จากโนเนมสู่หัวตาราง! ยูนิโอน เบอร์ลิน การยกระดับแบบก้าวกระโดด

ยูนิโอน เบอร์ลิน ชื่อนี้คงไม่ได้คุ้นหูแฟนบอลเท่าไรนักก่อนหน้านี้ แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาต้องบอกว่าพวกเขานับเป็นตัวแสบประจำลีกเมืองเบียร์เลยทีเดียว ยิ่งในฤดูกาลปัจจุบันที่พวกเขาเป็นทีมเดียวในลีกที่ยังไม่แพ้ใครในตอนนี้ ครองตำแหน่งจ่าฝูงอยู่ในตอนนี้ นอกจากฟอร์มที่น่าตื่นตาแล้ว ทั้งประวัติศาสตร์ และพัฒนาการก็น่าสนใจไม่น้อย

วันนี้ UFAARENA จะพาไปทำความรู้จักจ่าฝูงของบุนเดสลีก้าตอนนี้ ว่าพวกเขามีความเป็นมาอย่างไร เส้นทางพัฒนาการของพวกเขาว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างกับ ยูนิโอน เบอร์ลิน การยกระดับแบบก้าวกระโดด

ทีมเดียวที่ยังเหลือจากเยอรมัน ตะวันออก

ย้อนไปในสมัยที่เยอรมันยังถูกแบ่งเป็นสองประเทศ ตะวันออก และตะวันตก เป็นที่รู้กันดีว่าในเรื่องฟุตบอล ฝั่งเยอรมัน ตะวันตกเป็นฝ่ายที่ทำได้เหนือกว่า ซึ่งก็ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน ที่จะเห็นได้ว่าบนเวทีบุนเดสลีก้าปัจจุบันแทบไม่มีสโมสรจากฝั่งตะวันออกหลุดมาเลยสักทีม ใกล้เคียงสุดก็เป็น แอร์เบ ไลป์ซิค ที่เป็นทีมน้องใหม่ที่เพิ่งตั้งมาในปี 2009 เท่านั้น ไม่ใช่ทีมออริจินอลที่มีอยู่ดั้งเดิมมาแล้ว พวกบรรดาทีมของเยอรมันตะวันออกที่มีอยู่แล้วก็ร่วงไปอยู่ลีกระดับรองๆ และไม่เคยไต่ขึ้นมาลีกสูงสุดได้เลยหลังจากรวมประเทศ

อย่างไรก็ตามในปี 2018/19 ยูนิโอน เบอร์ลิน ที่นับว่าเป็นตัวแทนของฝั่งตะวันออกสามารถจบเป็นอันดับ 3 ของบุนเดสลีก้า 2 และนั่นทำให้พวกเขาเป็นทีมตัวแทนจากฝั่งตะวันออกทีมแรกที่ได้ก้าวสู่เวทีลีกสูงสุด แม้การเริ่มฤดูกาลแรกในบุนเดสลีกาจะเริ่มได้ไม่ดีนัก แต่พวกเขาก็เริ่มฉายแววการเป็นตัวแสบตั้งแต่เกมนัด 3 ที่เอาชนะ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ด้วยสกอร์ 3-1 หลังจากนั้นก็ทุลักทุเลไปบ้างแต่ก็สามารถจบอันดับ 11 ของตารางในปีแรกของพวกเขา แถมในรายการ เดเอฟเบ โพคาลก็ทะลุไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายก่อนไปแพ้ เลเวอร์คูเซ่น นับเป็นการเริ่มต้นที่สวยหรูสำหรับพวกเขาเลยีเดียว

ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับแฟนบอล

ในโลกฟุตบอลเราจะคุ้นเคยกันดีกับการได้เห็นแฟนบอลมีส่วนร่วมในการสนับสนุนไม่ว่าจะตะโกนเชียร์ หรือซื้อของจากสโมสรเข้าชมเกมสนับสนุนตามช่องทางต่างๆ แต่สำหรับ ยูนิโอน เบอร์ลิน และแฟนบอลมันมีมากกว่านั้น ย้อนไปในปี 1920 พวกเขาจำเป็นต้องหาสนามใหม่ เนื่องจากพื้นที่บริเวณสนามเดิมโดนเวนคืนเพื่อไปพัฒนาที่อยู่อาศัย ก่อนที่จะย้ายไปที่สนามซึ่งอยู่นอกตัวเมืองไปอีกหน่อย

อย่างไรก็ตามด้วยสภาพสนามที่ไม่ได้มาตรฐานพวกเขาก็ฝืนใช้มาได้จนถึงปี 1990 เลยจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกันยกใหญ่ แต่ด้วยการเงินของสโมสรที่ขาดสภาพคล่องสุดๆ ทำให้การดำเนินการก่อสร้างเป็นไปได้แบบช้าแถมยังต้องแบ่งการก่อสร้างเป็นสองรอบในปี 2000 และ 2009 โดยในระหว่างซีซั่น 2008/09 แฟนบอลที่เห็นสโมสรกำลังแย่ก็เลยมีการอาสาเข้ามาช่วยกันสร้างสนามกว่า 2,333 รายมาช่วยก่อสร้างรวมเวลากันกว่า 140,000 ชั่วโมงเลยทีเดียวจนสนามสามารถเสร็จใช้มาถึงปัจจุบัน

ความสัมพันธ์ของแฟนบอลต่อสโมสรยังไม่หมดแค่นั้น ในปี 2004 ยูเนี่ยนประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก และจ่อที่จะเสียใบอนุญาตลีก ก่อนถูกขับออกนอกลีกแล้ว แต่บรรดาแฟนบอลก็เรียกระดมทุนภายใต้โครงการ Bleed for Union หรือการบริจาคเลือดในนามของทีม โดยมีค่าธรรมเนียม 10 ยูโรจนสามารถประคองทีมให้อยู่รอดต่อไปได้

เสริมน้อยได้มาก

หลังจากพูดถึงรากฐานและความสัมพันธ์กับแฟนบอลแล้ว มาถึงด้านการพัฒนาทีมกันบ้าง หลังจบซีซั่นแรกบนลีกสูงสุดเมื่อฤดูกาล 2019/20 ด้วยอันดับ 11 ของตาราง ช่วงซัมเมอร์แม้ว่าพวกเขาต้องเสริมทีมเพื่ออยู่รอดในบุนเดสลีก้า แต่ด้วยการเงินของพวกเขาก็ไม่ได้สู้ทีมอื่นได้ การดึงตัวส่วนใหญ่เลยเป็นการดึงมาแบบฟรีๆ ซัมเมอร์ 2020/21 พวกเขาเสียเงินไปกับแค่ มาริอุส บึลเตอร์ รายเดียวเท่านั้นด้วยราคา 1.5 ล้านยูโรเท่านั้น

แต่ในเรื่องผลงานพวกเขาทำได้อย่างน่าประทับใจ ทั้งการยันเสมอ บาเยิร์น มิวนิค 1-1 ทั้งไปและกลับ , ชนะ ดอร์ทมุนด์ 2-1 โดยนักเตะที่เสริมฟรีมาอย่าง แม็กซ์ ครูซ ถือเป็นดาวซัลโวด้วยจำนวน 6 ประตูจาก 10 นัดในลีกทั้งที่มีอาการบาดเจ็บรบกวนจนต้องพักไปนานถึง 3 เดือน รองลงมาเป็น ไตโว อโวนิยี หอกวัยหนุ่มที่ยืมมาจากลิเวอร์พูล ที่ทำไป 5 ประตูจาก 20นัด ส่งให้พวกเขาจบอันดับ 7 ของตารางมีลุ้นตั๋วไปยูโรป้าลีก

ในซีซั่นถัดมา ยูนิโอน เบอร์ลิน เสียดาวซัวโวจากฤดูกาลที่แล้วไปในช่วงตลาดหน้าหนาว ส่วนเกมยูโรป้าลีกก็จอดแค่รอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็นับว่าเป็นผลงานที่ดีสำหรับครั้งแรกบนเวทียุโรป ส่วนเรื่องการเสริมทีมก็ถือว่าลงทุนมากขึ้นจากซีซั่นก่อน แต่โดยรวมแล้วก็ใช้เงินไปแค่ 20 ล้านยูโรเท่านั้นกับนักเตะที่ดึงเข้ามาหลายราย ในขณะที่ผลงานก็รักษาความสม่ำเสมอได้ดีขึ้นด้วย แม้จะเบียดยักษ์ใหญ่อย่าง เสือเหลืองและเสือใต้ไม่ได้แล้วก็ตาม แต่ปีนี้พวกเขาจบสูงถึงอันดับ 5 ของตารางเลยทีเดียว

แนวทางการเล่น

ความสำเร็จของเบอร์ลิน ต้องยกความดีความชอบให้กับการทำทีมของ อูร์ส ฟิชเชอร์ นายใหญ่ชาวสวิสเซอร์แลนด์ ที่เข้ามาทำทีมตั้งแต่ฤดูกาล 2018/19 หรือปีที่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นมานั่นเอง เท่ากับว่าเขาใช้เวลาแค่ปีเดียวในการพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุด กุนซือจากแดนนาฬิกา มีแผนประจำเป็นการเล่นหลังสาม ในแผน 3-4-1-2 หรือ 3-5-2 ส่วนแนวทางการเล่นกจะเน้นไปที่การเปิดเกมไวใส่คู่แข่ง เอาประตูมาให้ไวที่สุด

จากสถิติในฤดูกาลปัจจุบันระบุว่า 7 เกมในลีกที่เปิดมาแล้วไม่แพ้ใครเลยพวกเขาเป็นฝ่ายออกนำไปก่อนทั้งหมด และพยายามยิงลูกถัดมาให้ไวที่สุด ไม่เว้นแม้แต่ในเกมที่เสมอกับ บาเยิร์น มิวนิค ไป 1-1 พวกเขาก็เป็นฝ่ายออกนำไปก่อน นอกจากเกมรุกที่ทำได้ยอดเยี่ยมแล้ว เกมรับพวกเขาเองก็ทำได้ดีเช่นกันจาการที่ไม่เคยเสียประตูเกิน 1 ประตูต่อเกมเลยแม้แต่นัดเดียว และไม่รู้ว่าความบังเอิญหรือตั้งใจแต่สถิติระบุว่า พวเขาชอบยิงในช่วงท้ายครึ่งแรก และต้นครึ่งหลัง ราวนาทีที่ 31-50 แต่ก็มักเสียประตูในช่วง 10 นาทีสุดท้ายของเกม

ซึ่งการเสียประตูท้ายเกมอาจเป็นจุดที่พวกเขาต้องแก้ไข แต่ในเวลานี้ ยูนิโอน เบอร์ลิน เป็นทีมเดียวในบุนเดสลีก้า และเป็นหนึ่งใน 9 ทีมในบรรดา 5 ลีกใหญ่ยุโรปที่ยังไม่แพ้ใคร นับเป็นช่วงเวลาแห่งความน่ายินดีของทีมที่เหลือรอดจากเยอรมันตะวันออกเพียงหนึ่งเดียวบนเวทีลีกสูงสุดเมืองเบียร์ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอว่าพวกเขาจะสามารถรักษามันไปได้แค่ไหน