ชนะ 9 นัด แพ้ 1 เกม ยิงไป 24 ประตู เสีย 10 ประตู คลีนชีท 4 เกม
นี่คือผลงานของ อาร์เซน่อล ที่เชื่อว่าไม่มีใครคาดคิด ไม่ว่าจะเหล่าแฟนบอล เดอะกูนเนอร์ส หรือใครก็ตาม ว่ามันจะเกิดขึ้นกับทัพ “ไอ้ปืนใหญ่” ในศึก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้
หากใครจำกันได้ซีซั่นก่อนการออกสตาร์ท 3 นัดแรกพวกเขานั้นไม่สามารถเก็บแต้มได้แม้แต่คะแนนเดียว นับเป็นผลงานที่แย่ที่สุดในรอบ 118 ปี แต่กลับกันการออกสตาร์ท 10 นัดแรกของฤดูกาลนี้ มิเกล อาร์เตต้า ได้พาทีมลบคำสบประมาทเรียบร้อย เพราะนี่คือซึซั่นที่พวกเขาออกสตาร์ทดีสุดในรอบ 119 ปี หรือนับตั้งแต่ฤดูกาล 1903/04 เลยทีเดียว
การที่ทำแต้มนำหน้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เต็งแชมป์ฤดูกาลนี้ 4 คะแนน ในช่วง 10 นัดแรก อาจทำให้ใครหลายคนมองไปถึงการที่ อาร์เซน่อล วาดฝันไปไกลได้มากกว่าการลุ้นท็อปโฟร์ หลังพวกเขาปราศจากความสำเร็จในฟุตบอลลีกมากว่า 18 ปีเข้าไปแล้ว (ครั้งสุดท้ายฤดูกาล 2003/04)
ฤดูกาลนี้พวกเขาทำผลงานได้ดูไหลลื่นกว่าที่เคย ซึ่งเชื่อว่าเวลานี้ ขุนพลแข้งชุดนี้ของ มิเกล อาร์เตต้า เริ่มซึมซับแท็กติกที่กุนซือชาวสแปนิช ได้เพาะบ่มเอาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามเส้นทางการลุ้นแชมป์ยังคงอีกยาวไกล และยังมีอีกหลายจุดที่เรามองเห็นว่าจากนี้ไปนี่คือความลำบากที่ “ไอ้ปืนใหญ่” ต้องเผชิญ จะมีอะไรบ้างลองไปดูกัน
ช่วงเวลาสะดุดที่ยังมาไม่ถึง
เกมบุกไปเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 1-0 ต้องบอกว่าเป็นหนึ่งในเกมที่พวกเขาโชคดีไม่น้อย ที่สามารถเก็บ 3 คะแนนเต็มที่ เอลแลนด์ โร้ด ได้ แต่จากมองจากรูปเกมโดยรวมต้องบอกว่าหลังจากขึ้นนำ อาร์เซน่อล นั้นโดนทัพ “ยูงทอง” โหมบุกอย่างหนัก จนมีอาการเป๋ให้เห็นหลายครั้งในครึ่งหลัง และเกือบเสียจุดโทษ จากจังหวะพลาดทำแฮนด์บอลของ วิลเลี่ยม ซาลิบา แต่ยังโชคดีที่ อารอน แรมส์เดล เซฟไว้ได้ด้วยปลายไข่
เท่านั้นไม่พอในช่วงท้ายเกมทดเวลาเจ็บ กาเบรียล มากัลเญซ กองหลังอีกคนยังควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ไปถีบใส่ แบมฟอร์ด จนโดนใบแดง ซึ่งโชคดีมากที่ ผู้ตัดสิน เช็คVAE ก่อนเปลี่ยนคำตัดสินว่า แบมฟอร์ด นั้นทำฟาลว์ก่อน
นั่นแสดงให้เห็นถึงสัญญานที่ว่านับจากนี้ อาร์เซน่อล อาจจะไม่ได้มีโชคเข้าข้างเหมือนช่วงแรกๆอีกต่อไป และต้องเจอช่วงเวลาที่ต้องสะดุด เมื่อเจอกับสโมสรที่ไม่ใช่บิ๊กซิกส์บ้างแล้ว ซึ่งเมื่้อลองเช็คโปรแกรมในช่วง 6 นัดข้างหน้าต่อจากนี้จนถึงสิ้นปี อาจจะมีเกมที่ดูหนักเกมเดียวคือแมตช์ที่ต้องบุกไปเยือน เชลซี ในวันที่ 6 พ.ย. แต่บอกได้เลยว่าตอนนี้ไม่ว่าจะเกมไหนก็ไม่มีคำว่าง่ายอีกต่อไป
ประสบการณ์ที่อาจจะยังต้องใช้เวลา
หากลองเช็กรายชื่อ 11 ตัวจริงของ อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้ต้องบอกว่าพวกเขามีค่าอายุเฉลี่ยน้อยกว่าทีมคู่แข่งบิ๊กซ์ถึง 3 ปี (24 ปี 195 วัน) นั่นหมายความว่าแม้สภาพจะอยู่ในช่วงทึ่เต็มไปด้วยความกระหาย และความสดของนักเตะ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประสบการณ์การล่าแชมป์นั้นยังเป็นรองทีมอื่นอยู่มากนัก
ปราการหลังตัวแบกของฤดูกาลนี้อย่าง วิลเลี่ยม ซาลิบา เพิ่งเริ่มต้นออกสตาร์ทในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกในซีซั่นนี้ หลังออกไปเก็บเลเวลกว่า 3 ปี ส่วนแดนกลางแม้ว่าเวลานี้ มาร์ติน โอเดการ์ด ,กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ หรือ บูกาโย่ ซาก้า กำลังท็อปฟอร์ม แต่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเมื่อถึงช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายต่อจากนี้ พวกเขาจะแบกรับความกดดันได้มากน้อยเพียงใด
ขุนพลสำรองที่ไม่สามารถทดแทนตัวจริงได้
ฤดูกาลที่ต้องลงฟาดแข้งถึง 4 รายการ 4 ถ้วยทั้ง พรีเมียร์ลีก ,เอฟเอ คัพ ,คาราบาวคัพ และ ยูโรป้า ลีก ซึ่งต้องลงโม่แข้งไม่ต่ำกว่า 50 นัดต่อซีซั่น การมี 11 ผู้เล่นตัวจริงที่ยอดเยี่ยมนั้นอาจจะยังไม่ดีพอ ซึ่งเมื่อเรามองไปที่ผู้เล่นสำรองที่จะสลับหมุนเวียนกับตัวจริง คงต้องบอกว่า “ไอ้ปืนใหญ่” นั้นเป็นรองจากสโมสรบิ๊กซิกส์ทีมอื่นๆอยู่มากโข
ในช่วงต้นฤดูกาลนี้ ถือเป็นเรื่องโชคดีไม่น้อยที่เราไม่ได้เห็นแข้งตัวหลักของทีมล้มหายจากอาการบาดเจ็บมากจนเกินไป แต่ลองนึกภาพในวันที่ กาเบรียล เฆซุส หรือ บูกาโย่ ซาก้า ต้องเจ็บซัก 2 เดือน หรือแผนแดนกลางอย่าง โธมัส ปาเตย์ และ กรานิต ชาก้า ที่ขึ้นชื่อเรื่องเข้าโรงหมออยู่แล้วนั้น ตัวผู้เล่นทดแทนอาทิ เอ็ดดี้ เอ็นเคเทียห์ หรือ แซมบี้ โลคองก้า นั้นแทบจะไม่สามารถฝากความหวังในระยะยาวได้เลย ซึ่งสุดท้ายก็ต้องดูว่าในตลาดนักเตะหน้าหนาวเดือน มกราคมนี่้ จะมีการเสริมทัพแข้งเข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่
มาตรฐานในการดวลทีมใหญ่ต้องดีขึ้นไปอีก
ในฤดูกาลนี้ต้องบอกว่า อาร์เซน่อล ทำผลงานในการดวลทีมบิ๊กซิกส์ ได้ดีกว่าที่เคยเป็นมามาก ไม่ว่าจะการชนะ สเปอร์ส 3-1 หรือคว่ำ ลิเวอร์พูล 3-2 แต่ก็ยังมีเกมที่สะดุดพ่าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 แต่หากมองไปในโปรแกรมต่อจากนี้พวกเขายังเหลือโปรแกรม ที่ต้องดวลกับทั้ง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พวกเขาแทบผูกขาดกับความพ่ายแพ้ ซึ่งนี่คือจุดที่น่าสนใจที่สุดว่า ไอ้ปืนใหญ่ จะดีพอก้าวข้ามสิ่งนี้ไปได้หรือไม่ กับช่วงเวลาที่เหลืออีกกว่า 6 เดือนต่อจากนี้
DaboyG