การแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ หลาย ๆ ทีมลงเล่นเกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถือว่ามีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น อะไรที่ไม่เคยเกิดมาก่อนเราก็ได้เห็นกันเต็มสองตา
เริ่มตั้งแต่คู่เปิดสนาม กาตาร์ ทีมเจ้าภาพที่ทำผลงานได้น่าผิดหวังไม่สมกับราคาคุย พ่ายให้กับ เอกวาดอร์ 0-2 ชนิดที่ต้องบอกว่าสู้กันไม่ได้เลย ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมเจ้าภาพของฟุตบอลโลกทีมแรกที่แพ้ในเกมนัดเปิดสนาม
ก่อนหน้านี้ ฟุตบอลโลก 21 ครั้ง กับ 22 แมตช์ (ปี 2002 เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเจ้าภาพร่วม) ในเกมเปิดสนาม ไม่เคยมีทีมเจ้าภาพแพ้ในการออกสตาร์ทนัดแรกมาก่อน พวกเขาได้จารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ลงเล่น World Cup 2022
นอกจากนี้เรายังได้เห็น “ฟ้าขาว” อาร์เจนติน่า ทีมที่ไม่เคยแพ้ใครมายาวนานกว่า 3 ปี ยังพ่ายในเกมแรกที่พบกับทีมรองบ่อนอย่าง ซาอุดีอาระเบีย แบบช็อคโลก 1-2 หยุดสถิติไร้พ่ายไว้ที่ 36 เกม ที่จริง ๆ แล้ว พวกเขาควรที่จะทาบสถิติของ อิตาลี ที่เคยทำเอาไว้ 37 ปี ด้วยซ้ำ ใครจะไปคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง
รวมไปถึง “อินทรีเหล็ก” เยอรมนี ที่พลาดท่าออกสตาร์ทด้วยการพ่ายแพ้ให้กับทีมจากเอเชียอย่าง “ซามูไร บูล” ทีมชาติญี่ปุ่น
มีเพียงหนึ่งทีมที่แพ้ในการออกสตาร์ทฟุตบอลโลกแล้วสามารถผงาดคว้าแชมป์ได้ นั่นก็คือ “กระทิงดุ” สเปน ในยุคของ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ในฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้
ในตอนนั้นพวกเขาแพ้ให้กับ สวิตเซอร์แลนด์ 0-1 ในเกมแรกก็ต้องมารอดูกันว่า อาร์เจนติน่า และลีโอเนล เมสซี่ บทสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร
ส่วนประเด็นหลักที่เราจะพูดถึงในวันนี้คือแชมป์เก่าอย่าง “ตราไก่” ทีมชาติฝรั่งเศส ที่ออกสตาร์ทเกมแรกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยการถล่มออสเตรเลีย 4-1 เก็บ 3 คะแนนไปแบบสบาย ๆ
ซึ่งในการเล่นฟุตบอลโลกหนนี้ของทีมชาติฝรั่งเศสมีสถิติมากมายที่พวกเขากำลังจะลุ้นทำลาย ทั้งใน World Cup และสถิติในทีมชาติ ส่วนจะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
๐ ชิรูด์ดาวซัลโวตลอดกาลของทีมชาติ
ก่อนเริ่มทัวร์นาเมนต์ฝรั่งเศสต้องเจอปัญหาอาการบาดเจ็บแกนหลักหลายราย โดยเฉพาะการขาดหายไปของ คาริม เบนเซม่า ที่ต้องถอนตัวก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นไม่กี่วัน นี่คือผู้เล่นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์คนล่าสุดที่ไม่ได้เล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ต่อจาก อัลลัน ซิโมนเซ่น ตำนานดาวยิงทีมชาติเดนมาร์กของ “สิงห์หนุ่ม” โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค
อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากเกมแรกที่พวกเขาถล่มเอาชนะ ออสเตรเลีย 4-1 ตัวที่ลงมาแทนอย่าง โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ นั้นทำได้ดี เขายิงสองประตูในเกมนี้ส่งผลให้ขึ้นไปทาบสถิติดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของทัพ “ตราไก่” จำนวน 51 ประตูจากการลงเล่น 115 เกม เทียบเท่ากับ เธียร์รี่ อองรี ที่เคยทำเอาไว้จากการลงสนาม 123 เกม
ซึ่งดูแล้วถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดหรือโชคร้ายบาดเจ็บหนัก สถิตินี้คงต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน อาจจะเป็น 2 เกมต่อไปในฟุตบอลโลกที่จะพบกับ เดนมาร์ก และตูนิเซีย
นอกจากนี้ 2 ประตูในเกมที่พบกับ ออสเตรเลีย ทำให้ดาวยิงจาก “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน กลายเป็นผู้เล่นฝรั่งเศสอายุมากสุดที่สามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ด้วยวัย 36 ปี 57 วัน และยังเป็นเจ้าของสถิตินักเตะอายุมากสุดที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกให้กับทีมชาติฝรั่งเศสอีก เรียกได้ว่าคนเดียวทุบไปหลายสถิติเลยทีเดียว
๐ ญอริส ลุ้นทุบ 2 สถิติการรับใช้ทีมชาติ
ในเกมที่พบกับออสเตรเลีย ฮูโก้ ญอริส นายทวารจาก “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ กลายเป็นนักเตะที่ลงสนามให้กับทีมชาติฝรั่งเศสไปแล้ว 140 เกม เหลืออีกเพียงแค่ 2 เกมเท่านั้น เขาจะทาบสถิติการรับใช้ทีมชาติสูงสุดของ ลิลิยอง ตูราม ที่เคยทำเอาไว้ 142 เกม หากไม่บาดเจ็บไปเสียก่อนดูแล้วสถิตินี้น่าจะถูกทุบอย่างแน่นอน
แถมเขายังลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไปแล้ว 14 เกม เทียบเท่ากับตำนานอย่าง มิเชล พลาตินี่ เขาต้องการอีก 4 เกมเพื่อทำลายสถิติการรับใช้ทีมชาติใน World Cup รอบสุดท้ายสูงสุดของ ฟาเบี่ยง บาร์กเตซ และเธียร์รี่ อองรี ที่เคยทำเอาไว้เท่ากันที่ 17 เกม
๐ ล้างอาถรรพ์แชมป์เก่าตกรอบแรกในฟุตบอลโลก
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมแชมป์เก่าในฟุตบอลโลก 3 หนหลังสุดที่พาเลซกันตกรอบแรกทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ อิตาลี แชมป์จากปี 2006 ตกรอบแรกในปี 2010 ตามมาด้วย สเปน แชมป์จากปี 2010 ตกรอบแรกในปี 2014 และทีมล่าสุดคือ เยอรมนี แชมป์จากปี 2014 ตกรอบแรกในปี 2018
มาคราวนี้ดูเหมือนว่า “ตราไก่” ฝรั่งเศส จะสามารถล้างอาถรรพ์ดังกล่าว หลังออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมคว้า 3 คะแนนในเกมแรกด้วยการถล่ม ออสเตรเลีย 4-1 เหลืออีก 2 เกมในการพบกับ เดนมาร์ก และตูนิเซีย ดูแล้วไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่ก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน
๐ ป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกเป็นทีมที่ 3
ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกมีเพียงแค่ 2 ทีมเท่านั้นที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จ คือ อิตาลี ในปี 1934, 1938 และบราซิล 1958, 1962 ครั้งนี้ทัพตราไก่ มาด้วยความหวังที่จะกลายเป็นทีมที่ 3 ที่สามารถป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลก แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ถูกมองว่าเป็นทีมเต็งหนึ่งของทัวร์นาเมนต์นี้ แต่ทุกอย่างนั้นสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ
๐ เดสชองส์ ลุ้นคว้าแชมป์โลก 2 สมัย
การพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ทำให้ ดิดิเย่ร์ เดสชองส์ กลายเป็นกุนซือคนที่สามารถที่สามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในฐานะนักเตะ (1998) และกุนซือ (2018) ต่อจาก มาริโอ ซากัลโล่ ตำนานทีมชาติบราซิล และฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ริเบโร่ชื่อดังของทีมชาติเยอรมันตะวันตก
มาในครั้งนี้ ดิดิเย่ร์ เดสชองส์ กุนซือของ ตราไก่ ลุ้นทำสถิติพาทีมป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลก ในอดีตมีเพียงกุนซือหนึ่งเดียวที่สามารถพาทีมป้องกันแชมป์คือ วิตตอริโอ้ ปอซโซ่ ชาวอิตาลี ที่พาทีมคว้าแชมป์ได้ 2 สมัยติด ในยุคของเผด็จการฟาสซิสต์ในปี 1934 และ1938 และเขายังเป็นคนเดียวในฐานะกุนซือที่คุมทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ 2 สมัยด้วย
โดยมาริโอ ซากัลโล่ คือคนที่ใกล้เคียงที่สุดในการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 หลังพาทีมเข้าไปชิงชนะเลิศในปี 1998 แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะพ่ายให้กับเจ้าภาพอย่างฝรั่งเศสแบบหมดรูป 3-0
ต้องมาลุ้นกันต่อไปว่าฟุตบอลโลกหนนี้ เดสชองส์ จะสามารถทำได้หรือ ?