กอนซาโล่ อิกวาอิน กลายเป็นนักเตะรายล่าสุดที่ประกาศแขวนสตั๊ดภายในปีนี้ หลังโลดแล่นกับการเล่นฟุตบอลอาชีพร่วม 17 ปี
ดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ สร้างชื่อในฐานะดาวรุ่งพุ่งแรงของ ริเวอร์ เพลท จนได้ย้ายมาเล่นกับ เรอัล มาดริด และชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก นับตั้งแต่เล่นในถิ่น ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เนื่องจากลีลาการจบสกอร์ที่เฉียบคมไม่แพ้ใคร
นอกจากนี้ยังได้ค้าแข้งกับทีมดังในยุโรปทั้ง นาโปลี, ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, เชลซี ด้วย ก่อนย้ายไปเล่น อินเตอร์ ไมอามี่ ช่วงปี 2020 และประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการหลังจบฤดูกาล 2022
หลายคนอาจมองว่าตอนที่ ‘เอล ปิปิต้า’ โดดเด่นมากที่สุดในช่วงที่เล่นให้กับ ‘ราชันชุดขาว’ รวมไปถึง ยูเวนตุส ในช่วงแรกๆที่ยังยิงกระจาย เนื่องจากเป็นสโมสรที่เขาประสบความสำเร็จในแง่ของถ้วยรางวัลมากที่สุด
ทว่าจริงๆแล้ว ช่วงเวลาที่หอกวัย 34 ปี เข้าขั้นกองหน้าระดับโลกจริงๆ คือตอนที่สวมเสื้อ ‘อัซซูร่า’ ระหว่างปี 2013-2016 แม้ไม่ได้คว้าแชมป์มากมายเท่ากับตอนเล่นให้ มาดริด หรือ ยูเวนตุส ก็ตาม และ UFA ARENA จะพาไปย้อนถึงช่วงเวลาที่ อิกวาอิน พีกที่สุดในอาชีพผ่านบทความชิ้นนี้กัน
ภาวะกดดันจนฟอร์มยิงประตูตก
หลังเสียตำแหน่งกองหน้าตัวจริงให้กับ คาริม เบนเซม่า ในเรอัล มาดริด ตลอดการแย่งตำแหน่งตลอด 4 ปี ทำให้ อิกวาอิน เลือกย้ายทีมเพื่อโอกาสลงสนามที่มากขึ้น
แม้เป็นตัวสำรองใน ‘โลส บลังโกส’ แต่สถิติการทำประตู 121 ลูกจาก 264 นัดตลอด 6 ปีในเบอร์นาเบวก็ไม่แปลกที่ หอกชาวอาร์เจนไตน์ จะได้รับความสนใจจากหลายสโมสร โดยหนึ่งในนั้นมี อาร์เซน่อล ของ อาร์แซน เวนเกอร์ อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม กลับเป็น นาโปลี ที่โน้มน้าว หอกเลือดฟ้าขาว ให้ย้ายมาล่าตาข่ายให้พวกเขาได้ หลังจ่ายค่าตัวร่วม 40 ล้านยูโร พร้อมเซ็นสัญญา 4 ปี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2013 และกลายเป็นกองหน้าเบอร์ 9 คนใหม่ของทีมทันที
เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลใน ‘อัซซูร่า’ อย่างรวดเร็ว หลังซัดไป 17 ประตูในเซเรียอาปีแรก และมีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ในฤดูกาล 2013-14 และ ซูเปร์โคปป้า ในปี 2014 ด้วย
อีกทั้งในฤดูกาลที่ 2 หอกเลือดฟ้าขาว ก็ยิงไปถึง 18 ประตูในลีกเลี่ยน หากรวมประตูที่เขาทำได้ในทุกรายการ เท่ากับว่าเขายิงไปแล้ว 53 ประตูในช่วง 2 ปี ขณะที่ค้าแข้งใน เนเปิ้ลส์
ทว่า ‘เอล ปิปิต้า’ ก็เจอกับช่วงเวลาย่ำแย่ใน นาโปลี เช่นกัน เพราะในช่วงที่ขึ้นปี 2015 ความั่นใจของเขาหายไปอย่างมาก อีกทั้งต้องเจอกับภาวะกดดันอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
หอกอาร์เจนไตน์ กดไป 2 ประตูให้ นาโปลี ตามตีเสมอ ลาซิโอ ในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2014-15 และจำเป็นต้องคว้าชัยชนะให้ได้เพื่อตั๋วไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลหน้า แต่ทว่าเขาดันยิงจุดโทษพลาดในเวลาต่อมา (จุดโทษลูกที่ 4 ที่พลาดในฤดูกาลนั้น) และจากที่ควรจะขึ้นนำ กลับกลายเป็นโดนคู่แข่งถล่มไป 4-2 จบด้วยการคว้าอันดับ 5 ในท้ายที่สุด
อีกทั้งในซัมเมอร์ปี 2015 เขาก็พลาดจุดโทษในทีมชาติ จนพ่ายต่อ ชิลี ในศึกโคปา อเมริกา นัดชิงชนะเลิศ แถมในช่วงเวลาปกติก็พลาดโอกาสสำคัญในการพาทีม ‘ฟ้าขาว’ ปิดเกมคว้าชัยด้วย
อีกทั้งการที่เขาเคยพลาดโอกาสสำคัญที่จะช่วยให้ อาร์เจนติน่า คว้าแชมป์โลกในปี 2014 เหนือ เยอรมัน ก็ทำให้ หอกวัย 34 ปี มีชื่อเสียงไม่ดีนัก ยามที่ต้องลงเล่นในเกมใหญ่ๆ หรือเกมสำคัญที่ชี้ชะตาของทีม
ซาร์รี่ผู้ปลุกความมั่นใจ
จบฤดูกาล 2014-15 นาโปลี ได้เปลี่ยนตำแหน่งกุนซืออีกครั้ง เมื่อแยกทางกับ ราฟาเอล เบนิเตซ และดึง เมาริซิโอ ซาร์รี่ เข้ามาในซัมเมอร์ปี 2015 หลังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกับการพา เอ็มโปลี อยู่ปลอดภัยในลีกสูงสุด
ทันทีที่กุนซือสิงห์อมควัน เข้ามารับงานใน ซาน เปาโล เขาก็ประกาศกร้าวว่าจะช่วยให้ อิกวาอิน กลับมาเป็นกองหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจอีกครั้ง
“สิ่งที่ผมบอกกับ อิกวาอิน ในช่วงพรีซีซั่นน่ะหรอ? ผมบอกเขาว่านายน่ะขี้เกียจเกินไป และถ้าเขาไม่เปลี่ยนทัศนคติล่ะก็ เขาไม่มีทางได้เป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกแน่นอน” ซาร์รี่ กล่าวกับ Sky Sports ในปี 2015
“เขาเห็นด้วยกับเรื่องนั้นนะ เพราะเขายังทำได้ไม่ถึง 100% จากสิ่งที่เขามี เราคุยกันชัดเจน ดังนั้นนี่จึงกลายเป็นการพูดตรงไปตรงมา และน่าจะช่วยกระตุ้นเขาด้วย”
การพูดคุยของ ซาร์รี่ ดูได้ผล เนื่องจากสิ่งนั้นทำให้ หอกชาวอาร์เจนไตน์ มีแรงจูงใจมากขึ้นชัดเจน หลังมีสื่อจากอิตาลีรายงานว่าการจัดอันดับผลงานส่วนตัวจาการฝึกซ้อม เขาอยู่บนสูง เหนือเพื่อนร่วมทีมทุกคนใน นาโปลี
“เขาเป็นพวกหัวแข็งนิดหน่อย แต่คุณก็ต้องรู้วิธีรับมือกับเขาด้วย แม้แต่ผู้เล่นที่ดีแบบเขาก็มีช่วงเวลาที่ต้องการคำแนะนำ ดังนั้นเขาจะรู้สึกว่ามีคนคอยอยู่เคียงข้างเขา” ซาร์รี่ กล่าวกับ Corriere dello Sport
“เขาเป็นคนที่อ่อนไหว และจนถึงตอนนี้เขาพยายามรักษาภาพลักษณ์ที่ไม่เข้ากับตัวตนจริงของเขา เขาไม่เพียงแต่เป็นกองหน้าที่เก่งที่สุดในโลกเท่านั้น แต่เขายังเป็นชายที่มีความรู้สึกที่แท้จริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์นั้นด้วย”
ด้าน ‘เอล ปิปิต้า’ ก็ให้เครดิตแด่กุนซือผู้เป็นนายเช่นกัน ในการพัฒนาฟอร์กมารเล่นของเขาให้กลับมายอดเยี่ยมอีกครั้ง พร้อมบอกว่า “ซาร์รี่ช่วยให้จิตใจของเขาสงบลงด้วย” ในช่วง 1 ปีที่ร่วมงานกัน
ทำลายสถิติลีกเลี่ยน
ไม่ใช่เรื่องโอเวอร์เกินจริงที่บอกว่า อิกวาอิน น่าประทับใจมากแค่ไหนในฤดูกาล 2015-16 แม้ นาโปลี จบแค่อันดับ 2 และสามารถเห็นได้ชัดๆจากตัวเลขที่เขาสร้างมันขึ้นมา กับ 36 ประตูในลีก ซึ่งถือเป็นสถิติการยิงสูงสุดตลอดกาลของเซเรียอาในฤดูกาลเดียว โดยทำลายสถิติเดิมของ กุนนาร์ นอร์ดาห์ล ตำนาน เอซี มิลาน ทียืนยงมานานกว่า 66 ปี พร้อมคว้าดาวซัลโวไปครอง
ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีกองหน้าคนไหนทำได้มาก่อน แม้ทำผลงานยอดเยี่ยมสุดในลีกสูงสุดแดนมักกะโรนี ทั้ง ซลาตัน อิบราโมวิช, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่, กาเบรียล บาติสตูต้า, โรนัลโด้ หรือ อังเดร เชฟเชนโก้ ไม่เคยมีใครใกล้เคียงกับตัวเลขนี้เลย และมีเพียง ชิโร่ อิมโมบิเล่ กองหน้าจาก ลาซิโอ เท่านั้นที่ยิงได้แตะ 36 ลูกในฤดูกาล 2019-20
จำนวน 36 ประตูคือ 2 เท่าของที่ กองหน้าชาวอาร์เจนไตน์ ทำไว้ในฤดูกาลที่แล้ว และมากกว่าทั้ง 2 ปีที่เขาเคยร่วมงานกับ เบนิเตซ ด้วย
จริงๆสถิตินี้อาจเพิ่มมากกว่า 36 ลูกด้วยซ้ำ หากเขาไม่โดนแบน 3 เกมในช่วงท้ายฤดูกาล แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดให้ ดาวยิง ‘อัซซูร่า’ ทำลายสถิติดังกล่าว ด้วยการกดแฮตทริกในวันสุดท้ายในเกมดวล โฟรซิโนเน่
หลังทำประตูที่ 3 ได้ เขาก็วิ่งไปหาและร่วมฉลองกับ ซาร์รี่ เจ้านายที่ช่วยบันดาลให้ความสำเร็จนี้เกิดขึ้น และกล่าวหลังเกมว่า “ผมขอบคุณ เมาริซิโอ ซาร์รี่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังทำประคูที่ 3 ผมถึงวิ่งไปกอดเขาที่ข้างสนาม เขาช่วยผมมากๆเลย ผมบอกผมเสมอถึงวิธีการพัฒนาตัวเอง และผมก็รับฟังเสมอ”
หลังจากที่ย้ายไป ยูเวนตุส ในซัมเมอร์ปี 2016 และไปเล่นกับ เอซี มิลาน ช่วงสั้นๆในฤดูกาล 2018-19 เขาก็ได้ร่วมงานกับ ซาร์รี่ อีกครั้ง สมัยเล่นให้ เชลซี ด้วยสัญญายืมตัวช่วงครึ่งหลังฤดูกาลนั้น แม้ไม่ได้ยิงกระจายเหมือนเก่า แต่ก็มีส่วนคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ช่วงท้ายซีซั่น และที่ตูรินช่วงฤดูกาล 2019-20 ซึ่งจบด้วยการคว้าแชมป์เซเรียอามาครองอีกสมัย
ถึงแม้ว่าตอนจบกับ นาโปลี จะแยกทางกันไม่สวยเท่าไหร่ เนื่องจาก อิกวาอิน ดันอยากย้ายไปเล่นกับทีมคู่ปรับแย่งแชมป์ หลังไม่พอใจที่ ออเรลิโอ เด ลอเรนติส ประธานสโมสรไม่ยอมทุ่มเงินเสริมทัพเพื่อไล่ล่าแชมป์
แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายามที่ ‘เอล ปิปิต้า’ สวมเสื้อ ‘อัซซูร่า’ คือช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่ทั้งตัวเขาและแฟนบอลในเนเปิ้ลส์ ไม่มีทางลืมเลือนอย่างแน่นอน