ราฮีม สเตอร์ลิ่ง กลายเป็นนักเตะรายที่ 2 ที่ลา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในซัมเมอร์นี้เพื่อย้ายไปซบหนึ่งในทีมบิ๊กซิกซ์ของพรีเมียร์ลีก นั่นก็คือ เชลซี ด้วยค่าตัวราวๆ 47.5 ล้านปอนด์
หลังก่อนหน้านี้ขาย กาเบรียล เชซุส ให้กับ อาร์เซน่อล รวมไปถึงคว้า เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ ดาวยิงจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ทำให้ ‘เรือใบสีฟ้า’ จะมีแนวรุกที่แตกต่างไปจากเดิมแน่นอนในฤดูกาลใหม่ที่กำลังจะถึงนี้
เช่นเดียวกับ สิงห์บลูส์ เช่นกันที่แนวรุกของพวกเขาจะเปลี่ยนโฉมไป หลังได้ดาวเตะทีมชาติอังกฤษมาร่วมทีม หลังจากที่ปล่อย โรเมลู ลูกากู ให้กับ อินเตอร์ มิลาน ยืมไปใช้งาน 1 ปีเต็ม
ว่าแต่ทำไม ตัวรุกวัย 27 ปี ที่อยู่ในทีมลุ้นแชมป์อย่าง ซิตี้ ถึงเลือกลา เอติฮัด ในซัมเมอร์นี้ และเขาจะเพิ่มมิติอะไรกับเกมรุกในทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล บ้าง UFA ARENA จะพาไปวิเคราะห์กันผ่านบทความนี้กัน
ปังสุดๆกับ ‘เรือใบ’
แมนฯซิตี้ คว้าแชมป์เมเจอร์มาครองทั้งหมด 29 รายการในประวัติศาสตร์ของวกเขา โดย 12 รายการจากทั้งหมด เป็นช่วงที่ สเตอร์ลิ่ง มีส่วนร่วมอย่างมาก ทั้งแชมป์ลีก 4 จาก 8 สมัยของสโมสร, แชมป์ลีกคัพ 5 จาก 8 ครั้ง และ เอฟเอ คัพ อีกสมัย
อีกทั้งยังทำไป 131 ประตู กับ 74 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 339 เกมในทุกรายการ ตลอดช่วง 7 ปีในถิ่น เอติฮัด หลังย้ายจาก ลิเวอร์พูล ในปี 2015
แข้งวัย 27 ปี มีส่วนสำคัญอย่างมากกับ ซิตี้ ในยุคของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า โดยได้ลงเล่นให้ทีมมากกว่าใคร (292) ในช่วงที่กุนซือชาวกาตาลันคุมทัพ
มากไปกว่านั้น มีเพียง ลิโอเนล เมสซี่ (211) และ เซร์คิโอ้ อเกวโร่ (124) ที่ยิงประตูมากกว่า ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ (120) ทำได้ในทีมของ เป๊ป รวมไปถึงยังรั้งอันดับ 3 ในด้านแอสซิสต์ ด้วยจำนวน 66 ครั้ง เป็นรองเพียง เควิน เดอ บรอยน์ (105) และ เมสซี่ (80) ด้วย
แม้ หนูลิ่ง จะเป็นนักเตะคนสำคัญของ เป๊ป ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงรั้งอันดับ 11 ของดาวยิงตลอดกาลในสโมสร แต่ในสายตาเหล่าซิติเซ้นแล้ว พวกเขากลับไม่มองว่า อดีตลูกหม้อ ลิเวอร์พูล เป็นแข้งระดับตำนานของทีม
“สเตอร์ลิ่ง ไม่ใช่นักเตะคนโปรดของแฟนๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากจะอธิบาย เพราะเขาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มากกว่านักเตะทุกคนที่ไม่ใช่แข้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจาก จอห์น เทอร์รี่ และ เฟร์นานดินโญ่ เท่านั้น” ไซม่อน สโตน นักข่าวคนดังของ BBC Sports กล่าว
“ฟอร์มของเขาโดดขึ้นมาเป็นช่วงๆ บางครั้งเขาก็ดูเฉียบขาด แต่บางครั้งเขาก็ใช้โอกาสเปลืองและพลาดโอกาสสำคัญเช่นกัน ทว่าเขายังคงอันตรายยามมีบอลกับตัว และวันที่ดีที่สุดของเขาก็โดดเด่นสุดๆ”
“เขาอาจเป็นหนึ่งในผู้เล่นเหล่านั้นที่ช่วงเวลาที่ซิตี้ได้รับการชื่นชมเมื่อนึกย้อนถึงมากกว่าที่เคยเป็นในตอนนี้”
แล้วทำไมซิตี้ถึงปล่อย?
การที่ สเตอร์ลิ่ง ประสบความสำเร็จกับ แมนฯ ซิตี้ และมีความสำคัญในทีม นั่นทำให้เกิดคำถามทันทีว่าทำไมสโมสรถึงเลือกปล่อยเขาให้กับทีมคู่แข่งลุ้นแชมป์แบบนี้?
หากลองวิเคราะห์กัน ก็อาจมี 2 ปัจจัยหลักๆ นั่นก็คือ 1.การที่ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ เหลือสัญญาแค่ถึงซัมเมอร์หน้าเท่านั้น ทำให้ซัมเมอร์นี้คือโอกาสสุดท้ายในการทำเงินจากเขา ขณะที่ปัจจัยที่ 2 มาจาก การคว้า ฮาแลนด์ มาร่วมทีมที่ส่งผลต่อโอกาสลงเล่นของเขาแน่นอน
ซิตี้ มักเล่นแบบไม่ใช้กองหน้าธรรมชาติ ในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา เนื่องจากอาการบาดเจ็บของ อเกวโร่ ก่อนที่เขาจะย้ายไป บาร์เซโลน่า ในเวลาต่อมา
แต่การจ่ายเงินกว่า 51 ล้านปอนด์เพื่อคว้า ฮาแลนด์ จาก ดอร์ทมุนด์ ที่ซัดไปกว่า 150 เม็ด ด้วยวัยเพียง 21 ปี ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
มีเพียง 9 จาก 47 เกมที่ ดาวเตะเลือดผู้ดี ลงสนาม ได้เล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า ส่วน ฟิล โฟเด้น ถูกวางให้เล่นในตำแหน่งนี้ถึง 19 นัด แม้ลงเล่นเป็นปีกบ่อยๆก็ตาม
อีกทั้ง อดีตแข้ง ลิเวอร์พูล ยังออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกเพียงง 23 นัดเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา และอย่าลืมว่า ซิตี้ ยังไม่ได้คว้า ฮาแลนด์ มาร่วมทัพด้วย
แน่นอนว่าเขาอาจเป็นคนสำคัญที่ ซิตี้ ไม่อยากปล่อยออกไป และอยากให้อยู่ต่อแน่นอน แต่การที่ เป๊ป ไม่สามารถการันตีเวลาลงสนามให้เขาได้ เนื่องจากการแข่งขันที่สูงในแผงผู้เล่นเกมรุก
และต่อให้ ทีมสีฟ้าจาก แมนเชสเตอร์ ไม่อยากขายให้กับสโมสรจาก พรีเมียร์ลีก ทว่า เชลซี กลับเป็นทีมที่พร้อมทุ่มมากกว่าใคร และด้วยสัญญาที่เหลือไม่ถึง 12 เดือน การเลือกขาย หนูลิ่ง จึงเป็นการตัดสินใจที่สมเหตุสมผลแล้วสำหรับ ซิตี้
เหมาะตำแหน่งไหนในถ้ำสิงห์
หนึ่งสิ่งที่ เชลซี จะได้แน่นอนจาก สเตอร์ลิ่ง ก็คือจำนวนประตู และ แอสซิสต์ ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมขาดหายไปพอสมควร แม้ประสบความสำเร็จในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ครั้งสุดท้ายที่ ผู้เล่น สิงห์บลูส์ ยิงประตูมากกว่า หนูลิ่ง ในฤดูกาล ทั้งในลีกและรวมทุกรายการ ต้องย้อนกลับไปในฤดูกาล 2016-17 ที่มี ดีเอโก้ คอสต้า อยู่ (22)
นอกเหนือจากประตูและแอสซิสต์ที่เพิ่มขึ้นแล้ว แข้งวัย 27 ปี ยังเป็นตัวแทนของ ท็อด โบห์ลี่ย์ เจ้าของ เชลซี คนใหม่ ที่แสดงให้เห็นว่าเขามีความทะเยอทะยานในการพาทีมประสบความสำเร็จ
สิ่งสำคัญลำดับต่อมา นี่เป็นการเซ็นสัญญารายแรกของ ทูเคิ่ล ในเชลซี ยุคใหม่ นับตั้งแต่เขาได้รับอำนาจมากขึ้นจาก โบห์ลี ภายหลังที่ปรึกษาด้านเทคนิค ปีเตอร์ เช็ก และผู้อำนวยการ มาริน่า กรานอฟสกายา ที่ดูแลการเจรจา ประกาศลาจากตำแหน่ง
ตั้งแต่ปี 2017-18 กองหน้าทีมชาติอังกฤษทำไปแล้ว 110 ประตูและสร้างโอกาสอีก 51 ประตูในทุกรายการให้กับซิตี้ ยิ่งตอกย้ำว่า การมีส่วนกับประตูของเขาโดดเด่นกว่าแข้ง เชลซี หลายเท่า
โอลิวิเยร์ ชิรูด์ (39) ที่ปัจจุบันอยู่ที่เอซี มิลาน และเอเด็น อาซาร์ (38) ยังคงเป็นดาวซัลโวสูงสุดของ เชลซี นับตั้งแต่ช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่ง อาซาร์ ย้ายไป เรอัล มาดริด เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ส่วน วิลเลี่ยน ที่อำลาทีมเมื่อ 2 ปีก่อน ก็รั้งตำแหน่งจอมแอสซิสต์สูงสุด นับตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงปัจจุบัน โดยแอสซิสต์ไป 31 ลูก
สเตอร์ลิ่ง สามารถเล่นเป็นกองหน้าฟอลส๋ไนน์ ซึ่งระบบที่ ทูเคิ่ล ดูเหมือนจะโปรดปราน และมีโอกาสมากขึ้นที่ เชลซี จะเล่นโดยไม่มีกองหน้าธรรมชาติ หลังจากส่ง ลูกากู ผู้ทำประตูสูงสุดของฤดูกาลที่แล้วให้อินเตอร์มิลานยืมตัว
ซึ่งในฤดูกาลที่แล้ว ดาวเตะชาวอังกฤษ ได้สัมผัสบอลในเขตโทษ (8.93) ต่อ 90 นาทีมากกว่ากองหน้าของเชลซีทุกคนที่ยังคงอยู่ในสโมสร
เขายังพยายามเลี้ยงบอลให้สำเร็จ มากกว่าตัวรุกของ ‘สิงห์บลูส์’ ด้วยทั้ง ฮาคิม ซิเยค และเมสัน เมาท์ ที่ได้ลงเล่นมากกว่า หนูลิ่ง และแม้จะทำประตูได้มากกว่า แต่อดีตแข้ง ซิตี้ ใช้โอกาสยิงน้อยกว่าซิเยค, ติโม แวร์เนอร์, เมาท์ และไค ฮาเวิร์ตซ์ ใน 90 นาที
เชลซีมีตัวเลือกมากมายในการโจมตี แต่พวกเขาต้องการคนสามารถทำได้ทั้งสร้างสรรค์โอกาสและทำประตูได้เป็นประจำ และ สเตอร์ลิ่ง อาจเป็นคำตอบที่พวกเขาตามหา
แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความกดดันให้กับ ทูเคิ่ล เช่นกัน หวังล้มเหลวมาแล้วดีลของ ลูกากู และทางเดียวที่จะคลายความกดดันคือทำให้ แข้งวัย 27 ปี เฉิดฉายในเดอะ บริดจ์ เท่านั้น