยุคตกต่ำ และคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้มาครองกันอย่างละสมัยแล้ว ก่อนจะได้โคจรกลับมาพบกันอีกครั้งในรายการนี้ แถมยังเป็นการเจอกันในรอบรองชนะเลิศ ซะด้วย นับเป็นฤดูกาลที่พวกเขาได้เจอกันมากที่สุดถึง 5 ครั้งแบ่งเป็น 2 ครั้งในลีก และอีก 1 ครั้งในนัดชิงชนะเลิศซูเปอร์ โคปปา อิตาเลีย
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับวันวานที่ลีกแดนรองเท้าบู้ทรุ่งเรือง มิลานดาร์บี้ ในปัจจุบัน คุณภาพอาจจะสู้ไม่ได้ แต่จากสถิติในช่วงหลังที่เจอกัน ต้องบอกว่าเป็นการแลกแบบหมัดต่อหมัด ไม่ได้มีใครเหนือกว่าใครชัดเจน และยังคงเป็นเกมที่การันตีความสนุกเช่นเดิม โดย 5 เกมหลังสุด อินเตอร์ มิลาน ชนะ 3 เสมอ 1 และแพ้ 1
เช่นกันในครั้งนี้ ฝั่ง งูใหญ่ ก็ยังคงดูดีกว่าทั้งฟอร์มการเล่นที่สม่ำเสมอ 5 นัดหลังชนะรวด เสียแค่ประตูเดียว และความพร้อมของทีมที่ขาดนักเตะไปแค่คนเดียวเท่านั้น ในขณะที่ทาง ปีศาจแดงดำ แม้จะไม่แพ้ใครในช่วง 5 เกมหลัง แต่ก็สะดุดเสมอซะ 3 นัดแถมยังต้องเสียคีย์แมนคนสำคัญอย่าง ราฟาเอล เลเอา ที่เป็นหัวใจในเกมรุกไปอีกด้วย
ภาพสะท้อนลงการบอลเลี่ยน
ศึกมิลานดาร์บี้ ครั้งนี้ไม่ได้มีความสำคัญในแง่ของความสนุกเท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ทีมจากอิตาลี เข้าชิง UCL นับจากที่ ยูเวนตุส เคยเข้าชิงกับ เรอัล มาดริด เมื่อปี 2016/17 แต่ก็เป็นฝ่ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 4-1 ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับวงการฟุตบอลอิตาลี ที่เริ่มฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ไล่มาตั้งแต่ทีมชาติที่คว้าถ้วย ยูโร 2020 มาครองได้ เรื่อยมาถึงระดับลีกที่มีการแข่งขันกันสูงขึ้น
นอกจากนี้ยังเป็นปีที่ทีมจากอิตาลี พากันผงาดในฟุตบอลยุโรปทั้งสามรายการ ไม่ว่าจะเป็น โรม่า และ ยูเวนตุส บนเวทียูโรป้าลีก ไปจนถึง ยูฟ่า ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ลีก ก็มี ฟิออเรนติน่า แม้ว่าการแข่งขันแย่งแชมป์ในฤดูกาลนี้จะค่อนข้างขาด นาโปลี ได้แชมป์ไปเรียยร้อยแล้ว แต่ก็มีข้อดีเพราะเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่แชมป์เปลี่ยนมือ
ด้วยเหตุนี้เกมมิลานดาร์บี้บนเวที แชมเปี้ยนส์ลีกในรอบ 18 ปีไม่ได้มีความสำคัญเป็นเพียงแค่เกมดาร์บี้ธรรมดา แต่เป็นภาพสะท้อนของวงการลูกหนังเลี่ยน ที่กำลังกลับมาสู่ความยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเคยเป็นอีกครั้ง ทั้งในระดับลีกและทีมชาติ