11 Moment แห่งความทรงจำครบรอบ 30 ปีพรีเมียร์ลีก

11 Moment แห่งความทรงจำครบรอบ 30 ปีพรีเมียร์ลีก

เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ผ่านมา คือวันครบรอบ 30 ปีของศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ลีกฟุตบอลสสูงสุดของเมืองผู้ดี เปลี่ยนแปลงจากดิวิชั่น 1 กลายเป็นลีกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก ทั้งในแง่ของความสนุกตื่นเต้น, มูลค่าการถ่ายทอดสด และอื่น ๆ

ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย วันนี้ UfaArena จะพาไปย้อนความหลังถึง 11 Moment แห่งความทรงจำครบรอบ 30 ปีพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

๐ คันโตน่า กังฟูคิก (มกราคม 1995)

ย้อนกลับไปเมื่อ 25 มกราคม 1995 เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่เซลเฮิร์ต พาร์ค บ้านของ “ปราสาทเรือนแก้ว” คริสตัล พาเลซ ดวลกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผลการแข่งขันในวันนั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร แต่กลับเป็นเหตุการณ์ในช่วงต้นครึ่งหลังเมื่อ “ก็องโต้” เอริค คันโตน่า ศูนย์หน้าของ แมนฯยูไนเต็ด ถูก ริชาร์ด ชอว์ ผู้เล่นเจ้าถิ่นไล่ตอดจนเจ้าตัวออกอาการหัวร้อนเอาคืน ทำให้ผู้ตัดสิน อลัน วิลกี้ ในเกมนั้นแจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

ระหว่างที่เดินออกจากสนามนั้นเหมือนจะไม่มีอะไร คันโตน่า ก็เดินนิ่ง ๆ พับปกคอเสื้อตามปกติ แต่ระหว่างที่เดินผ่านบริเวณนั้นมีแฟนบอลของ คริสตัล พาเลซ นาม แมทธิว ซิมม่อนส์ วิ่งปรี่จากอัฒจันทร์ชั้นบนพร้อมตะโกะด่าไล่ให้ คันโตน่า กลับฝรั่งเศสไปซะ..

เมื่อได้ยินแบบนั้น “ก็องโต้” ที่กำลังหัวอุ่นกลายเป็นหัวร้อนเต็มสูบทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด เขาวิ่งเข้าไปกระโดดถีบแบบ “กังฟูคิก” ให้แฟนบอลรายนี้ พร้อมกับสาวหมัดเข้าใส่ ก่อนที่เจ้าหน้าที่สโมสรแมนฯยูไนเต็ด จะเข้าไปห้ามและพาตัวไปสงบสติอารมณ์ในห้องแต่งตัว

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ เอริค คันโตน่า ถูกแบนจากการแข่งขันห้ามลงสนามนานถึง 9 เดือน ถูกปรับ 10,000 ปอนด์ ไม่ต้องจำคุก แต่ต้องไปบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสาธารณะ 120 ชั่วโมง ส่วนคู่กรณีของเขาถูกปรับ 500 ปอนด์ ติดคุก 7 วัน และห้ามเข้าชมเกมในสนามเป็นเวลา 1 ปี

ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว คันโตน่า ให้สัมภาษณ์การกระโดดถีบใส่แฟนบอลรายนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีในชีวิต แต่รู้สึกเสียใจเพียงอย่างเดียว.. น่าจะถีบให้แรงกว่านี้

๐ แชมป์ของกุหลาบไฟ (พฤษภาคม 1995)

“กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ภายใต้การคุมทีมของ เคนนี่ ดัลกริช ดาวยิงระดับตำนานที่แยกทางกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล เมื่อปี 1991 ผิดหวังจากซีซั่น 1993-94 ที่พวกเขาทำได้เพียงแค่รองแชมป์ ทำให้ฤดูกาลต่อมา 1994-95 เสริมทัพด้วยการไปดึง คริส ซัตตัน หัวหอกจาก นอริช ซิตี้ ในราคา 5 ล้านปอนด์ ในยุคนั้นถือว่าเป็นการซื้อด้วยราคาที่บ้าระห่ำสุด ๆ เข้ามาเล่นจับคู่กับ อลัน เชียเรอร์ ที่มารออยู่แล้ว

การเข้ามาของ ซัตตัน กลายเป็นจุดที่ทำให้ทีมลงล็อกได้แบบพอดิบพอดี ส่งผลให้ยอดทีมแลงคาเชอร์ผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้สำเร็จครั้งแรกในรอบ 81 ปี แม้ว่าเกมสุดท้ายจะบุกไปพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล 2-1 แต่คู่แข่งที่เบียดแย่งแชมป์อย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ดันไปรถผ้าป่าคว่ำทำเพียงเสมอบุกเสมอกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1

อลัน เชียเรอร์ และคริส ซัตตัน เป็นสองผู้เล่นที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด ทั้งสองกลายเป็นหัวหอกคู่ขวัญที่ช่วยกันถล่มตาข่ายคู่ โดยเฉพาะ เชียเรอร์ ที่ยิงไป 34 ประตู ครองดาวซัลโวในฤดูกาลนั้น นอกจากนี้ยังมีผู้เล่นสำคัญอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็นจอมหนึบอย่าง ทิม ฟลาวเวอร์ส, ทิม เชอร์วู้ด, เฮนนิ่ง เบิร์ก, โคลิน เฮนดรี้, แกรม เลอ โซซ์ และเจสัน วิลค็อกซ์

๐ คีแกน ตบะแตก เสียแชมป์ให้ผี (เมษายน 1996)

“สาลิกาดง” นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ฤดูกาล 1995-96 ภายใต้การคุมทีมของ เควิน คีแกน ถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมฟุตบอลที่มีรูปแบบการเล่นสนุกเร้าใจสุด ๆ ของเกาะอังกฤษ ด้วยขุมกำลังอย่าง โรเบิร์ต ลี, ปีเตอร์ เบียร์ดสลี่ย์, ดาวิด ชิโนล่า, เลส เฟอร์ดินานด์ รวมไปถึงตัวที่มาเสริมในช่วงกลางฤดูกาลอย่าง ฟาอุสติโน่ อัสปริย่า

พวกเขาเกือบไปถึงฝั่งฝันคือการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1927 ทำแต้มทิ้งห่างคู่แข่งแย่งแชมป์อย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึง 12 คะแนน ในช่วงปลายเดือนมกราคม และเหลือโปรแกรมอีกแค่ 15 เกม

แต่เล่นไปเล่นมาเริ่มแผ่ว จนเป็นช่องว่างให้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ใช้สงครามจิตวิทยาโจมตีทีมของ คีแกน ด้วยการวิจารณ์ต่าง ๆ พร้อมกับโยนความกดดันให้กับทีมที่เป็นคู่แข่งของ นิวคาสเซิ่ล ในแต่ล่ะสัปดาห์ ออกแนวแซะเหน็บตอดไปเรื่อย แต่มันดันได้ผล..

ความหายนะเริ่มมาเยือนทีมของ คีแกน ฟอร์มย่ำแย่ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ แพ้ไป 5 จาก 8 เกมที่ลงเล่น ช่องว่างเริ่มแคบลงเรื่อย ๆ

ในช่วงโค้งสุดท้าย คีแกน ได้ทีให้สัมภาษณ์ถึง เฟอร์กูสัน หลังจากที่พวกเขาเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 1-0 ว่าพวกเขายังคงต่อสู้อยู่ตรงนี้เพื่อการเป็นแชมป์ และจะสะใจมาก ๆ เลยหากทำได้สำเร็จ ในตอนนั้นเหลือการแข่งขันอีก 2 เกม พวกเขาต้องเก็บ 6 แต้มให้ได้

แต่ดันไปสะดุดเสมอกับ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1-1 ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนกลายเป็นตามหลัง 2 คะแนน เหลือโปรแกรมอีก 1 นัด ต้องไปเอาใจช่วยให้ มิดเดิ้ลสโบรช์ห ไม่แพ้ แมนฯยูไนเต็ด ซึ่งก็เป็นไปได้ยาก “ปีศาจแดง” ถล่มสบายเท้า 3-0 ส่วน นิวคาสเซิ่ล เสมอกับ สเปอร์ส ในบ้านตัวเอง 1-1

ทำให้สุดท้ายแล้ว แมนฯยูไนเต็ด เข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครองด้วยช่องว่าง 4 คะแนน เหตุการณ์นี้ถูกยกให้เป็นหนึ่งในการพลาดแชมป์แบบไม่น่าเชื่อ

๐ ลูกยิงไกลครึ่งสนามของ เดวิด เบ็คแฮม (สิงหาคม 1996)

เกมเปิดสนามพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 1996-97 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมต้องออกไปเยือน “จอมโหด” วิมเบิลดัน “ปีศาจแดง” ที่เพิ่งสอยดับเบิ้ลแชมป์จากซีซั่นที่แล้ว ก็บุกไปเอาชนะได้ตามความคาดหมาย 3-0 โดย 2 ประตูแรกได้จาก เอริค คันโตน่า และเดนิส เออร์วิ่น

ไฮไลท์สำคัญคือประตูที่ 3 ในช่วงท้ายเกมของการแข่งขัน เดวิด เบ็คแฮม ในวัย 21 ปี ได้รับบริเวณกลางสนาม เขาเงยหน้ามองผู้รักษาประตูคู่แข่ง นีล ซุลลิแวน ที่ออกมายืนหน้ากรอบเขตโทษ ก่อนจะทำในสิ่งที่หลายคนไม่คาดคิด คือการยิงไกลจากระยะกว่า 60 หลา บอลพุ่งย้อยข้ามหัวนายด่านเจ้าถิ่น ที่ถอยไปป้องกันไม่ทัน

กลายเป็นประตูจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เขาได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมากขึ้น และกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ดังทั้งในและนอกสนาม ผ่านมา 26 ปี เชื่อว่าประตูนี้ยังคงอยู่ในความทรงจำของหลาย ๆ คน

๐ แชมป์ไร้พ่ายของ “ปืนใหญ่” (พฤษภาคม 2004)

ในช่วงยุคปลาย 90 มาจนถึง 2000 ต้น ๆ เป็นการต่อสู้แย่งแชมป์ระหว่าง แมนฯยูไนเต็ด และอาร์เซน่อล ตัวกุนซืออย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปะทะ อาร์แซน เวนเกอร์ คู่ปะทะในสนามอย่าง รอย คีน และปาทริค วิเอร่า

อาร์เซน่อล ในตอนนั้นถือว่าเป็นทีมขวัญใจของใครหลาย ๆ คน มีแกนหลักอย่าง ปาทริค วิเอเร่, แอชลีย์ โคล, โรแบร์ ปีแรส, เดนนิส เบิร์กแคมป์ และเธียร์รี่ อองรี

ในฤดูกาล 2003-04 สร้างความมหัศจรรย์ด้วยการเป็นแชมป์ไร้พ่าย ลงเล่น 38 นัด ชนะ 26 เสมอ 12 เก็บได้ 90 คะแนน เธียร์รี่ อองรี ครองดาวซัลโวด้วยไปซัดไป 30 ประตู พร้อมด้วยรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ

“พิซซ่า-เกต” หยุดสถิติไร้พ่ายปืน 49 นัด (ตุลาคม 2004)

หลังจากที่ อาร์เซน่อล ครองแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ แบบไม่แพ้ใคร พวกเขายังคงเครื่องแรงเหมือนเดิมออกสตาร์ทฤดูกาลใหม่ (2004-05) ด้วยการชนะ 8 เสมอ 1 ในเกมที่ 10 ต้องออกไปเยือนถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของ แมนฯยูไนเต็ด

รูปเกมสู้กันอย่างดุเดือดตามสไตล์ แต่เหมือนจะทำอะไรกันไม่ได้ แต่แล้วในช่วงท้ายเกม แมนฯยูไนเต็ด มาได้ 2 ประตูจากจุดโทษของ รุด ฟาน นิสเตอรอย และเวย์น รูนีย์ ทำให้ “ปีศาจแดง” เอาชนะไปได้ 2-0 หยุดสถิติไม่แพ้ใครในเกมลีกของ อาร์เซน่อลเอาไว้ที่ 49 เกม (ตั้งแต่ 7 เมษายน 2003 – 24 ตุลาคม 2004)

หลังจบเกมมีเหตุการณ์ที่มาของ “พิซซ่า-เกต” ระหว่างที่นักเตะทั้งสองทีมปะทะกันในอุโมงค์ อยู่ ๆ ก็มีพิซซ่าชิ้นหนึ่งลอยมาจากไหนไม่ทราบเข้าไปกลางกระหม่อมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งในตอนนั้นไม่สามารถจับมือใครดม หรือว่าใครเป็นคนทำ

ภายหลัง เชสก์ ฟาเบรกัส ที่ตอนนั้นยังเป็นดาวรุ่งอยู่ ได้ออกมายอมรับผ่านรายการทีวีเมื่อปี 2017 ว่าเขานี่แหละคือคนที่ปาพิซซ่าชิ้นนั้น พร้อมกับขอโทษ เซอร์ เฟอร์กี้ หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ

๐ เชลซี คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 50 ปี (พฤษภาคม 2005)

ภายหลังการเข้ามาเทคโอเวอร์ “สิงห์บลูส์” เชลซี ของ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เมื่อปี 2003 ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ฤดูกาลต่อมา 2004-05 เขาได้ดึง โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือจอมอหังการที่พา เอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เข้ามาทำงานในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์

นี่คือจุดเริ่มต้นของความรุ่งโรจน์ของ เชลซี อย่างแท้จริง เทรนเนอร์ชาวโปรตุกีส เข้ามาคุมทีมปีแรกก็สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จด้วยสถิติ ชนะ 29 เสมอ 8 แพ้ 1 เก็บได้ถึง 95 คะแนน

โดยเป็นการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 50 ปี ซึ่งครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเคยทำได้ต้องย้อนกลับไปในฤดูกาล 1954-55 เลยทีเดียว

หลังจากนั้น เชลซี ก็กลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของอังกฤษ ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์มากมาย ได้มาหมดแล้วทุกรายการ

จนถึงวันนี้ทั้ง อบราโมวิช และมูรินโญ่ ต่างก็ออกจากสโมสรไปแล้ว เริ่มต้นยุคใหม่ของ “สิงห์บลูส์” ในยุคของ “เสี่ยท็อดด์” เจ้าทีมคนใหม่

๐ อเกวโร่ Goal เปิดประตูแห่งความสำเร็จของ“เรือใบ” (พฤษภาคม 2012)

ในฤดูกาล 2011-12 “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ เบียดแย่งแชมป์กับทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ในตอนนั้น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ยังไม่วางมือ

แชมป์ต้องมาตัดสินกันในเกมนัดสุดท้าย ทั้งสองทีมมีอยู่ 86 คะแนนเท่านั้น แมนฯซิตี้ ได้เปรียบเพราะลูกได้เสียดีกว่า พวกเขาขอแค่เอาชนะ “ทหารเสือราชินี” ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ ก็จะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรกทันที

แต่เกมไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด “เรือใบ” ออกนำก่อนจาก ปาโบล ซาบาเลต้า แต่มาโดนทีมเยือนที่เหลือผู้เล่น 10 คน มาได้สองประตูรวดนำ 2-1 สถานการณ์ของ ซิตี้ ต้องการ 2 ประตู

พวกเขาเดิมหน้าบดเข้าใส่อย่างหนัก และปาฏิหาริย์ก็มีจริง ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บพวกเขามาได้สองประตูจากลูกโหม่งของ เอดิน เซโก้ 90+2 ตามด้วยประตูชัยจาก เซร์คิโอ้ กุน อเกวโร่ ทำเอาคอมเมนเตเตอร์อย่าง มาร์ติน ไทเลอร์ ตะโกน Aguerooooooooo แบบเสียงหลง

ตัดภาพไปที่อีกสเตเดี้ยม ออฟ ไรท์ แมนฯยูไนเต็ด บุกไปเฉือนเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 พวกเขาแข่งจบก่อนและกำลังยืนลุ้นผลการแข่งขันที่ เอติฮัต สเตเดี้ยม เดินเข้าอุโมงค์กันแบบคอตก

แมนฯซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรก และเป็นแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1968 ลูกยิงของ อเกวโร่ ถือเป็นประตูที่ช่วยให้ แมนฯซิตี้ ปลดล็อกความสำเร็จที่รอคอยมาอย่างยาวนาน และเขาคือตำนานของพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง

๐ เจอร์ราร์ด ลื่นเสียแชมป์ (เมษายน 2014)

ในฤดูกาล 2013-14 “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของกุนซือหนุ่มไฟแรงอย่าง เบรนดอน ร็อดเจอร์ส เข้าใกล้ความสำเร็จการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรกแบบสุด ๆ ตอนนั้นยอดทีมจากย่านเมอร์ซีย์ไซด์มาดีแบบสุด ๆ ด้วยขุมกำลังอย่างกัปตันทีม สตีเว่น เจอร์ราร์ด, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ และหลุยส์ ซัวเรซ

ฟอร์มดีชนะมา 11 เกมรวด แต่จุดเปลี่ยนสำคัญมาเกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน 2014 ลิเวอร์พูล ลงเล่นในแอนฟิลด์รับการมาเยือนของ “สิงห์บลูส์” เชลซี เกมในครึ่งแรกทำท่าว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ..

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือจังหวะที่ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ดันไปลื่นกลางสนาม ถูก เดมบ้า บา ฉกบอลหลุดเข้าไปยิงให้ เชลซี ออกนำ 1-0

หลังจากนั้น หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล โหมเกมรุกเข้าใส่อย่างหนักบุกเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ก็ไม่สามารถทำประตูได้ จนมาเสียเพิ่มอีกเม็ดในช่วงทดเวลาบาดเจ็บสุดท้ายแพ้คาบ้าน 0-2

เกมดังกล่าวถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หากพวกเขาไม่แพ้โอกาสเข้าป้ายมีค่อนข้างสูง หลังจากแพ้เกมนี้ฟอร์มก็ออกทะเลทันที ทั้งนี้ก่อนหน้านี้ชนะมา 11 เกมรวด นัดต่อมาพลาดอีกเสมอกับ คริสตัล พาเลซ 3-3 จนโดน “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงเข้าป้ายคว้าแชมป์ไปครอง

น่าเสียดายที่กัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่อย่าง สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไม่มีแชมป์ลีกติดมือ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็คู่ควรกับการเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีก

๐ เลสเตอร์ ซิตี้ กับการคว้าแชมป์ที่เป็นไปไม่ได้ (พฤษภาคม 2016)

สุดยอดแห่งการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดต้องยกให้กับ “สุนัขจิ้งจอก” เลสเตอร์ ซิตี้ ในยุคของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ จากทีมที่ลุ้นหนีตกชั้นในซีซั่น 2014-15 แต่ดันผงาดคว้าแชมป์ในฤดูกาล 2015-16

เรื่องราวของพวกเขาราวกับเทพนิยาย และเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะเริ่มต้นออกสตาร์ฤดูกาล 2015-16 พวกเขาคือเต็งหนึ่งที่ตกชั้นไปเล่นเดอะ แชมเปี้ยนชิพ เท่านั้นยังไม่พอ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ยังเป็นตัวเต็งกุนซือคนแรกที่จะถูกไล่ออก

ทว่าผลลัพธ์นั้นต่างออกไป พวกเขาคว้าแชมป์ได้แบบเหลือเชื่อ 38 นัด ชนะ 23 เสมอ 12 แพ้แค่ 3 ครองแชมป์ด้วยการมี 81 คะแนน ทิ้งอันดับสองถึง 10 คะแนน

มีแฟนบอลที่เดิมพันว่าพวกเขาจะเป็นแชมป์ในอัตรา 1 ต่อ 5,000 แทงไป 5 ปอนด์ ได้กลับมา 25,000 ปอนด์ รวยแบบไม่รู้ตัว

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโมเมนต์ที่น่าจดจำสำหรับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ไม่รู้ว่าอีก 100 ปีข้างหน้าจะมีทีมไหนทำได้แบบพวกเขาอีกหรือไม่ จากเต็งบ๊วยสู่การคว้าแชมป์ ซึ่งไม่ต่างอะไรจากเทพนิยายกรีซในศึกยูโร 2004

๐ 30 ปีที่รอคอยแชมป์ลีกหนแรกของ “หงส์แดง” (มิถุนายน 2020)

ปิดท้ายกันด้วยเรื่องราวของยอดทีมในตำนานอย่าง “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมเครื่องจักรสีแดงครองความยิ่งใหญ่เป็นจ้าวแห่งบอลลีกในสมัยที่ยังเป็นดีวิชั่น 1 แต่หลังการจากไปของ เคนนี่ ดัลกลิช ที่อำลาทีมในฐานะกุนซือเมื่อปี 1991 ไปอยู่กับ “กุหลาบไฟ” แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส

ลิเวอร์พูล ได้เริ่มต้นยุคใหม่แห่งความบรรลัยอย่างแท้จริง ภายใต้การคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ ที่ปรับเปลี่ยนทีมอย่างยุ่งเหยิง จากทีมที่เคยเล่นฟุตบอลแบบสวยงามเป็นเครื่องจักรถล่มประตู ไปซื้อเอาพวกจอมโหดตามสไตล์น้าแกเข้ามาหลายราย และสุดท้ายก็ไปไม่รอด

หลังจากวันนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จในบอลลีกเลย อาจจะมีใกล้เคียงในปี 2009 ยุคของ ราฟาเอล เบนติเนซ, 2014 ภายใต้การคุมทีมของ แบรนดอน ร็อดเจอร์ส และ 2018 ยุคที่ลืมต้าอ้าปากเมื่อได้ เยอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาทำทีม ปีนั้นถือว่าใกล้เคียงมาก ๆ แพ้ แมนฯซิตี้ แค่ 1 คะแนน

ทำให้ในฤดูกาลต่อมา 2019-20 ลิเวอร์พูลมาด้วยความฮึกเหิมเร่งเครื่องเหยียบคันเร่งอย่างกะสิบล้อเบรกแตก นำม้วนเดียวจบเข้าป้ายด้วยผลงานชนะ 32 เสมอ 3 แพ้ 3 เก็บได้ถึง 99 คะแนน ทิ้งอันดับสองอย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง 18 คะแนน สิ้นสุดการรอคอยเป็นแชมป์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปี

อาจจะไม่ได้ฉลองแบบยิ่งใหญ่เหมือนกับทีมอื่น ๆ เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส โดนล้อว่าเป็นแชมป์เชื้อโรค

แต่ถึงอย่างไรแชมป์นี้ก็มีความสำคัญต่อแฟนบอลของ “หงส์แดง” ทั่วโลก เพราะพวกเขารอมานานตั้ง 30 ปี จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร