ปรีซีซั่นเป็นช่วงที่หลายทีมใช้เพื่อการเตรียมตัวสำหรับซีซั่นใหม่ที่กำลังจะเปิดฉากขึ้น ด้วยการเดินทางไปทัวร์แข่งในประเทศต่างๆ แม้ว่าหลายคนจะมองว่าการแข่งขันก่อนเริ่มซีซั่นจะไม่ได้มีความหมายอะไรมากมาย แต่ก็นับว่ามีความสำคัญไม่น้อยในเรื่องการทำทีม
วันนี้ UFAARENA จะพาไปดูบรรดาผู้จัดการทีมที่สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงปรีซีซั่น และผลงานของพวกเขาหลังจากนั้นว่าจะเป็นเช่นไรกันบ้าง
เจอร์เก้น คล็อปป์ |ลิเวอร์พูล|2016
นับเป็นช่วงซัมเมอร์แรกของนายใหญ่ชาวเยอรมัน ที่ได้คุมทีมอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หลังจากซีซั่น 2015/16 ที่ คล็อปป์ ถูกดึงมาแทนที่ของ แบรนเดน ร็อดเจอร์ส ที่ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ก่อนจะจบซีซั่นด้วยการเป็นอันดับ 8 ของตารางเท่านั้น ซึ่งการปรีซีซั่นครั้งแรกกับหงส์แดงของเจ้าตัว ก็สามารถพาทีมเอาชนะทีมใหญ่ๆอย่าง เอซี มิลาน 2-0 และชนะ บาร์เซโลน่าไปอีก 4-0 รวมแล้ว 9 นัด แพ้ไป 3 นัดกดไป 17 ประตู เสีย 7 ประตู
และเมื่อเปิดฤดูกาลมา ยอดทีมจากเมอร์ซี่ไซด์ ก็สามารถเอาชนะอาร์เซน่อลไปได้ด้วยสกอร์ 4-3 หลังจากนั้นทีมก็เข้ารูปเข้ารอยขึ้นเรื่อยๆ จนจากทีมที่จบเพียงอันดับ 8 เมื่อซีซั่นที่แล้ว กลายมาเป็นทีมอันดับ 4 ในซีซั่นนี้ นับเป็นการกลับไป แชมเปี้ยนส์ลีกได้ในรอบ 2 ปี และฟอร์มการเล่นก็ดีขึ้นทุกปี ก่อนที่จะมาคว้าถ้วยพรีเมียร์ลีก ที่รอคอยมากว่า 30 ปีได้สำเร็จในปี 2019/20 และไม่เคยตกไปเกินอันดับ 4 อีกเลย
ราฟา เบนิเตซ|เรอัล มาดริด|2015
นายใหญ่ชาวสเปนถูกดึงเข้ามาแทนที่ คาร์โล อันเชล็อตติ ที่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลลาลีกามาครองได้ แถมยังพลาดแชมป์ยุโรปอีก โดยการลุยช่วงปรีซีซั่น ทัพราชันชุดขาวภายใต้การคุมทีมของราฟาก็ทำผลงานได้เยี่ยมชนะ 4 นัด เสมอ 3 แพ้ 1 นัดเท่านั้นโดยเป็นการแพ้แค่ บาเยิร์น มิวนิคไปแค่ประตูเดียวเท่านั้นรวมแล้วพวกเขาเสียประตูไปแค่ 3 ประตูเท่านั้นในการปรีซีซั่นพร้อมกดไปถึง 11 ประตู
นอกจากนี้เมื่อซีซั่นเปิดฉากขึ้นฟอร์มการเล่นก็จัดได้ยอดเยี่ยม ไร้พ่าย 10 นัดติดถลุงคู่แข่งไป 5-0 และ 6-0 ก่อนจะมาสะดุดด้วยน้ำมือ เซบีญ่า แต่จบซีซั่นราชันชุดขาวเดินหน้าซัดคู่แข่งไปถึง 110 ประตู แม้จะจบได้แค่ที่ 2 ของตารางด้วยการตามหลังบาร์เซโลน่าแค่แต้มเดียวเท่านั้น ในขณะที่รายการแชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาก็สามารถเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด ในเกมนัดชิง เป็นการกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ยุโรปอีกครั้ง หลังพลาดไปในปีก่อน
หลุยซ์ ฟาน กัล |แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด| 2014
หลังจากที่แฟนผีผิดหวังกับการคุมทีมของ เดวิด มอยส์มาพวกเขาก็หันไปหาผู้จัดการทีมระดับตำนานอีกครั้งอย่าง หลุยซ์ ฟาน กัล ที่เคยผ่านการคุมทั้งทีมชาติฮอลแลนด์ , บาเยิร์น มิวนิค และ บาร์เซโลน่ามาแล้ว กุนซือจากแดนกังหันได้เข้ามาคุมทีมในช่วงปี 2014 และพาทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงปรีซีซั่น 6 นัดชนะรวด แถมเป็นการเจอกับทีมใหญ่ๆทั้งนั้นไล่มาตั้งแต่ แอลเอกาแลกซี่ , โรม่า , อินเตอร์ มิลาน , เรอัล มาดริด , ลิเวอร์พูล และ บาเลนเซีย
โดยพวกเขากดไปทั้งหมด 18 ประตู เสียเพียงแค่ 5 ประตูเท่านั้น เรียกว่าในช่วงเวลานั้นสาวกปีศาจแดงก็ใจชื้นขึ้นมาว่าพวกเขาจะกลับมาลุ้นแชมป์ได้แล้วหลังไปทุลักทุเลมาก่อนหน้านี้ แต่เมื่อซีซั่นเปิดฉากขึ้นดันเปิดหัวด้วยการแพ้ สวอนซี ด้วยสกอร์ 1-2 กว่าจะมาชนะคู่แข่งได้ก็นัดที่ 4 เข้าไปแล้วจากการชนะ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ยังดีที่จบฤดูกาลได้ด้วยอันดับ 4 ของตารางได้ไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อย่างไรก็ตามซีซั่นถัดมาดันจบได้แค่อันดับ 5 สุดท้ายก็โดนปลดออกจากตำแหน่งไปหลังจบฤดูกาล
ดิเอโก้ ซิเมโอเน่ |แอตเลติโก มาดริด|2019
นายใหญ่ชาวอาร์เจนไตน์คุมทีมผ่านความสำเร็จมานับตั้งแต่ปี 2011 โดยในช่วงปรีซีซั่น 2019 นับว่าเป็นช่วงเตรียมทีมที่เรียกได้ว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ต้องเสียตัวหลักอย่าง อองตวน กรีซมันน์ ไปให้กับบาร์เซโลน่าก็ตาม จากการลงสนาม 6 นัดชนะรวด เสียไปแค่ 5 ประตู ยิงไป 17 ประตู แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นการเอาชนะคู่ปรับร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริดไปด้วยสกอร์ 7-3 อีกด้วย
เมื่อซีซั่นเริ่มเปิดฉากขึ้น พวกเขาชนะรวด 3 เกมติดก่อนไปสะดุดพ่าย เรอัล โซเซียดาด แต่ก็ยังถือว่ายังรักษาฟอร์มการเล่นได้ดีเกาะกลุ่มหัวตารางไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้จะไปไม่ถึงแชมป์ลีกก็ตามจากการเป็นอันดับ 3 ของตาราง ส่วนเวทีแชมเปี้ยนส์ลีก ก็จอดป้ายเพียงแค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยน้ำมือ ไลป์ซิค
เอริค เทน ฮาก |แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด|2022
มาถึงนายใหญ่คนล่าสุดที่เรียกว่าพลิกโฉมทัพปีศาจแดงไปจากซีซั่นก่อนอย่างผิดหูผิดตาในช่วงการปรีซีซั่น ด้วยการไล่กดคู่แข่งไปทั้ง ลิเวอร์พูล 4-0 , เมลเบิร์น วิกตอรี 4-1 และคริสตัล พาเลซ อีก 3-1 โดยที่ไม่มีสตาร์ตัวเก่งอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ติดภารกิจครอบครัวอยู่ด้วยซ้ำ นอกจากนี้บรรดานักเตะที่เคยฟอร์มตกลงไปก็เริ่มทำผลงานได้อย่างดีขึ้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเกมปรีซีซั่นจะไม่สามารถเป็นตัวชี้วัดผลงานในเกมลีกจริงได้มากขนาดนั้น แต่ก็นับว่าบรรดาแฟนบอลผีแดงก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านแนวทางการเล่นและ ความมุ่งมั่นของนักเตะที่ดูดีขึ้นจากที่ผ่านๆมา ซึ่งสำหรับผลงานเราคงต้องไปรอลุ้นกันอีกทีว่าจะออกมาในรูปแบบไหน