ลิเวอร์พูล ประเดิมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2022-23 ไม่สวยเท่าไหร่ หลังบุกไปพ่าย นาโปลี แบบหมดสภาพถึง 4-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
นี่ถือเป็นความปราชัยที่ย่อยยับที่สุดของพลพรรค ‘หงส์แดง’ ภายใต้การดูแลของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ในเวทียุโรปก็ว่าได้ และเป็นหนึ่งในเกมที่ลูกทีมทำผลงานได้ย่ำแย่น่าผิดหวังอย่างมาก โดยเฉพาะเกมรับที่เคยแข็งแกร่ง กลับเสียประตูอย่างง่ายดาย
ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกันที่แชมป์ยุโรป 6 สมัย พุ่งชนกับความพ่ายแพ้แบบยับเยินในเวทีระดับทวีป อีกทั้งนี่ไม่ใช่ครั้งที่พวกเขาพ่ายแพ้แบบย่อยยับที่สุดด้วย
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงขอพาไปพบกับ 8 เกมที่ ‘หงส์แดง’ พ่ายแบบยับเยินมากที่สุด ในเทวีฟุตบอลยุโรปตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
บาร์เซโลน่า 3-0 ลิเวอร์พูล | แชมเปี้ยนส์ลีก 2019
แม้พ่ายไปถึง 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม แต่ ลิเวอร์พูล ก็ยังกระเสือกกระสนจนสามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2019-20 ก่อนที่พวกเขาจะโชว์ฟอร์มแกร่งในรอบต่อมา ทั้งการเขี่ย บาเยิร์น มิวนิค หรือ ปอร์โต้ กลับบ้านด้วยเกมรุกสุดดุดัน
นั่นทำให้ เดอะ ค็อป หลายคนฝันถึงการคว้าแชมป์ยุโรปที่พวกเขาห่างไปตั้งแต่ปี 2004 ทว่าการพบกับ บาร์เซโลน่า ในรอบตัดเชือก ก็ทำให้เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย เพราะทีมชุดนั้นของ บาร์ซ่า มีดาวเตะอัจฉริยะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ อยู่ในทีมด้วย ก่อนเหมา 2 ประตูในเกมนั้น บวกกับเด็กเก่าอย่าง หลุยส์ ซัวเรซ ก็ทำแสบด้วยการเบิกสกอร์แรก ทำให้ทีมจากอังกฤษพ่ายไปแบบสู้ไม่ได้ 3-0 ในเลกแรก
อย่างไรก็ตาม การที่ ‘อาซูลกราน่า’ มีสกอร์ตุนไว้ถึง 3 ลูก กลับกลายเป็นดาบสองคมเช่นกัน เมื่อเล่นอย่างย่ามใจ จนติดประมาท ส่งผลให้ ‘หงส์แดง’ ค่อยๆกลับมาสู่เกม ก่อนพลิกนรกแซงเข้ารอบชิงด้วยสกอร์รวม 4-3 และคว้าแชมป์บิ๊กเอียร์ในบั้นปลายของซีซั่นนั้น
ลิเวอร์พูล 0-3 เรอัล มาดริด | แชมเปี้ยนส์ลีก 2014
การเสียหลุยส์ ซัวเรซ ให้กับ บาร์เซโลน่า ในซัมเมอร์ปี 2014 ทำให้ ลิเวอร์พูล ที่ทำผลงานโดดเด่นจนคว้ารองแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2013-14 ถึงกับเสียสูญตลอดทั้งซีซั่นต่อมา เนื่องจากไม่มีใครสามารถฝากความหวังในการทำประตูได้เลย
ไม่เพียงในพรีเมียร์ลีกเท่านั้นที่ทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ทำผลงานตกต่ำลง เพราะในฟุตบอลยุโรปอย่าง แชมเปี้ยนส์ลีก ก็ไม่ต่างกัน และอาจจะหนักกว่าด้วยซ้ำ เพราะตลอด 6 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาชนะแค่เกมเดียว แถมพลิกล็อกพ่ายให้กับ บาเซิ่ล ด้วย
แต่การปราชัยต่อ เรอัล มาดริด ในเกมที่ 3 คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทีมของ บีร็อด ต้องจบอันดับ 3 หล่นไปเล่นในถ้วยยูโรป้าลีก เมื่อโดนทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ บุกมาสอนบอลถึง แอนฟิลด์ ด้วยสกอร์ 3-0 แถมเกมที่ มาดริด ก็พ่ายไปอีก 1-0 เช่นกัน
สตราสบูร์ก 3-0 ลิเวอร์พูล | ยูฟ่า คัพ 1997
ลิเวอร์พูล ในยุคที่ รอย อีแวนส์ กุมบังเหียน อาจไม่ใช่ทีมที่แกร่งจนลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเหมือนยุค คล็อปป์ แต่หากพูดถึงฟุตบอลถ้วยพวกเขาก็มีลุ้นอยู่เช่นกัน โดยมีดาวเด่นทั้ง สตีฟ แม็คมานามาน หรือกองหน้าดาวรุ่งอย่าง ไมเคิ่ล โอเว่น เป็นตัวชูโรง
ทว่าในฤดูกาล 1997-98 ‘เครื่องจักรสีแดง’ กลับไปจอดในรายการยุโรปถ้วยรองอย่าง ยูฟ่า คัพ (หรือ ยูโรป้าลีก ในปัจจุบัน) แค่รอบ 2 เท่านั้น แถมแพ้ให้กับ สตราสบูร์ก สโมสรจากฝรั่งเศสที่ชื่อชั้นด้วยกว่าพวกเขาหลายเท่าตัวซะอย่างนั้น
ดาวิด ซิเตลี่ เหมา 2 ประตู บวกกับลูกยิงปิดกล่องของ เดนนี่ คอนเตห์ ช่วย สตราสบูร์ก เอาชนะ ลิเวอร์พูล ไปก่อนในเลกแรกที่ฝรั่งเศส และแม้ทีมของ อีแวนส์ จะเร่งเครื่องพยายามยิงแซงในแอนฟิลด์ แต่ก็ทำได้เต็มที่แค่ 2 ลูก ตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 3-2
เปแอสเช 3-0 ลิเวอร์พูล | คัพ วินเนอร์ส คัพ 1997
ในฤดูกาล 1996-97 ก็เป็นอีกปีที่ ลิเวอร์พูล ยุคของ อีแวนส์ พบกับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ในฟุตบอลยุโรป กับรายการ คัพ วินเนอร์ส คัพ โดยพวกเขาได้สิทธิ์ไปเล่นในถ้วยนี้ในฐานะทีมอันดับ 3 ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลก่อน
ตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ‘หงส์แดง’ เจอกับทีมที่อ่อนชั้นกว่าทั้งสิ้น จนสามารถเอาชนะได้ไม่ยาก ทั้ง ไมปา ทีมจากฟินแลนด์ (4-1), ซิยง ทีมจากสวิตเซอร์แลนด์ (8-4) และ เอสเค บรานน์ ทีมจากนอร์เวย์ (4-1) ก่อนมาเจอกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในรอบรองชนะเลิศ
นั่นเป็นทีมที่แกร่งที่สุดในรายการนี้ที่ สโมสรจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ เคยเจอ และกลายเป็นทีมสุดท้ายด้วย หลังบุกไปพ่ายถึง 3-0 ในเกมเลกแรกที่ฝรั่งเศส แม้ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ กับ มาร์ค ไรท์ จะยิงให้ทีมไล่มาเป็น 2 ประตูทีแอนฟิลด์ แต่ก็สายเกินไปแล้ว
ดินาโม ทริบิซี่ 3-0 ลิเวอร์พูล | ยูโรเปี้ยน คัพ 1979
ยุค 70 คือปีที่ ลิเวอร์พูล กลายเป็นยอดทีมเบอร์หนึ่งแห่งเกาะอังกฤษ รวมถึงกลายเป็นสโมสรเบอร์ต้นๆในยุโรปด้วยเช่นกัน แต่แม้อยู่ในจุดนั้น พวกเขาก็เคยโดนสอนบอลในเวทีระดับทวีปมาแล้วเช่นกัน
หลังคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ทีมของ บ็อบ เพรสลี่ย์ ก็ได้สิทธิ์มาเล่นในถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ ฤดูกาล 1979-80 และผู้เล่นชุดนั้นหลายคนก็เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้วในปี 1978 แต่สุดท้าย พวกเขากลับจอดแค่รอบ 32 ทีม ต่อ ดินาโม ทริบิซี่ ยอดทีมจากยุคโซเวียต ที่ปัจจุบันคือสโมสรจากจอร์เจีย
แม้เบียดชนะไปได้ในเกมแรก 2-1 แต่ทีมจากอังกฤษ ก็พลาดท่าในเกมสองที่บุกไปเยือน และพ่ายไป 3-0 ต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านด้วยสกอร์รวม 4-2
อินเตอร์ มิลาน 3-0 ลิเวอร์พูล | ยูโรเปี้ยน คัพ 1965
ลิเวอร์พูล กำลังก่อร่างสร้างตัวในยุคของ บิล แชงค์ลี่ย์ ช่วงปี 60 ซึ่งอาจคว้าแชมป์ลีกได้ถึง 2 ครั้งในช่วงปี 1964 และ ปี 1966 แต่ในฟุตบอลยุโรป พวกเขายังไม่ทีมเบอร์ต้นๆเหมือนช่วงยุค ต้น 70 ถึงปลายยุค 80
แต่ในปีแรกที่ได้เข้าไปเล่นใน ยูโรเปี้ยน คัพ ‘หงส์แดง’ ก็ทำผลงานได้น่าประทับใจไม่น้อย เมื่อพาทีมไปไกลถึงรอบตัดเชือกในฤดูกาล 1964-65 ซึ่งเกือบเอาชนะ อินเตอร์ มิลาน แชมป์เก่าได้แล้ว หลังคว้าชัยไปก่อนในเลกแรกถึง 3-1 ทว่าสุดท้ายก็ต้าน ‘งูใหญ่’ ว่าที่แชมป์ยุโรปไม่ไหว เมื่อบุกไปพ่ายในเกมที่ อิตาลี ถึง 3-0 ตกรอบไปด้วยสกอร์รวม 4-3
นาโปลี 4-1 ลิเวอร์พูล | แชมเปี้ยนส์ลีก 2022
ไม่บ่อยนักที่ ลิเวอร์พูล ในยุคของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะพ่ายคู่แข่งแบบหมดสภาพ และหากเกิดขึ้นก็แทบจะนับครั้งได้เลย เพียงแต่เกมพบ นาโปลี ในนัดประเดิม แชมเปี้ยนส์ลีก ฤดูกาล 2022-23 กลับกลายเป็นเกมที่ถูกนับอยู่ในหมวดนั้นด้วย
อัซซูร่า อาจฟอร์มดี แต่ก็ไม่มี เดอะ ค็อป หน้าไหนคิดว่าทีมรักของพวกเขา จะพ่ายแพ้แบบสู้ไม่ได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะแผงแนวรับที่หลุดฟอร์มกันยกชุด ไล่ตั้งแต่ โจ โกเมซ กับ เจอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่มีส่วนกับการรับผิดชอบประตูทั้ง 2 ลูกที่เสียไป, เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่โดน ควิชา ควารัตส์เคเลีย ปีกหนุ่มจากจอร์เจีย พาทัวร์เกือบ 1 ชั่วโมง, ฟาบินโญ่ ที่ปล่อยให้ อันเดร-ฟรองค์ แซมโบ อองกีสซ่า ทำชิ่งไปยิงลูกที่ 3 อย่างง่ายดาย หรือ เจมส์ มิลเนอร์ ที่โชว์เก๋าไม่เข้าเรื่อง ยกมือมาบังจนเสียจุดโทษลูกแรก
ยังดีทีนี่เป็นแค่เกมแรกใน แชมเปี้ยนส์ลีก เพราะยังเหลือเวลาให้พวกเขาเร่งฟอร์มเก่งกลับมาอีก หากยังหวังเล่นในถ้วยนี้ต่อไป ไม่ใช่หล่นไปผจญภัยในยูโรป้าลีก
อาแจ็กซ์ 5-1 ลิเวอร์พูล | ยูโรเปี้ยน คัพ 1966
อย่างไรก็ดี เกมพ่าย นาโปลี ในปี 2022 ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ครั้งที่ย่อยยับที่สุดในฟุตบอลยุโรปของ ลิเวอร์พูล เพราะหากย้อนไปในปี 1966 กับรายการยูโรเปี้ยน คัพ นั่นคือเกมที่พวกเขาปราชัยมากที่สุดในระดับทวีป
เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคของ บิล แชงค์ลี่ย์ ที่เพิ่งคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล 1965-66 จนได้กลับมาเล่นฟุตบอลยุโรปอีกครั้ง แม้พวกเขาก็มีประสบการณ์ในรายการนี้มาแล้วจากการทะลุถึงรอบตัดเชือกเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ก็ทุลักทุเลกว่าจะผ่าน เปโตรลูล โปรเอสติ ทีมจากโรมาเนียในรอบแรก
ทว่าเรื่องที่แย่ไปกว่านั้นก็คือการไปเจอกับ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ทีมดังจากฮอลแลนด์ ในรอบ 2 ที่มีกุนซือระดับท็อปอย่าง ไรนุส มิเชลส์ รวมไปถึงดาวเตะเทวดาอย่าง โยฮัน ครัฟฟ์ ด้วย และพ่ายไปถึง 5-1 ซึ่งกลายเป็นสกอร์ที่แพ้ขาดลอยที่สุดของ ‘หงส์แดง’ ก่อนตกรอบไปในปีนั้น หลังทำแค่เสมอ 2-2 ที่แอนฟิลด์