ใช้เวลาแค่ 4 ปี : แบร์ลุสโคนี่กับการพามอนซ่าทะยานสู่เซเรียอา

ใช้เวลาแค่ 4 ปี : แบร์ลุสโคนี่กับการพามอนซ่าทะยานสู่เซเรียอา

ชื่อของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ เป็นที่รู้จักทั้งในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีของอิตาลี และอดีตประธานสโมสรของ เอซี มิลาน ที่บริหารทีมมานานร่วม 31 ปี ซึ่งประสบความสำเร็จมากมาย ก่อนขายทีมในปี 2017

แต่หลังจากนั้นอีกราวๆปีเศษ นักการเมืองวัย 85 ปี ก็หวนคืนสู่วงการฟุตบอลอีกครั้ง เพียงแต่สโมสรที่เขาดูแล กลับไม่ใช่ มิลาน หรือทีมดังในลีกสูงสุดของประเทศ แต่เป็นสโมสรระดับล่างๆที่ไม่เคยเลื่อนชั้นไปเล่นในลีกสูงสุดเลยอย่าง เอซี มอนซ่า 

ที่สำคัญ เขาประกาศกร้าวว่าจะพา ‘เบียงโครอสซี่’ เลื่อนชั้นสู่ เซเรียอาให้จงได้ ซึ่ง ณ เวลานั้น ทีมยังวนเวียนอยู่ในเซเรีย ซี อยู่เลย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี ก็พา มอนซ่า ขึ้นไปเล่นในเซเรียอาได้สำเร็จ หลังชนะเพลย์ออฟเลื่อนเหนือ ปิซ่า ในนัดชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์รวม 4-3 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคมที่ผ่านมา

นี่ถือเป็นเหตุการณ์ครั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรเลยก็ว่าได้ เพียงแต่ 4 ปีที่ผ่านมา ก็ต้องบอกว่าทุกอย่างไม่ได้เดินทางอย่างราบรื่นหรือดูสวยงามเช่นสิ่งที่เห็นในปัจจุบันเช่นกัน…

 

ลงไม่สวยกับมิลาน

Berlusconi explains what Milan are lacking - AC Milan News

บริษัท Fininvest ของ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ได้ทำหน้าที่บริหารงาน เอซี มิลาน มาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1986 พร้อมทั้งดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีของอิตาลี ถึง 3 สมัยด้วยกัน

แต่เส้นทางการเมืองของเขาก็เจอปัญหาหนักมากที่สุดในช่วงที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 ทั้งล้อเลียนคนดังในแวดวงการเมืองด้วยกัน ทั้ง บารัค โอบาม่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผิวดำเพราะอาบแดด หรือ แองเกลาร์ แมร์เคิล นายกฯ ของเยอรมันว่าหญิงก้นใหญ่ รวมไปถึงปัญหาเรื่องผู้หญิงด้วย

นั่นทำให้สื่อในประเทศเล่นข่าวของ เจ้าของทีม ‘รอสโซเนรี่’ ไม่เว้นแต่ละวัน และแรงกดดันก็เพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจากนี่เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ อิตาลี ประสบปัญหาวิกฤติทางการเงินครั้งใหญ่ในช่วงปี 2011 สร้างความไม่พอใจให้ประชาชนจากคุณภาพชีวิตของคนในประเทศตกต่ำลง จนเป็นเหตุให้เขาต้องลาออกในปีเดียวกัน

มากไปกว่านั้น วิกฤติการเงินในอิตาลี ก็ส่งผลกระทบต่อ เอซี มิลาน ที่เขาเป็นเจ้าของโดยตรงเช่นกัน จนต้องขายดาวดังของทีมในตอนนั้นทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, อเล็กซานเดร ปาโต้, ติอาโก้ ซิลวา เพื่อนำเงินเข้ามาพยุงฐานะของสโมสร หลังจากปี 2012

อีกทั้งการถูกศาลตัดสินให้มีความผิดฐานฉ้อโกงภาษีในปี 2013 ทำให้เป็นเรื่องยากที่ เขาจะอัดฉีดเพื่อยกระดับทีมให้กลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีตได้ จนสุดท้ายเมื่อผลงานที่ล้มเหลวและการลงทุนที่สูญเปล่าก็พุ่งสูงถึง 220 ล้านยูโร ทำให้เจ้าตัวเลือกขายทีมให้กับกลุ่มทุนจากจีนด้วยราคา 740 ล้านยูโร (รวมค่าชำระหนี้) ในปี 2017

หลายคนคิดว่าคงไม่มีโอกาสที่ นักการเมืองชาวอิตาเลี่ยน จะกลับคืนสู่วงการลูกหนังอีกแล้ว แต่หลังจากนั้นอีก 1 ปีเศษๆ ‘อิล คาวาลิเอรี่’ ก็กลับมาในเส้นทางนี้อีกครั้ง

 

เริ่มใหม่อีกครั้ง

Berlusconi signs AC Milan midfielder - AC Milan News

แบร์ลุสโลนี่ นำบริษัทของเขาอย่าง Fininvest เจ้าเดิมในการเทคโอเวอร์ทีมเล็กๆในแคว้นลอมบาร์เดียอย่าง มอนซ่า เมื่อปี 2018 พร้อมดึง อาเดรียโน่ กัลเลียนี่ มือขวาของเขาที่ทำงานร่วมกันใน ‘ปีศาจแดงดำ’ มาดำรงตำแหน่งบอร์ดบริหารสโมสร

ทั้งคู่ถือเป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่วงการฟุตบอลเคยมีมา เพราะตลอด 30 ปีที่พวกเขาทำงานใน ซาน ซีโร่ ทีมดังจากเมืองมิลาน กวาดแชมป์ไปถึง 29 รายการ 

โดย กัลเลียนี่ ยังเป็นที่รู้จักในนาม ‘ราชาแห่งการเซ็นฟรี’ เพราะทั้ง คาฟู, ริวัลโด้, เดวิด เบ็คแฮม, อเล็กซ์ และ โรนัลดินโญ่ คือแข้งดังระดับโลกที่คว้ามาร่วมทีมโดยไม่เงินแม้แต่ยูโรเดียว จึงไม่แปลกที่ อดีตนายกฯแดนมักกะโรนี จะดึงเข้ามาร่วมงานกันอีกครั้งใน สตาดิโอ บริอานเตโอ

ซึ่งทันทีที่เข้ามา เขาก็ทำการรีแบรนด์สโมสรใหม่ จาก เอสเอส มอนซ่า เป็น เอซี มอนซ่า อีกด้วย พร้อมตั้งเป้าด้วยการพาทีมขึ้นไปเล่นใน เซเรียอา ให้ได้

อีกทั้ง การที่ฟุตบอลใน มอนซ่า ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก เมื่อเทียบกับวงการ ฟอร์มูล่า วัน ที่เมืองนี้เป็นหนึ่งในสนามแข่งขันของศึก อิตาเลี่ยน กรังด์ปรีซ์ ที่มีขึ้นประจำในทุกๆเดือนกันยายน แถมสโมสรฟุตบอลที่นี่ก็ไม่มีประวัติศาสตร์อะไรนัก นั่นจึงทำให้ นักการเมืองวัยดึก มีความทะเยอทะยานในการทำสิ่งนี้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

โดย มอนซ่า ในตอนนั้นมี คริสเตียน บร็อคคี่ อดีตดาวเตะ เอซี มิลาน ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีม ซึ่งในปีแรกกับผู้บริหารชุดใหญ่ ทีมจบแค่อันดับ 5 ในเซเรียซี ฤดูกาล 2018-19 รวมไปถึงพ่ายบอลถ้วยแก่ วิเตอร์เบเซ่ ด้วย ทำให้บอร์ดตัดสินใจเสริมทัพแบบจัดเต็มในฤดูกาลต่อมา แต่ก็เป็นการเสริมแบบใช้หัวด้วย

อดีตแข้งทีมชาติ อิตาลี กาเบรียล ปาเลตต้า, ยูจินิโอ้ ลามันน่า นายทวารจากเจนัว, จูเซ็ปเป้ เบลุคซี่ กองหลังจากลีดส์ และ นิโคล่า ริโกนี่ กัปตันทีม คิเอโว้ คือทั้งหมดที่ มอนซ่า ดึงมาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัว

ภายใต้การดูแลของ บร็อคคี่, เงินหนุนหลังจาก แบร์ลุสโคนี่ และ ประสบการณ์ซื้อขายที่เหลือล้นของ กัลเลียนี่ ช่วยสร้างชีวิตใหม่ให้กับ มอนซ่า และเลื่อนชั้นกลับมา เซเรียบี ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 19 ปี แม้ในฤดูกาล 2019-20 ลีกถูกตัดจบก่อนกำหนดเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด แต่ก็ไม่มีใครข้องใจจากการพาทีมนำห่าง คาร์ราเรเซ่ ถึง 16 แต้ม

“ไม่มีอะไรต้องปิดบัง เราต้องการพาเมืองนี้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ในลอมบาร์เดีย ขึ้นไปสู่ เซเรียอา ตอนนี้มันอาจจะยากซักหน่อย แต่เราก็พร้อมรับมือกับเงื่อนไขต่างๆที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายได้เช่นกัน” กัลเลียนี่ กล่าวกับ Sky Italia เมื่อปี 2020

“เป้าหมายของเรา คือการสร้างทีมระดับท็อป เราพูดคุยกันเรียบร้อยเกี่ยวกับการซื้อขาย งบประมาณของเราจะใช้เพื่อขึ้นไปเล่นใน เซเรียอา เราไม่ได้บ้านะ แต่เราจะทำในสิ่งที่จำเป็นจริงๆ”

ด้วยคุมกำลังที่มี ทำให้ ‘เบียงโครอสซี่’ ถูกยกให้เป็นตัวเต็งเลื่อนชั้น ตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่เริ่ม และก็มีโอกาสทำแบบนั้นได้จริงๆ เพียงแต่ว่าการฟอร์มแผ่วไม่ชนะใคร 4 นัดช่วงปลายมีนาคมจนถึงกลางเมษายน ทำให้ทีมหล่นจากอันดับ 2 ซึ่งเป็นอันดับที่การันตีเลื่อนชั้นอัตโนมัติ 

ยังดีที่ช่วงท้ายสามารถเร่งเครื่องจนจบอันดับที่ 3 ของ เซเรียบี เพื่อไปลุ้นเลื่อนชั้นต่อในฐานะทีมเพลย์ออฟ แต่ก็ต้องไปเริ่มกันใหม่ในฤดูกาลหน้า เมื่อพ่ายให้กับ ซิตตาเดลล่า 2-3 ในรอบตัดเชือก

 

หนแรกสู่เซเรียอา

Silvio Berlusconi returns to Serie A with Monza after playoff win

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอีกครั้งในฤดูกาล 2021-22 เมื่อ บร็อคคี่ เลือกลาทีมไปคุม เวเนเซีย ทีมน้องใหม่ในเซเรียอา ทำให้ มอนซ่า เลือกดึง โจวานนี่ สตร็อปป้า อดีตแข้ง มิลาน เข้ามาเป็นนายใหญ่คนใหม่แทนในถิ่น สตาดิโอ บริอานเตโอ้

มอนซ่า ก็ยังถูกมองเป็นตัวเต็งไม่ต่างจากปีก่อน แต่ฟอร์มการเล่นของทีมโดยรวมก็ยังมีหลุดให้เห็นไม่ต่างจากเดิมเช่นกัน แต่การที่ทีมอื่นๆที่ลุ้นเลื่อนชั้นทั้ง เครโมเนเซ่, ปิซ่า หรือ เบรสซ่า ทำแต้มสะดุดไปบ้าง ทำให้พวกเขายังมีลุ้นเช่นกัน

โดยเกมตัดสินเกิดขึ้นในวันสุดท้ายของฤดูกาล ในการพบกับ เปรูจา ซึ่งถ้าหากชนะก็จะคว้าอันดับ 2 เพื่อเลื่อนอัตโนมัติแน่นอน เนื่องจากจะมีแต้มเท่ากับ เครโมเนซ่ แต่มีลูกได้เสียดีกว่า ทว่า สตร็อปป้า กลับพาทีมพ่ายให้กับ เปรูจา 0-1 ส่งผลให้ทีมจบอันดับ 4 ในตาราง ต้องไปลุ้นเพลย์ออฟกันอีกครั้ง 

แต่การที่นักเตะส่วนใหญ่ใน มอนซ่า มีประสบการณ์ในการเล่นเพลย์ออฟเมื่อปีก่อน ทำให้พวกเขามีจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งการเอาชนะ เบรสซ่า ในรอบตัดเชือก และนัดชิงที่เอาชนะ ปิซ่า ในช่วงต่อเวลาพิเศษด้วยสกอร์ 4-3

นอกจากนี่จะเป็นการเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดของประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ ‘เบียงโครอสซี่’ นับตังแต่ก่อตั้งสโมสรในปี 1912 แล้ว พวกเขายังทำสถิติเป็นทีมจาก เซเรียบี ที่ไม่เคยเลื่อนชั้นนานที่สุด หลังวนเวียนอยู่ในลีกรองร่วม 40 ฤดูกาลด้วย

 

เป้าหมายต่อไป

Monza promosso in Serie B, Berlusconi: "Ora puntiamo alla Serie A" - Eurosport

อาจมีหลายคนตั้งแง่ว่า มอนซ่า จะกลายเป็นเครื่องมือของ แบร์ลุสโคนี่ ในการกลับไปสู่ยุคทองของเขาอีกหรือไม่จากการเลื่อนชั้นในครั้งนี้ เหมือนที่เขาเคยกุมอำนาจทั้งเรื่องการเมืองและฟุตบอลไปพร้อมๆกันในอิตาลีเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนั่นเป็นคำถามที่เขาต้องเผชิญมาตลอดนับตั้งแต่เข้ามาบริหารทีมเมื่อ 4 ปีก่อน 

คำตอบอาจใช่ก็ได้ แต่สิ่งที่ไม่สามารถตั้งคำถามได้เลย คือความรักที่เขามีให้ต่อฟุตบอล และทุกอย่างที่เกียวข้องกับมัน และเขาสามารถพาทีมขึ้นไปเล่นในเซเรียอาได้ตามสัญญา โดยใช้เวลาแค่ 4 ปีเท่านั้น

การได้เห็น มอนซ่า ดวลกับ เอซี มิลาน ทีมของเขา ย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนเฝ้ารอในฤดูกาลหน้าแน่นอน แต่ว่าคนอย่าง ‘อิล คาวาลิเอรี่’ ไม่ได้มีฝันเฟื่องกับเรื่องความหลัง หรือแม้กระทั่งเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมองไกลไปถึงการไปเล่นฟุตบอลยุโรป หรือแม้กระทั่งแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศด้วย

“เราสู้กันมาอย่างหนักตลอดทั้งฤดูกาล และเราก็มาถึงจุดสำคัญในระดับประวัติศาสตร์กันแล้ว มอนซ่า ไม่เคยเล่นใน เซเรีย อา มาก่อน นับตั้งแต่ปี 1912 (ปีที่สโมสรถูกก่อตั้ง) แต่ตอนนี้เรามาถึงจุดนี้ได้แล้ว มันเป็นเรื่องที่วิเศษสำหรับเรา” นักการเมืองวัย 85 ปี กล่าวหลังเกม

“และสำหรับชาว บริอันซ่า (หมายถึงแฟนบอล มอนซ่า) ตอนนี้เราอยากได้ สคูเด็ตโต้, ได้ไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก และคว้าแชมป์รายการนั้นมาครองให้ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาน่ะชีวิตของผมคุ้นเคยกับการได้รับชัยชนะอยู่แล้ว มารอดูกันดีกว่าว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป”

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายแรกหลังจากนี้คือการพา มอนซ่า อยู่รอดปลอดภัยในเซเรียอาให้ได้ ก่อนคิดถึงเรื่องไปเล่นฟุตบอลยุโรป หรือสคูเด็ตโต้ที่ดูยังไงก็ไกลเกินเอื้อม

ซึ่งถ้าหาก มอนซ่า สามารถรอดตกชั้นได้จริงๆ ก็คงพิสูจน์และยืนยันได้อีกครั้งว่าต่อให้ แบร์ลุสโคนี่ ไม่ใช่นักการเมืองที่ดีเต็มร้อย แต่ความรักในฟุตบอลของเขาก็ยังเต็มเปี่ยมไปทั้งหัวใจ 

และที่สำคัญ เขาพร้อมทุ่มเทเพื่อทีมไม่ต่างจากสมัยที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ เอซี มิลาน เช่นกัน

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

เจ้าป่าคัมแบ็ค : ฟอเรสต์กับการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกรอบ 23 ปี
เจ้าป่าคัมแบ็ค : ฟอเรสต์กับการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกรอบ 23 ปี