“เราเชื่อว่ามันจะเป็นการแก้แค้น” คำพูดของ เคิร์ต โอคราคู ประธานสมาคมฟุตบอลกาน่า ที่ออกมาพูดเมื่อพวกเขาต้องโคจรมาพบกับ อุรุกวัยในเกมฟุตบอลโลก 2022 รอบแบ่งกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงความขุ่นเคืองที่มีอยู่ในใจ ซึ่งมีผลมาจากเรื่องราวในอดีต
แน่นอนว่าคู่นี้ไม่ใช่คู่เดียวที่ประเด็นความบาดหมางกันมาก่อน และได้จับสลากเจอกันในเกมรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2022 วันนี้ UFAARENA จะพาไปดูว่ามีชาติไหนบ้างที่มีเรื่องราวไม่ลงรอยกันมาก่อน
เซอร์เบีย VS สวิสเซอร์แลนด์ VS บราซิล
เริ่มกันที่เรื่องเบาๆกันก่อนกับสามชาติที่ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกันมาเลยในอดีต และแทบจะไม่ได้มีความเชื่อมโยงแบบหยั่งรากลึกกันด้วยซ้ำ แต่มันเป็นความบังเอิญอย่างไรก็ไม่ทราบ เมื่อเซอร์เบีย , สวิสเซอร์แลนด และ บราซิล ถูกจับมาอยู่กลุ่มเดียวกันในศึกฟุตบอลโลก 2022 อีกครั้ง
ที่ต้องบอกว่าอีกครั้งเนื่องจากเมื่อ 4 ปีก่อน พวกเขาทั้งสามทีม ก็อยู่กลุ่มเดียวกันมาก่อนในฟุตบอลโลก 2018 ที่ผ่านมา โดยในคราวนั้นมี คอสตาริกา เพิ่มมาอีกทีมด้วย ซึ่งผลก็คือทัพแซมบ้าคว้าแชมป์กลุ่มไปครอง ส่วนเซอร์เบีย ก็โดน สวิตเซอร์แลนด์ เขี่ยตกรอบไปในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่ม
หากนับกันจริงๆแล้ว 3 ทีมนี้ คู่ที่ต้องแก้มือกันก็คือ สวิสและเซอร์เบีย ที่ต้องมาสู้กันในแบบที่เรียกได้ว่า เดจาวูเลยทีเดียว ในขณะที่บราซิลเองก็ประมาททั้งสองทีมนี้ไม่ได้ เนื่องจากขุนพลแดนนาฬิกา ก็มีดีกรีเขี่ยแชมป์ยูโรอย่าง อิตาลี ตกไปเล่นเพลย์ออฟ ส่วน เซอร์เบียเองก็เขี่ย โปรตุเกส ไปเล่นในรอบเพลย์ออฟเช่นเดียวกัน เรียกว่าหนนี้เป็นการแก้มือกันอีกครั้งของสามทีมนี้
เกาหลีใต้ VS โปรตุเกส
แม้ว่าในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 เกาหลีใต้จะถูกตราหน้าว่าโกงจากการตัดสินของผู้ตัดสินจนทำให้มหาอำนาจลูกหนังอย่าง อิตาลี และ สเปน ต้องกลับบ้านไปอย่างเจ็บปวดทั้งกายและใจ แต่ในการเจอกับ ทัพฝอยทองในรอบแบ่งกลุ่ม พวกเขาไม่ได้ถูกตั้งแง่ว่าเล่นตุกติกกับคำตัดสินเลยแม้แต่น้อย
ย้อนไปในเกมดังกล่าวทัพฝอยทองดูดีมีภาษีมากกว่าจากการที่มีสตาร์เต็มที่ นำมาโดยหลุยส์ ฟิโก และในเกมนี้ก็นับเป็นการตัดสินว่าใครจะได้เข้ารอบสุดท้ายไป แต่เริ่มเกมมาได้แค่ 22 นาที เจา ปินโต ดาวเตะจากฝั่งโปรตุเกส ก็มาโดนใบเหลืองสองใบติดกันจนเป็นใบแดง ต่อด้วยในนาทีที่ 66 เบโต ก็เป็นขุนพลฝอยทองอีกรายที่โดนใบแดงไล่ออกจากเกม
สุดท้ายแล้วนักเตะ 9 คนของโปรตุเกสก็ไม่สามารถต้านบรรดานักเตะโสมขาวได้ ก่อนจะเป็น พัค จีซอง ที่กดประตูชัยพาชาติบ้านเกิดเข้ารอบต่อไป พร้อมเขี่ยฝอยทองตกรอบไปแบบช็อคแฟนบอลทั้งโลก แต่ที่พวกเขาไม่โดนครหาว่าเล่นตุกติก เป็นเพราะบรรดานักเตะโปรตุเกส เข้าหนักและสมควรโดนใบแดงจริง คู่นี้เลยไม่ใช้การแก้แค้น แต่เป็นการแก้มือซะมากกว่า
กาน่า VS อุรุกวัย
เรื่องราวของกาน่า และ อุรุกวัย เกิดขึ้นในเกมฟุตบอลโลก 2010 รอบ 8 ทีมสุดท้าย ในวันนั้นยอดทีมจากกาฬทวีปมีนักเตะชั้นนำอยู่เพียบทั้ง เควิน ปริ๊นซ์ บัวเต็ง ,ซุนลีย์ มุนตารี่ และ กียาน อซาโมอาห์ ในขณะเดียวกันทางจอมโหดก็มี ดิเอโก้ ฟอร์ลัน , หลุยซ์ ซัวเรซ และ เอดิสัน คาวานี่ เป็นตัวชูโรงเช่นกัน
ซึ่งในเกมดังกล่าวพวกเขาเสมอกันในเวลา 1-1 จนต้องลากไปเตะต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และเกิดจังหวะดราม่าขึ้นจากในช่วงทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลังของการต่อเวลา กาน่าได้ฟรีคิกโยนเข้าในมายิงดอกแรกโดนสกัดได้ แต่ดอกสองที่กำลังจะเข้าประตูไป ซัวเรซ ได้จงใจใช้มือปัดออกจากเส้น แถม กียานที่เป็นดาวยิงตัวหลักของทัพดาวดำก็ดันมายิงข้ามคานไปอีก
แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องไปตัดสินกันที่การดวลจุดโทษและเป็นอุรุกวัยที่แม่นกว่าเอาชนะไปได้สำเร็จ ส่วนทางกาน่าก็ผูกใจเจ็บมาถึงวันนี้จนเป็นที่มาของคำพูดจากปาก เคิร์ต โอคราคู ประธานสมาคมฟุตบอลกาน่าที่บอกว่า “มันถึงเวลาของการแก้แค้นแล้ว” หลังจากที่ถูกจับมาอยู่กลุ่มเดียวกับ อุรุกวัยในศึกฟุตบอลโลกหนนี้
อังกฤษ VS อเมริกา
คู่ อังกฤษ และ อเมริกัน ทั้งสองชาติจะมีความใกล้เคียงกันในด้านของภาษาและวัฒนธรรมจนดูเหมือนบ้านพี่เมืองน้อง แต่ไอ้ความเหมือนกันไปหมดตรงนี้ก็มีจุดขัดแย้ง เมื่อมีบางจุดที่ไม่เหมือนกัน อย่างการเรียกกีฬาฟุตบอลที่ฝั่งอเมริกันเรียกกันว่า ซ็อคเกอร์ ส่วนคำว่าฟุตบอลนั้นจะใช้เรียก อเมริกันฟุตบอลแทน ในขณะที่ อังกฤษ จะเรียกว่า ฟุตบอล
ความไม่เหมือนกันตรงจุดนั้นก็เป็นประเด็นให้ทางสิงโตคำราม เอามาล้อเลียนฝั่งมะกันเสมอ แม้ว่าในการแข่งขันฟุตบอลจะยังไม่มีประเด็นปัญหาหรือความบาดหมางออกมาให้ได้สะสาง แต่คู่นี้ดูจะเป็นการชนกันของศักดิ์ศรีว่าฟุตบอลของใครคือ ‘Real Football’ อย่างที่ทางฝั่งผู้ดีเคลมนักเคลมหนา
แม้เรื่องราวบาดหมางกันจะยังไม่เคยเกิดขึ้นกันในฟุตบอลชาย แต่ในฟุตบอลหญิงก็เคยมี อเล็กซ์ มอร์แกน ของฝั่งอเมริกัน ฉลองประตูด้วยท่าจิบชา หลังยิงประตูชัยใส่สิงโตสาว ซึ่งถูกโยงไปถึงเรื่องในประวัติศาสตร์อย่าง กฏหมายชา ที่เป็นกฏหมายการค้าแบบที่ผู้ดีเอาเปรียบอเมริกันชน จนเกิดสงครามประกาศอิสรภาพของมะกันตามมาในภายหลัง
อังกฤษ VS สก็อตแลนด์
แม้สก็อตแลนด์ จะยังไม่คอนเฟิร์มผ่านเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งคู่ปรับที่โด่งดังเป็นอันดับต้นๆของโลกฟุตบอล แต่มันไม่ได้เริ่มบาดหมางกันเพราะเรื่องฟุตบอล โดยความขัดแย้งของทั้งสองชาติเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ยุคโบราณช่วงปี ค.ศ. 122 ที่อาณาจักรโรมัน บุกมาแบ่งแยกเกาะบริเตนเป็นสองส่วน ได้แก่ทางเหนือที่พวกเขายึดไม่ได้ และทางใต้ที่พวกเขาครอบครองอยู่
จนทำให้หลังจากนั้นทั้งสองส่วนก็วุ่นวายอยู่กับการรวมๆแยกๆประเทศมาโดยตลอด และด้วยความที่อังกฤษ เป็นชาติที่พัฒนาไปได้ไกลกว่า ทำให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนกันเกิดขึ้น จนกลายเป็นความคับแค้นใจของชาวสก็อตมาจนถึงปัจจุบันวันนี้ที่ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
ตัดภาพมาที่เรื่องของฟุตบอล แม้ขุนพลแดนวิสกี้ จะเป็นรองทัพสิงโตคำรามมาโดยตลอด แต่เมื่อโคจรมาเจอกันทีไร ศึกที่เรียกว่า เกรท บริเตน ดาร์บี้ ก็มีดีกรีความเดือดดาลเสมอ อย่างเหตุการณ์ที่วุ่นวายที่สุดเกิดขึ้นในเกมที่ทั้งคู่พบกันเมื่อปี 1977 ที่สนามเวมบลีย์ แฟนบอลสก็อตแลนด์ที่ได้บุกมาเอาชนะคู่ปรับได้ถึงถิ่น ได้ลงมาฉลองกันในสนาม ลามไปถึงขั้นทำลายข้าวของ โชคยังดีที่ไม่ได้ไปถึงการทำร้ายร่างกายกัน
เหตุการณ์ดีใจสุดเหวี่ยง ขิงกันสุดใจของแฟนบอลคู่นี้มีให้เห็นกันอย่างชินตา แม้ว่าชาติอื่นในเครือจักรภพอย่าง เวลส์ และ ไอร์แลนด์เหนือ จะใช้การเจอกับอังกฤษว่า เกรท บริเตน ดาร์บี้ เหมือนกัน แต่ไม่มีชาติไหนเกลียดสิงโตคำรามเข้าไส้เท่าชนชาวสก็อตอีกแล้ว ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาเรียกฝั่งผู้ดีว่า “Auld Enemy” หรือที่แปลว่าศัตรูเก่าแก่เลยทีเดียว
อเมริกา VS อิหร่าน
ทั้งสองทีมไม่ได้เริ่มบาดหมางกันในเรื่องของเกมฟุตบอลมาก่อน แต่เป็นเรื่องของการเมืองที่มีมาตั้งแต่ช่วงก่อนยุค 80 ซึ่งทางอิหร่านมองว่าอเมริกา เข้ามาแทรกแซงการปกครอง ก่อนที่ภายหลังจะนำมาซึ่งการปฏิวัติอิหร่านให้กลายเป็นรัฐอิสลาม และดำเนินนโยบายต่อต้านชนชาวมะกันอย่างเต็มที่
เหตุการณ์ตึงเครียดมาถึงจุดสูงสุดในการที่มีนักศึกษาบางส่วนเข้ายึดสถานทูตสหรัฐฯ พร้อมจับตัวประกันเป็นชาวอเมริกันถึง 52 รายไว้นานกว่า 444 วันจนสุดท้าย อเมริกาก็ประกาศคว่ำบาตรอิหร่าน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยี่หระอะไร แถมยังประกาศว่า สหรัฐฯเป็นศัตรูทางศาสนาคืนทันที
ตัดภาพมาที่ฟุตบอลทั้งคู่ก็เคยเจอกันมาก่อนแล้วในเกมฟุตบอลโลก 1998 พวกเขาถูกจับมาอยู่สายเดียวกัน ความเดือดของการเมืองก็ตามมาถึงโลกลูกหนัง เมื่อรัฐบาลอิหร่านประกาศห้ามนักเตะของพวกเขาไปจับมือกับนักเตะอเมริกา ร้อนถึง FIFA ต้องขอให้แข้งแดนลุงแซมเป็นฝ่ายเดินไปจับมือแทน ซึ่งเรื่องนี้ก็จบลงด้วยความสวยงามเมื่ออเมริกายอมทำตามที่ FIFA ร้องขอส่วนขุนพลจากตะวันออกกลางก็มอบดอกกุหลาบให้คืน พร้อมถ่ายรูปร่วมกัน
อย่างไรก็ตามหลังเกมจบด้วยชัยชนะของ อิหร่าน ด้วยสกอร์ 2-1 แถมเป็นชัยชนะครั้งแรกของพวกเขาบนเวทีฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ในขณะเดียวกันบรรดาแฟนบอลของทั้งสองฝ่ายก็แสดงออกถึงความไม่เป็นมิตรกันอย่างเต็มเหนี่ยวบนอัฒจันทร์ ต้องรอดูว่าการโคจรมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 24 ปี ความตึงเครียดของทั้งคู่ในโลกฟุตบอลจะคลายลงบ้างหรือไม่