หลังความพ่ายแพ้เกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ ครั้งที่ 206 ต่อ ลิเวอร์พูล 0-2 เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ เอฟเวอร์ตัน หล่นลงมารั้งอันดับ 18 โซนตกชั้นเป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
ครั้งล่าสุดที่ ‘ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน’ ตกชั้นต้องย้อนไปในฤดูกาล 1950-51 หรือ 71 ปี ก่อน แต่หากพูดถึงการดิ้นรนหนีตกชั้นในยุคพรีเมียร์ลีก นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาต้องประสบพบเจอสถานการณ์แบบนี้เช่นกัน เมื่อย้อนไปในฤดูกาล 1997-98 หรือเมื่อ 24 ปีก่อน
โดยเฉพาะกับเหตุการณ์ในวันสุดท้ายของฤดูกาลที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด, ความตื่นตระหนก และ ความวิตกกังวล ผสมปนเปกันไปหมด แบบที่เหล่า เอฟเวอร์เนี่ยน ที่ชมเกมในวันนั้นไม่มีทางลืมได้อย่างแน่นอน
แรงกดดันจากแฟนบอล
ณ วันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1998 เอฟเวอร์ตัน เปิด กูดิสัน ปาร์ค ต้อนรับการมาเยือนของ โคเวนทรี่ ซิตี้ โดยรับรู้เป็นอย่างดีว่าหากได้ผลการแข่งขันที่แย่กว่า โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ในพบกับ เชลซี ในวันเดียวกัน พวกเขาจะตกชั้นจากลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี
ผลงานของทีม ‘ท็อฟฟี่ง ในฤดูกาลนั้น ดูร่อแร่ตั้งแต่ช่วงแรกๆ โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน ที่หล่นไปรั้งบ๊วยของตาราง แม้ผลงานจะกระตื้องขึ้นมาบ้างในช่วงปีใหม่ แต่สุดท้ายก็วนสู่วงจรเดิมๆ จนต้องมาลำบากในเกมชี้ชะตานัดสุดท้าย
อลัน ไมเยอร์ส บรรณาธิการช่าวถูมิภาคของ Sky สื่อดังในอังกฤษ ซึ่งอดีตหัวหน้าทีมสื่อของสโมสรในเวลานั้น ได้ย้อนความทรงจำถึงเวลานั้น และเป็นวันที่เขาไม่มีวันลืมเลย
“วันนั้นผมไม่มีวันลืมเลย เมื่อมาถึงสนามก็เต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรเลย เมื่อผมได้ถูกเชิญไปคุยกับ ปีเตอร์ จอห์นสัน ประธานสโมสร และต้องไปเช็กกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนเข้าห้องประชุม เนื่องจากเขาได้รับการคุกคามต่างๆหลายวัน จนที่นำไปสู่เกมจากแฟน ๆ ที่ไม่พอใจ”
ณ ตอนนั้น จอห์นสัน ประธานสโมสร ต้องการทราบถึงแผนงานของทีมสื่อว่าจะรับมืออย่างไรหลังจบการแข่งขัน ไม่ว่าผลการแข่งขันจะออกมาดีหรือแย่ และการที่ให้เขาเผชิญหน้ากับสื่อหลังเกม โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ออกมาก็คงเสี่ยงเกินไป
ในสมัยนั้นการสื่อสารกับแฟนๆ มาจากกล่องข่าวหรือ ClubCall แม้ว่าแฟนบอลจะต้องจ่ายเงิน 50 เพนนี้ต่อนาทีสำหรับการรับข่าวสารจากสโมสร แต่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ ยุคดังกล่าว ซึ่งความคิดของ ไมเยอร์ส ก็คือการบันทึกคำแถลงหลังการแข่งขันของประสโมสรไว้ 2 แบบ ก็คือแบบแรกถ้าเรารอดตกชั้น และอีกแบบหนึ่งในกรณีที่แย่ที่สุดที่จะเกิดขึ้น
“การตกชั้นของสโมสรที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นเรื่องที่น่าเศร้าอย่างมาก” คำพูดนั้นของ จอห์นสัน ยังคงดังก้องในหัวของ ไมเยอร์ส และตอกย้ำถึงช่วงเวลาแห่งความเป็นจริงในตอนนั้น
ความกลัวของท็อฟฟี่
หลังพูดคุยกับประธานสโมสรเสร็จสิ้น ไมเยอร์ส ได้เดินออกมาที่อุโมงค์ผู้เล่น ซึ่งเป็นที่ที่เขาสังเกตุเห็นถึงความกลัวของทุกคน ไล่ตั้งแต่ โฮเวิร์ด เคนเดลล์ ผู้จัดการทีม ไปยันนักเตะ, ทีมงานสนามยันทีมสต๊าฟโค้ช เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขากดดันอย่างมาก
ขณะที่ตัวของ ไมเยอร์ส เอง ก็เต็มไปด้วยความกดดันเช่นกัน ขณะที่กำลังประกาศระบบแผนการเล่นของ โคเวนทรี่ เคนดัลล์ ก็โบกไม้โบกมือเรียกเขาไปคุยด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก
“ดูขนาดของหญ้านี่สิ! ดูสิว่ามันยาวแค่ไหน” เคนดัลล์ กล่าว ก่อนที่ หัวหน้าทีมสื่อสโมสรจะตอบกลับไปด้วยท่าทีที่กดดันว่า “ผมไม่ได้ขับรถตัดหญ้าเวรนั้นนะ โฮเวิร์ด”
นี่เป็นสิ่ง ไมเยอร์ส ไม่เคยพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน ยิ่งตอกย้ำได้ชัดเจนว่าความกดดันกระจายไปทั่วสนามแล้ว โดยเฉพาะกับทุกคนที่เกี่ยวกับสโมสรสีน้ำเงินจาก เมอร์ซี่ย์ไซด์
เมื่อเกมเริ่มขึ้น นักเตะตัวสำรองที่ได้โอกาสเป็นตัวจริงในวันนั้นอย่าง แกเร็ธ โอเรลลี่ ทำประตูให้ เอฟเวอร์ตัน ขึ้นนำไปก่อนในนาทีที่ 7 ของการแข่งขัน ทำให้คลายความกดดันได้ช่วงหนึ่ง ซึ่งในเวลาไล่เรี่ยกัน โบลตัน คู่แข่งหนีตกชั้นอีกทีมก็ยังไม่ได้ผลที่ต้องการใน สแตมฟอร์ด บริดจ์
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน จนกระทั่งช่วงท้ายเกม ดิออน ดับลิน กองหน้าตัวเก่งของทีม ‘สกาย บลูส์’ ขึ้นโขกเน้นๆ ผ่านตัว โธมัส เมห์เร่ เป็นประตูตีเสมอ
ต้องบอกว่านี่จะกลายเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของแฟนบอล ‘ท็อฟฟี่’ ในวันนั้นเลย เพราะแฟนบอลในยุคนั้นไม่สามารถรู้ผลสกอร์ของเกมคู่อื่นๆได้รวดเร็วเช่นในยุคนี้ และจำเป็นต้องรอจนจบเกมหรือหลังจากนั้นอีกช่วงหนึ่งกว่าจะรู้ผลการแข่งขัน
หลังรอดตกชั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อสิ้นเสียงนกหวีด ผลเสมอ 1-1 ที่กูดิสัน ปาร์ค จบพร้อมกับเกมที่ โบลตัน พ่ายให้ เชลซี 2-0 นั่นหมายความ เอฟเวอร์ตัน ทำสำเร็จในการหนีรอดตกชั้น เพราะถึงแม้มี 40 แต้มเท่ากัน แต่ก็มีลูกได้เสียดีกว่า (-15) ‘เดอะ ทร็อตเตอร์ส’ นั่นเอง (-20)
นั่นทำให้แฟนบอลเจ้าถิ่นจะลิงโลดเกินปกติ และทำการบุกเข้ามาในสนาม ซึ่งงานของ ไมเยอร์ส หลังจากนั้นคือทำให้แน่ใจว่านักเตะจะออกไปนอกสนามอย่างปลอดภัย โดยมีตำรวจยืนล้อมอุโมงค์เพื่อป้องกันไม่ให้แฟนบอลบุกมาสร้างความวุ่นวาย
ทว่า เมห์เร่ เป็นนักเตะคนเดียวที่ ไมเยอร์ส จับมาไว้ในกลุ่มไม่ทัน ทำให้เขาต้องแยกออกไปตามหานายทวารชาวนอร์เวย์ แต่ทันใดนั้นเขาก็ปรากฏตัวออกมาจากฝูงชน ใช้ผ้าเช็ดตัวเหวี่ยงไปมา พร้อมถามว่า “เรายังอยู่รอดใช่มั้ย” ก่อนที่ หัวหน้าสื่อสโมสรจะตอบกลับไปว่า “ถ้าไม่รอด นายจะได้ยืนอยู่ตรงนั้นหรอ?”
หลังจากที่ทราบคำตอบ นายด่านของทีมก็หันไปหาแฟนบอล และฉลองร่วมกับพวกเขาอย่างสุดเหวี่ยง
ดอน ฮัทชิสัน กองกลางตัวหลักของทีม ได้ตามหา เคนเดลล์ ในห้องผู้จัดการทีม แต่ไม่มีใครพบ จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในห้องเก็บเสื้อผ้าก็พบว่า เคนดัลล์ กุนซือนั่งร้องไห้อยู่ ก่อนที่ ฮัทชิสัน จะเข้าไปปลอบ และพาเขากลับไปรวมกับทีม
นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ เคนดัลล์ ไม่เคยพบเจอมาก่อน เพราะเขาคือกุนซือประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร กับแชมป์ลีก 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย รวมไปถึง คัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย ในยุค 80 ก่อนต้องมาพาทีมหนีตกชั้นในยุคปลาย 90
นั่นกลายเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน ต้องหนีตกชั้น แม้ในยุค เดวิด มอยส์ ที่คุมทีมจะรั้งอันดับที่ 17 ในฤดูกาล 2003-04 พวกเขาก็ไม่ต้องดิ้นรนหนีตายขนาดนี้
จนกระทั่งเรื่องราวคล้ายๆกัน กลับมาหลอกหลอนเหล่า เอฟเวอร์โตเนี่ยน อีกครั้งในฤดูกาลนี้ เมื่อรั้งอันดับที่ 18 กับอีก 6 เกมที่เหลือในฤดูกาล
โอกาสตกชั้นก็มีมากกว่าเมื่อ 24 ปีก่อน เนื่องจากใน 6 นัดนั้น พวกเขาต้องเจอกับคู่แข่งสุดหินอย่าง เชลซี,เลสเตอร์ และ อาร์เซน่อล ในเกมสุดท้าย
และบางทีในตอนนี้ แฟรงค์ แลพมาร์ด และลูกทีม อาจต้องพึ่งปาฏิหาริย์ยิ่งกว่าฤดูกาล 1997-98 ก็เป็นได้