ในซัมเมอร์นี้หลายทีมคงวุ่นอยู่กับการซื้อขายนักเตะไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ และตัวนักเตะเองก็คงว้าวุ่นใจอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยากย้ายทีมเพื่อโอกาสที่ดีกว่า หรือ แข้งเนื้อหอมที่มีข่าวกับทีมดังมากมาย แต่จะได้ย้ายทีมหรือไม่ ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับ 2 สโมสรจะตกลงกันได้หรือไม่ต่างหาก
นอกจากนี้ยังมีนักเตะจำพวกหนึ่งที่ประกาศตัวอย่างดิบดีว่า เขาจะไม่ย้ายออกจากสโมสรอย่างแน่นอน แต่คำพูดเหล่านั้นบางครั้งก็เชื่อถือหรือให้น้ำหนักมากไม่ได้ เนื่องจากบางคนก็เคยพูดแบบนั้น เพียงเวลาไม่นานก็โผล่ไปร่วมทีมอื่นเหมือนกับลืมว่าเคยพูดอะไรไว้ และไม่แปลกใจที่แฟนบอลจะพากันสาปส่งชนิดไม่เผาผีกันเลยล่ะ
และนี่คือ 10 แข้งดังที่ปากอย่างใจอย่าง หรือย้อนแย้งกับคำพูดตัวเอง ก่อนจะย้ายไปร่วมทีมที่ตัวเองเองเคยบอกว่าไม่มีทางไปค้าแข้งด้วยแน่นอน
กาแอล กลิชี่
อดีตแบ็คซ้ายอาร์เซน่อลต้องทนเห็นเพื่อนร่วมทีมอย่าง โคโล่ ตูเร่ และ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ย้ายไปเล่นกับแข้งดังอย่าง ยาย่า ตูเร่ และ คาร์ลอส เตเบซ ในแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อซัมเมอร์ปี 2009 ซึ่งตัวเขาเคยพูดเหน็บแนมนักเตะที่ย้ายทีมไปค้าแข้งในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม มีแต่พวกหิวเงินเท่านั้น
“ผมเชื่อจริงๆว่า ถ้าคุณเป็นนักเตะที่คิดแต่เงินๆทองๆ คงจะต้องย้ายไปอยู่กับแมนเชสเตอร์ ซิตี้แน่นอน” แข้งชาวฝรั่งเศสกล่าว “คุณต้องคิดสิว่าคุณอยากเล่นให้กับสโมสรใหญ่ๆและมีภาพลักษณ์ หรือคุณต้องการเล่นให้กับสโมสรดีๆและได้เงินเยอะๆ เมื่อคุณขอให้บางคนย้ายไปเพื่อเงิน 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ มันบ้าไปแล้ว”
อย่างที่ทุกคนทราบดีว่าตอนจบของเรื่องนี้เป็นอย่างไร อีก 2 ปีต่อมา กลิชี่ ลืมคำที่ตัวเองเคยพูดจนหมดสิ้นและย้ายไปอยู่ ‘เรือใบสีฟ้า’ แทน พร้อมกับคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ด้วย เยี่ยมจริงๆ
ซามูเอล เอโต้
หลังเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายในปี 2005-06 ระหว่างบาร์เซโลน่าและเชลซี เอโต้ เคยกล่าวว่าตนเองคงไม่โอเคเท่าไหร่ ถ้าต้องย้ายไปร่วมงานกับ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือของ ‘สิงห์บลูส์’ ในขณะนั้น
“ผมไม่มีทางย้ายไปอยู่ในทีมที่มูรินโญ่คุม” หัวหอกชาวแคเมอรูนกล่าว “เขาทำสิ่งต่างๆพังยับเยินด้วยพฤติกรรมของเขาจากทั้ง 2 เกมนั้นไปมาระหว่างทีมของเรา”
แถมก่อนเกมดังกล่าว เอโต้ ยังแอบแขวะนายใหญ่ชาวโปรตุเกสอีกว่า เขายอมไปขายถั่วในหมู่บ้านดีกว่าย้ายไปเล่นในทีมที่น่าสมเพชอย่างเชลซี และต่อมาก็โจมตีมูรินโญ่ตรงๆ โดยบอกว่าตนเองรู้ดีว่า มูรินโญ่เป็นโค้ชที่ดีและเก่ง แต่ในความจริงแล้ว เขาก็มองว่ามูรินโญ่เองก็ไม่ได้ดีเด่อะไร
จู่ๆ คำว่า ‘ไม่มีทาง’ ก็หายไปพจนานุกรมของเอโต้ และย้ายไปอยู่กับมูรินโญ่ที่อินเตอร์ในปี 2009 พร้อมพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ได้ในปีแรกที่อิตาลี ก่อนจะย้ายมาร่วมงานกันอีกครั้งที่เชลซีในปี 2013 อืม…นะ
อลัน สมิธ
อลัน สมิธ เคยเป็นนักเตะขวัญแฟน ‘ยูงทอง’ มากๆ หลังเคยหล่นวาทะไว้ว่า “จะไม่มีทางเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” แต่ใครจะไปรู้ว่า ลีดส์ ยูไนเต็ด จะตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรกในปี 2004 และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น คือภาพที่ สมิธ ลาทีมรักในวัยเด็ก พร้อมกับชูเสื้อเปิดตัวเป็นแข้งใหม่ทีม ‘ปีศาจแดง’ อย่างเป็นทางการในซัมเมอร์นั้น
ในเวลาต่อมาได้มามีการเปิดเผยว่าทีมประสบปัญหาเรื่องการเงินอย่างหนักและทางเดียวที่แก้ไขได้คือค่าตัวของสมัดเจอร์เท่านั้น ซึ่งตัวเขาเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในนิตยสาร FourFourTwo เมื่อ 2 ปีก่อนว่า “ผมยังเด็ก,ไร้เดียงสา และไม่คิดว่า 1.แมนยูไนเต็ดจะต้องการตัวผม และ 2.ลีดส์จะขายผม ดูสิว่าผมงี่เง่าแค่ไหน เมื่อผู้จัดการทีมที่ดีที่สุดต้องการตัวผม ผมจะปฏิเสธลงได้อย่างไรล่ะ?”
แต่อย่างน้อยตัวเขาเองก็แสดงให้เห็นว่าลีดส์เป็นสโมสรที่เขารักมากเพียงใด เมื่อสละเงินก้อนใหญ่ที่ ลีดส์ จะต้องจ่ายให้เขาในการย้ายตัวครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “สิ่งสุดท้ายที่ผมต้องการจะเห็นคือการล้มละลายของสโมสร” อดีตกองหน้าพันธ์ุดุย้อนความ
ซามีร์ นาสรี่
หนึ่งวันก่อนหน้าอาร์เซน่อลจะเข้าไปฟาดแข้งในนัดชิงลีก คัพ กับ เบอร์มิ่งแฮม ซิตี้ ในปี 2011 นาสรี่ประกาศจุดยืนอนาคตของตัวเองไว้อย่างชัดเจนว่า “หนึ่งในเหตุผลที่ผมย้ายมาอาร์เซน่อลคือการคว้าแชมป์ และผมไม่คิดว่าจะย้ายออกจากสโมสรแห่งนี้ โดยไม่มีถ้วยติดไม้ติดมือเลยซักใบ”
‘ปืนใหญ่’ พยายามอย่างหนักในการล่า 4 โทรฟี่ในปีนั้น และก็ดูไปได้สวยไม่น้อย เมื่อพวกเขาเอาชนะบาร์เซโลน่าได้ 2-1 ในนัดแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนนัดชิงลีกคัพเกือบสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างค่อยกลับตาลปัตร เมื่อทีมของอาร์แซน เวนเกอร์ พ่ายให้กับทีม’ลูกโลก’ ไปแบบไม่น่าเชื่อในนัดชิง จากนั้นก็ถูกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขี่ยตกรอบเอฟเอ คัพ ก่อนจะถูก ‘เจ้าบุญทุ่ม’ อัดจนตกรอบบอลยุโรป ส่วนในพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะแค่ 2 เกมเท่านั้น จาก 11 นัดสุดท้าย คว้าอันดับ 4 ที่คุ้นเคยไปครอง
และซัมเมอร์ต่อจากนั้น นาสรี่ที่ไม่เคยคว้าแชมป์อะไรกับอาร์เซน่อลก็ย้ายทีมไปซบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ และคว้าแชมป์ลีกครั้งแรกในอาชีพกับสโมสรนี้
อาร์ตูโร่ วิดาล
ชีวิตค้าแข้งของวิดาลยอดเยี่ยมสุดๆยามเล่นให้กับทีมในตูริน ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกได้ หลังพา ยูเวนตุส คว้าแชมป์ลีก 4 ฤดูกาลติดต่อกัน อีกทั้งยังพา ‘เบี่ยงโคเนรี่’ เข้าถึงรอบชิงแชมเปี้ยนส์ลีกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2003
“ผู้คนในตูรินรักผม ผมรู้สึกดีโคตรๆและครอบครัวของผมก็รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านเลย” แข้งชาวชิลีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมผมจำเป็นต้องย้ายออกจากที่นี่ด้วยล่ะ?”
4 เดือนผ่านไป วิดาลขอขึ้นบัญชีย้ายทีมเพื่อไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิค จากการยืนยันของ จูเซ็ปเป้ มาร็อตต้า ผู้อำนวยการสโมสรของทีม ‘ม้าลาย’ ณ เวลานั้น
โซล แคมป์เบลล์
เมื่อกัปตันทีม ‘ไก่เดือยทอง’ กำลังจะหมดสัญญากับทีมในซัมเมอร์ปี 2001 แน่นอนว่าตัวแคมป์เบลล์ย่อมมีข่าวกับทีมดังๆมากมาย แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือเขาดันไปมีข่าวกับ อาร์เซน่อล คู่แค้นตลอดกาลของสเปอร์ส
ตัวปราการหลังทีชาติอังกฤษถูกถามเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งตัวเขาก็ตอบกลับว่า “ผมจะอยู่ที่นี่” และยืนยันว่าจะไม่ย้ายไปค้าแข้งในถิ่นไฮบิวรี่แน่นอน “ผมคิดว่านี่คงทำให้แฟนสเปอร์สไม่พอใจแน่ๆ หากผมย้ายไปอยู่กับอาร์เซน่อล ซึ่งผมจะไม่ย้ายไปที่นั่นหรอก” แคมป์เบลล์กล่าวไว้กับนักข่าว
ท้ายที่สุด แคมป์เบลล์กลับย้ายไปร่วมทีม ‘ปืนใหญ่’ ในซัมเมอร์นั้น ซึ่งแม้แต่นักข่าวก็ยังไม่มีใครรู้ และนอกจากนี้ ตัวเขายังยืนยันจนถึงวันนี้ว่า ไม่เคยให้สัมภาษณ์ว่าจะไม่ย้ายไปร่วมทีม อาร์เซนอล เลยซักครั้งเดียว แต่ไม่ว่าเขาจะเคยพูดจริงหรือไม่ก็ตาม เหล่ายิด อาร์มี่ คงไม่มีทางให้อภัยและจูบปากคืนดีกับอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษอย่างแน่นอน
เนโต้
อดีตผู้รักษาประตูมือหนึ่งของฟิออเรนติน่า ซึ่งกำลังจะหมดสัญญากับทีม ‘ม่วงมหากาฬ’ ในซัมเมอร์ปี 2015 และมีข่าวลือกับทีมดังมากมาย อย่างเช่นลิเวอร์พูล รวมไปถึงคู่อริร่วมลีกอย่าง ยูเวนตุสด้วย ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกหากเขาจะถูกนักข่าวถามจี้เกี่ยวกับเรื่องนี้
“ผมไม่มีทางย้ายไปที่นั่นหรอก” นายทวารชาวบราซิลเลี่ยนกล่าว “เอเย่นต์ของผมยังไม่ได้บอกอะไร แต่เหนือสิ่งใดผมคงไม่ย้ายไปที่นั้นแน่ เพราะมันคงเป็นการทรยศต่อแฟนวิโอล่า”
วันที่ 3 กรกฏาคม 2015 เนโต้ย้ายไปร่วมทีม ‘ม้าลาย’ แบบไร้ค่าตัว และกลายเป็นมือสองของทีมต่อจาก จานลุยจิ บุฟฟ่อน พร้อมได้ลงเล่นในลีกแค่ 11 นัดจากทั้งหมด 2 ฤดูกาล จากนั้นจึงย้ายไปบาเลนเซีย และ บาร์เซโลน่า ตามลำดับ
มัตต์ ฮุมเมิ่ลส์
ฮุมเมิ่ลส์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลังเห็นเพื่อนร่วมทีมอย่าง มาริโอ เกิตเซ่ บอกลาโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เพื่อย้ายสลับขั้วไปอยู่กับ บาเยิร์น มิวนิค คู่แข่งลุ้นแชมป์ในยุคปัจจุบัน
“ผมไม่เข้าใจการตัดสินของเกิตเซ่จริงๆ และผมก็บอกเขาไปแบบนั้น” กองหลังชาวเยอรมันกล่าวพล่างถอนหายใจ “ทุกคนในดอร์ทมุนด์ตกใจมาก ทุกคนเห็นว่าทีมเรานั้นยอดเยี่ยมแค่ไหน ผมไม่เชื่อหรอกว่ามีเหตุผลในด้านกีฬาอะไรเพื่อย้ายออกทีมไป”
3 ปีต่อมา คำของฮุมเมิ่ลส์กลับมาทิ่มแทงเขาเอง หลังตามรอยเกิตเซ่ และ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ลา ‘เสือเหลือง’ และย้ายทีมไปอยู่กับ ‘เสือใต้’ แทนด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ แต่อีกหลายปีต่อมาทั้งเขาและเกิตเซ่ได้ย้ายกลับมาค้าแข้งในถิ่นซิกนัล อีดูน่า ปาร์ค แล้ว
เธียร์รี่ อองรี
หลังจากที่บาร์เซโลน่าเอาชนะอาร์เซน่อลและคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกไปครองในปี 2006 ความสงสัยเกี่ยวกับอนาคตของ เธียร์รี่ อองรี ค่อยๆผุดขึ้นมาเรื่อยๆ พร้อมกับข่าวลือเรื่องย้ายไปค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นู
“สโมสรมีความทะเยอทะยานแบบเดียวกับที่ผมมี ซึ่งการเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ ทำให้ความมั่นใจของผมไม่ทำลายลงไปเลย” หัวหอกเลือดน้ำหอมกล่าว “ผมอยู่อาร์เซน่อลตลอดไป ผมจะไม่ย้ายไปบาร์เซโลน่าเด็ดขาด”
อองรีทำได้อย่างที่พูดจริงในฤดูกาล 2006-07 ที่ ‘ปืนใหญ่’ ไม่มีแชมป์อะไรติดมือมาเลย ส่งผลให้เขาคว้าโอกาสจาก แฟรงค์ ไรจ์การ์ด เพื่อไปร่วมทีมบาร์ซ่าในเวลาต่อมา และการติดสินใจครั้งนั้นก็ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง หลังคว้าแชมป์ลาลีก้า 2 สมัย และแชมเปี้ยนส์ลีกอีกสมัย ตลอด 3 ฤดูกาลที่ค้าแข้งในสเปน
ฟาเบียน เดลฟ์
ฟอร์มการเล่นของแอสตัน วิลล่า เข้าขั้นย่ำแย่มากๆในฤดูกาล 2014-15 แต่เรื่องดีๆก็ยังมีอยู่ เมื่อ ฟอร์มการเล่นของ ฟาเบียน เดลฟ์ กัปตันทีม ‘สิงห์ผงาด’ ยอดเยี่ยมและโดดเด่นเกินใครในทีม จนได้รับความสนใจจากทีมใหญ่ๆในอังกฤษ ซึ่งตัวเขาเกือบจะได้ย้ายไปเล่นให้แมนชสเตอร์ ซิตี้ในซัมเมอร์นั้น แต่เดลฟ์ก็ออกมาปฏิเสธปิดโอกาสเล่นในทีมของ มานูเอล เปเยกรินี่ อย่างชัดเจน
“ผมรู้ว่าสื่อต่างๆให้ความสนใจเกี่ยวกับอนาคตของผมใน 24 ชั่วโมงสุดท้ายเป็นอย่างมาก และผมจะพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมนะ” แข้งจากยอร์คเชียร์กล่าวผ่านเว็บไซต์ของแอสตัน วิลล่า “ผมจะไม่ย้ายออกจากทีม ผมจะอยู่กับสโมสรแห่งนี้ ผมรอไม่ไหวที่จะเริ่มต้นฤดูกาลใหม่และพร้อมทำหน้าที่กัปตันของทีมอันยอดเยี่ยมแห่งนี้”
6 วันต่อมา กองกลางชาวอังกฤษโผล่ไปชูเสื้อเป็นแข้งใหม่ของ ‘เรือใบสีฟ้า’ แบบหน้าตาเฉย และคงไม่มีใครเสียใจหรือคับแค้นใจไปมากกว่าแฟนบอลวิลล่าอีกแล้วล่ะ