เฟร็ด เพนท์แลนด์ : ตำนานโค้ชบิลเบาผู้เปลี่ยนโฉมฟุตบอลสเปน

เฟร็ด เพนท์แลนด์ : ตำนานโค้ชบิลเบาผู้เปลี่ยนโฉมฟุตบอลสเปน

นี่อาจเป็นเวลาร่วม 100 ปีแล้วที่ เฟร็ด เพนท์แลนด์ มาเยือนในเมืองบิลเบาเป็นครั้งแรก แต่โค้ชชาวอังกฤษที่สวมหมวกกลมทรงสูงพร้อมสูบซิการ์เป็นเอกลักษณ์ ก็ยังเป็นที่รักและจดจำของแฟนบอล บิลเบา เสมอมา

‘เอล บอมบิน’ อาจไม่ใช่โค้ชชาวอังกฤษคนแรกที่คุมทีมดังจากแคว้น บาสก์ แต่เขาได้จารึกสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ของสโมสร และพอจะพูดได้ชัดเจนเขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวงการฟุตบอลของสเปนให้ยกระดับไปอีกขั้น

โดยตลอด 2 หนที่คุม บิลเบา เขาพาทีมคว้าแชมป์ ลาลีก้า ได้ 2 สมัย พ่วงด้วยแชมป์โกปา เดล เรย์ อีก 5 สมัย พร้อมเป็นผู้บุกเบิกสไตล์การเล่นที่แตกต่างและโดดเด่นกว่าใครในยุคนั้น

ว่าแต่เพราะอะไรที่ทำให้ กุนซือเลือดผู้ดี ถึงกลายเป็นผู้พลิกโฉมวงการลูกหนังแดนกระทิงในช่วง 100 ปีก่อนหน้านี้ UFA ARENA จะพาไปติดตามผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

ผู้เปลี่ยนแปลงบิลเบา

ดูรูปต้นฉบับ

เพนท์แลนด์ เป็นชาวอังกฤษที่กำเนิดและเติบโตในเมือง วูล์ฟแฮมป์ตัน โดยเริ่มต้นเล่นฟุตบอลอาชีพ สมอล ฮีธ (ปัจจุบันคือ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้) ในตำแหน่งปีกขวา ด้วยฝีเท้าที่โดดเด่นพอตัวทำให้ติดทีมชาติ รวมถึงได้ย้ายไปเล่นกับ แบล็คเบิร์น และ มิดเดิ้ลสโบรห์ ด้วย ก่อนแขวนสตั๊ด ด้วยวัย 31 ปี

หลังจากนั้น เจ้าตัวก็ย้ายไปเริ่มต้นงานโค้ชกับ ทีมชาติเยอรมันชุดโอลิมปิก ในปี 1914 ทว่าเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น เขาถูกกักขังที่ค่ายแห่งหนึ่งใกล้กรุงเบอร์ลิน โดยได้จัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างนักโทษด้วยกันเองในช่วงนั้น ก่อนที่จะไปเป็นโค้ชสตราสบูร์ก และฝรั่งเศสในโอลิมปิกปี 1920

 จนกระทั่งในปีเดียวกัน กุนซือชาวอังกฤษ ก็เข้ามารับงานใน สเปน ครั้งแรกกับ ราซิ่ง ซานทันเดร์ แต่ชื่อเสียงของเขาได้รับการพูดถึงมากขึ้นหลายเท่า เมื่อเข้ามาคุม แอธเลติก บิลเบา ในปี 1922

“แอธเลติก ยื่นข้อเสนอที่ดีมากๆให้กับเขา พวกเขาอยากลงทุนกับโค้ชฝีมือดี ตอนนั้นยังเป็นสโมสรแบบสมัครเล่นอยู่เลย เพราะงั้นพวกเขาจึงมองหาโค้ชที่มีชื่อชั้นดูบ้าง” อาเซร์ อาร์ราท ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ของบิลเบา กล่าวกับ BBC

“เขามีระเบียบวินัยมากมายที่เกี่ยวข้องกับการฝึก และสร้างรากฐานเพื่อให้เป็นกีฬาที่มีระเบียบและเป็นมืออาชีพมากขึ้น”

 

พลิกโฉมฟุตบอลแดนกระทิง

ดูรูปต้นฉบับ

หลายคนในยุคนั้นเล่าต่อๆกันมาว่า เพนท์แลนด์ เป็นคนที่ชอบเก็บรายละเอียดอย่างมาก ไม่ว่าจะดูเล็กน้อยแค่ไหน โดยมีเรื่องราวว่าในระหว่างการฝึกซ้อมครั้งแรกกับ บิลเบา เขาได้สอนผู้เล่นถึงวิธีการผูกเชือกรองเท้าอย่างถูกต้อง แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็เป็นที่ชื่นชอบทั้งกับนักเตะในทีมและเพื่อนร่วมงานเช่นกัน

“หลังจากประสบการณ์เกี่ยวกับมนุษย์ในการจัดการกับสงครามและผู้คนที่หลากหลาย เมื่อเขามาที่นี่ที่บิลเบา เขาก็มาพร้อมกับความมีมนุษยธรรมนี้” อาร์ราท กล่าวต่อ

“เขามีบุคลิกที่น่าสนใจ มองโลกในแง่ดีและฉลาดมาก ภายในเวลาไม่กี่เดือน เขาก็เขียนในนิตยสารกีฬาว่าทีมควรเล่นอย่างไร” 

นอกจากนี้ กุนซือชาวอังกฤษ ยังสนับสนุนให้ผู้เล่นของเขาหันเหพลิกแพลงจากแนวทางการเล่นแบบไดเรค ที่เป็นการพาบอลขึ้นหน้าให้เร็วที่สุด และเห็นได้ปกติทั่วไปในเวลานั้น มาใช้หลักการของเขาที่เป็นการเล่นแบบเน้นการต่อบอลไปมา ซึ่งนำไปสู่การเปรียบเทียบกับบาร์เซโลน่าของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในยุคปลาย 2000 ไม่น้อย

“รูปแบบทั่วไปคือ 2-3-5 โดยมีกองหน้า 5 คน” ไกซ์ก้า อัตซา ประธาน ของ มิสเตอร์ เพนท์แลนด์ คลับ กลุ่มแฟนบอลบิลเบาที่ตั้งอยู่ในลอนดอน กล่าวถึงเรื่องนี้เพิ่มเติม

“มิสเตอร์เพนท์แลนด์ เปลี่ยนให้มีผู้เล่นในแดนกลางมากขึ้น และเขาจะให้ความสำคัญกับการครองบอลมากกว่าคู่แข่ง เล่นต่อบอลกันสั้นๆ ผมไม่รู้ว่าคุณจะเรียกมันเหมือนกับที่บาร์ซ่าใช้เมื่อ 10-20 ปีก่อนอย่างติกิ-ตาก้าได้ไหม”

“เขาทำให้เรามั่นใจถึงสิ่งที่เรากำลังทำในสโมสร และเป็นรากฐานของความสำเร็จ และจิตใจที่ใฝ่หาชัยชนะ นั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เขาปลูกฝัง”

นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทสำคัญในการแนะนำแนวทางที่เป็นมืออาชีพมากขึ้นในช่วงเวลาที่สโมสรส่วนใหญ่ในประเทศยังเป็นทีมสมัครเล่นอยู่ โดยบอกสมาชิกคณะกรรมการให้พยายามจ่ายเงินให้กับผู้เล่น หากพวกเขาต้องการให้เกิดแข่งขันจริงๆ

 

ตำนานตลอดไป

‘เอล บอมบิน’ พา บิลเบา คว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ ในปี 1923 และลาทีมในปี 1925 เพื่อย้ายไปคุม แอตเลติโก้ มาดริด เป็นเวลา 2 ช่วง โดยมีงานคุม เรอัล โอเวียโด้ คั่นอยู่ระหว่างกลาง และมีส่วนในการช่วยจัดการทีมชาติสเปน เป็นชาติแรกนอกสหราชอาณาจักรที่เอาชนะ อังกฤษ ด้วยสกอร์ 4-3 ในปี 1929

จากนั้นในปีต่อมา กุนซือเลือดผู้ดี ก็กลับมา บิลเบา อีกครั้ง และนั่นทำให้เขากลายเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ของสโมสรอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

ทั้งการคว้าแชมป์ โคปา เดล เรย์ นาน 4 สมัยติด ระหว่างปี 1930-1933 พร้อมด้วยแชมป์ลาลีก้า 2 สมัย ในฤดูกาล 1929-30 กับ 1930-31 อีกทั้งยังเป็นทำให้ บิลเบา เป็นสโมสรที่ยัดเยียดความปราชัยให้ บาร์เซโลน่า แบบถล่มถลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยสกอร์ 12-1 ด้วย

“ผู้คนที่นี่เข้าใจดีว่าแอธเลติกกลายเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมตั้งแต่ยุคนั้น เนื่องจากอิทธิพลของอังกฤษ มีความเชื่อมโยงและความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นมาก การปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้ง การขุดเหมือง การต่อเรือ เป็นเมืองท่า” อัตซา กล่าว

“มิสเตอร์ เพทน์แลนด์ เป็นสุภาพบุรุษชาวอังกฤษในอุดมคติ สวมหมวกทรงกลมสูง พกร่ม และสูบซิการ์ ทุกคนจะบอกคุณว่าเขาเป็นคนที่อุ่นมาก เข้ากับคนง่าย คุณจะเห็นเขาที่ถนนและเขาก็ทักทายแฟนๆ เขาเป็นเข้าถึงได้ง่ายมาก”

“เขาเข้ากับคนที่นี่เพราะเราชื่นชอบมีช่วงเวลาที่ดี เราชอบกิน เราชอบดื่ม และผมคิดว่าเขาพบความสงบสุขของเขาแล้ว”

กุนซือชาวอังกฤษ ลาทีม บิลเบา เป็นครั้งที่ 2 หลังพาทีมคว้าแชมป์โคปา เดล เรย์ เป็นปีที่ 4 ติดต่อกันในปี 1933 แต่มรดกที่เขาสร้างไว้ในทีมก็ยังคงอยู่ ซึ่งต่อมา ทีมแคว้นบาสก์ก็คว้าแชมป์ลีกมาครองได้อีก 2 ครั้งในปี 1934 และ 1936 ซึ่งเป็นปีเดียวกันที่เขาย้ายกลับแดนผู้ดีบ้านเกิด หลังเกิดสงครามกลางเมืองในสเปน

“คุณได้ยินชื่อของเขาที่ถนน และทุกคนรู้ว่านี่คือชายที่สวมหมวกครอบทรงสูงและสูบซิการ์ สถานะของตำนานของเขายังคงอยู่ต่อไป” อัตชา กล่าว

เพนท์แลนด์ เสียชีวิตในปี 1962 ด้วยวัย 78 ปี และถึงแม้ตัวเขาจะจากไปรวม 60 ปีแล้ว แต่ตำนานที่เขาสร้างไว้ทั้งกับ บิลเบา และวงการฟุตบอลสเปน จะถูกจารึกไว้ในใจของแฟนบอลแดนกระทิงตลอดไปไม่รู้ลืมแน่นอน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ทีมยุโรปเยอะแยะ! :ทำไมเบลเลือกย้ายซบแอลเอ เอฟซี?
ทีมยุโรปเยอะแยะ! :ทำไมเบลเลือกย้ายซบแอลเอ เอฟซี?