เชื่อว่าหลายคนคงตั้งตารอเห็น คาริม เบนเซม่า เจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ ปีล่าสุด ลงโชว์ฝีเท้าในฟุตบอลโลก 2022 รอบสุดท้ายที่ กาตาร์ ทว่าสุดท้ายเรื่องนี้กลับไม่เกิดขึ้น หลังเขาประกาศถอนตัวจากทีมชาติฝรั่งเศสเรียบร้อย
ดาวยิงจาก เรอัล มาดริด เป็น 1 ใน 26 ขุนพลของทัพ ตราไก่ ชุดป้องกันแชมป์ฟุตบอลโลก แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ เดินทางที่ประเทศกาตาร์ต้องแยกซ้อมเดี่ยวเพื่อเรียกความฟิต ก่อนประกาศถอนตัวก่อนบอลโลกเปิดสนามไม่กี่วัน หลังมีปัญหาอาการบาดเจ็บเพิ่มบริเวณกล้ามเนื้อต้นขาต้องพักเป็นเวลา 3 สัปดาห์
นี่ถือเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปีที่บอลโลกไร้เงาเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ เพราะครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นต้องย้อนไปในบอลโลกปี 1978 ที่ อาร์เจนติน่าเป็นเจ้าภาพเลย ที่ไม่มีชื่อของ อัลลัน ซิโมนสัน ตำนานดาวเตะของ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และทีมชาติเดนมาร์ก ลงเล่น และ UFA ARENA จะพาย้อนเรื่องราวดังกล่าวผ่านบทความนี้กัน
ตำนานหอกสิงห์หนุ่ม
หากใครเป็นแฟนบอลตัวยงของ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค หรือแฟนบอลยุค 70 ต้องรู้จักชื่อของ อัลลัน ซิโมนสัน อย่างแน่นอน โดยเขาโลดแล่นอยู่ช่วงเวลาเดียวกับนักเตะอย่าง มิเชล พลาตินี่, โยฮัน ครัฟฟ์ และ เควิน คีแกน ที่เป็นดาวเตะระดับแถวหน้าของโลก
ซิโมนเซ่น เริ่มต้นจากการลงเล่นในลีกเดนมาร์กอย่าง เวจเล่ ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ในปี 1972 และหลังจากนั้นตำนานดาวยิงชาวเดนิชก็เริ่มกระฉ่อนโลกลูกหนัง
เพียงแต่ในช่วง 2 ปีแรกในลีกเมืองเบียร์ เขาต้องปรับตัวอยู่ไม่น้อย เนื่องจากการเล่นเป็นกองหน้า แต่ดันมีความเพียง 165 เซนติเมตร ถือว่าเป็นงานยากสุดๆในยุคนั้น
แต่เมื่อเวลาของเขามาถึง ซิโมนเซ่น กลายเป็นดาวยิงจอมถล่มประตู และที่สำคัญยิ่งกว่าผลงานส่วนตัวคือการพาทีมคว้าแชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 1 สมัย, ยูฟ่า คัพ 2 สมัย และ รองแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ อีก 1 ครั้ง ในปี 1977
และในปีนั้นเองที่เขากลายเป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ ด้วยการเฉือนชนะอันดับ 2 อย่าง คีแกน โดยมีอันดับ 3-4-5 เป็น มิเชล พลาตินี่, โรแบร์โต้ เบตเตก้า และ โยฮัน ครัฟฟ์ ตามลำดับ
แบกโคนมไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม แม้ในอาชีพค้าแข้งระดับสโมสร ซิโมนเซ่น จะประสบความสำเร็จแบบสุดๆ แต่ฟุตบอลเป็นกีฬาที่เล่นเป็นทีม และแค่เขาเพียงคนเดียวก็ไม่สามารถยกระดับทีมชาติเดนมาร์กได้เช่นกัน
ในช่วงนั้น ทีม ‘โคนม’ ไม่ใช่ชาติที่โดดเด่นในวงการลูกหนังเช่นปัจจุบันนี้ และไม่เคยผ่านเข้ามาเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้เลย หรือแม้แต่ในบอลทวีปอย่างยูโรก็ลงเล่นครั้งสุดท้ายในปี 1964 และในเวิลด์คัพที่ อาร์เจนติน่า ในปี 1978 ก็เป็นหนึ่งในนั้น
เดนมาร์ก เล่นบอลโลกรอบคัดเลือกโซนยุโรป ในกลุ่ม 1 อยู่ร่วมกับ โปแลนด์, โปรตุเกส และ ไซปรัส ซึ่งใน 2 เกมแรก พวกเขาตบ ไซปรัส ทีมที่หมูที่สุดในกลุ่มได้อย่างง่ายดาย ด้วยสกอร์ 5-1 และ 5-0 ตามลำดับ
ทว่าอีก 4 เกมที่เหลือ ทีมของ ซิโมนเซ่น ไม่พบเจอกับชัยชนะเลยสักครั้ง แถมโดน โปแลนด์ กับ โปรตุเกส ถล่มใน 2 เกมสุดท้ายแบบยับเยิน 4-1 และ 4-2 ตามลำดับ
ส่งผลให้พวกเขารั้งอันดับ 3 ในรอบแบ่งกลุ่ม เก็บได้เพียง 4 คะแนน โดยมี โปแลนด์ ที่อันดับ 1 ของกลุ่มเข้ารอบผ่านไปเล่นบอลโลกรอบสุดท้ายในอาร์เจนติน่า
ส่วนบทสรุปของการแข่งขันในครั้งนั้น เป็นพลพรรค ฟ้าขาว เจ้าภาพที่คว้าแชมป์โลกสมัยแรกมาครอง หลังเอาชนะ เนเธอร์แลนด์ 3-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ลุยบอลโลกสมใจก่อนลาทีมชาติ
แม้พลาดไปเล่นบอลโลกในครั้งนั้น ซิโมนเซ่น ก็ยังประสบความสำเร็จในอาชีพต่อไป โดยย้ายไปเล่นกับ บาร์เซโลน่า ระหว่างปี 1979–1982 รวมถึงย้ายไปร่วมทัพ ชาร์ลตัน แอธเลติก แบบช็อคโลกในปี 1982 ก่อนย้ายกลับไปเล่น เวจเล่ ในปี 1983 และแขวนสตั๊ดในอีก 6 ปีต่อมา
ส่วนทีมชาติ เดนมาร์ก ก็กำเนิดเกิดดาวเตะฝีเท้าดีมากมายเมื่อเข้าสู่ยุค 80 จนสามารถผ่านเข้าไปเล่นบอลยุโรปครั้งแรกในรอบ 20 ปี รวมไปถึงได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกในปี 1986 ที่ เม็กซิโก เป็นเจ้าภาพด้วย ซึ่ง ซิโมนเซ่น ก็ได้ลงเล่นอยู่ 1 เกมในฐานะตัวสำรอง ก่อนประกาศลาทีมชาติหลังจบทัวร์นาเม้นต์นั้น
นั่นทำให้ปี 1978 กลายเป็นครั้งสุดท้ายที่ฟุตบอลโลกไม่มีนักเตะเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์เข้าร่วมแข่งขัน เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา นักเตะที่ครองรางวัลนี้ก็มีส่วนร่วมกับ เวิลด์คัพ อยู่เรื่อยมา
ไล่ตั้งแต่ คาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิเก้ (1981), มิเชล พลาตินี่ (1985), มาร์โก ฟาน บาสเท่น (1989), โรแบร์โต้ บาจโจ้ (1993), โรนัลโด้ (1997), ไมเคิ่ล โอเว่น (2001), โรนัลดินโญ่ (2005), ลิโอเนล เมสซี่ (2009) และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (2013, 2017) ก่อนที่เรื่องลักษณะจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปีนี้กับ เบนเซม่า
คิดแล้วก็น่าเสียดายแทน เบนเซม่า ไม่น้อยที่อุตส่าห์โชว์ฟอร์มพีกสุดๆในอาชีพ กลับมาโดนอาการบาดเจ็บเล่นงานในช่วงก่อนบอลโลกแข่งขันไม่กี่วันเท่านั้น
และตัวเขาในวัย 34 ปี ณ เวลานี้ คงเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะเห็น เบนซ์ ได้เล่นฟุตบอลโลกสมัยหน้าที่ แคนาดา, เม็กซิโก และ สหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพร่วม อีก 4 ปีข้างหน้า