ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ไปไม่ถึงฝั่งฝันอีกครั้งในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เมื่อโดน เรอัล มาดริด พลิกแซง 3-1 เขี่ยตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์รวม 3-2 เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา แต่เรื่องนี้คงเล็กน้อยหากเทียบกับหายนะที่ทีมเผชิญเมื่อ 14 ปีก่อน
สโมสรเมืองหลวงแดนน้ำหอม คือยอดทีมของลีกเอิงในปัจจุบัน นับตั้งแต่กลุ่มทุนจาก กาตาร์ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรในปี 2011 ทว่าในฤดูกาล 2007-08 พวกเขาเกือบหล่นไปเล่นในลีกรองของประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
แฟนบอล 800 คนของ เปแอสเช เดินทางไป โซโชซ์ ด้วยเกมสุดตึงเครียด ต้องหยุดร้องเพลงอยู่พักใหญ่ในคืนวันที่ 17 เดือนพฤษภาคม ปี 2008
นั่นคือเกมสุดท้ายของพวกเขาในฤดูกาลนั้น พร้อมกับโดน โซโชซ์ ขึ้นนำไปจากลูกโหม่งของ กูราน เอ็นดาว ช่วง 15 นาทีแรกของเกม ส่งผลให้ทีมจากปารีส สุ่มเสี่ยงต่อการตกชั้นอย่างมาก
ลูกทีมของ พอล เลอ แกน เริ่มต้นคืนนั้นด้วยอันดับที่ 16 แต่พวกเขาหล่นมาอันดับที่ 17 เนื่องจาก ตูลูส คู่แข่งแย่งหนีตกชั้น เอาชนะ วาล็องเซียนส์ ได้ มากไปกว่านั้น โอกาสตกชั้นมีมากขึ้นไปอีก ถ้า ล็องส์ อันดับที่ 18 คว้าชัยเหนือ บอร์กโดซ์ ได้
บรรยากาศในสนาม สต๊าด ออกุสเต้-โบนาล ดูสิ้นหวัง นักข่าวจากสำนักต่างๆ เฝ้ารอทำสกุ๊ปการล่วงหล่นครั้งใหญ่ของ เปแอสเช อย่างใจจดใจจ่อ
จริงๆ ทีมเมืองหลวงแดนน้ำหอม ทำผลงานย่ำแย่ตั้งแต่ออกสตาร์ทยันฉากสุดท้ายของฤดูกาล แต่โชคชะตาของพวกเขาพลิกผันในนาทีสุดท้าย แต่ตลอดซีซั่นนั้น ทีมจากปารีสดูขาดความมั่นใจ, ความสามัคคี และ ความเชื่อมั่นในตัวเอง จนคว้าชัยได้เพียง 9 นัดเท่านั้น
ทว่าพวกเขาเอาตัวรอดจากช่วงเวลาเลวร้ายนี้ได้อย่างไร UFA ARENA จะพาไปหาคำตอบในบทความชิ้นนี้กัน
หายนะตั้งแต่วันแรก
ในฤดูกาล 2006-07 เปแอสเช จบอันดับที่ 15 ในลีกเอิง โดยช่วงท้ายเดือนมีนาคม พวกเขาเกือบหล่นไปอยู่ท้ายตาราง รั้งอันดับที่ 19 ในอีก 9 เกมที่เหลือ อย่างไรก็ตาม การคว้าชัยได้ถึง 6 นัด กับเสมออีก 2 เกม ทำให้พวกเขาอยู่รอดต่อไปในลีกสูงสุด
นี่ถือเป็นบทเรียนสำหรับทีมเบอร์ต้นๆในลีกฝรั่งเศสว่าสามารถเรียนรู้อะไรจากความผิดพลาดในฤดูกาลดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นทีมมีดาวรุ่งอย่าง ยูสซุส มูลุมบู, ดาวิด เอ็นก็อก รวมไปถึงแข้งดังอย่าง มิคาเอล ลองดรูว์, มาริโอ เยเปส, เจอโรม โรเตน และ เปาเลต้า (ดาวซัลโวลีกฤดูกาลก่อน 15 ประตู)
ดังนั้นเรื่องดีๆจึงเข้ามาในซัมเมอร์ปี 2007 ทีมเสริมแกร่งด้วยการ ซูมาน่า กามาร่า กองหลังจาก แซงต์ เอเตียน, เปกีย์ ลูยินดูล่า หอกของ มาร์กเซย และ นั่นทำให้ อล็อง เคย์แซค ประธานสโมสรรู้สึกถึงแนวโน้มที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม
“ผมเชื่อใจ พอล เลอ แกน ในการหาทางแก้ปัญหาที่จะทำให้เราคว้าชัยชนะได้ ” ประธานสโมสร กล่าวช่วงก่อนเปิดฤดูกาลถึง เลอ แกน ที่ย้ายมาคุมทีมตั้งเดือนมกราคมปี 2007
“เราไม่ลืมว่าต้องเผชิญฤดูกาลที่ยากลำบากในปีที่ผ่านมา ซึ่งทิ้งบาดแผลไว้อยู่บ้าง แต่เรามีความมุ่งมั่นและ ผมมั่นใจว่าเราจะมีฤดูกาลที่ดีกว่าเดิม ถึงแม้เราจะไม่บอกว่าเราจะคว้าแชมป์ลีกได้ ผมก็มั่นใจอย่างนั้น”
เจ้าของทีมก็เชื่อแบบนั้นเช่นกัน เปแอสเช ที่มี กาเนล ปลุส (Canal+) เครือทีวีดังแดนน้ำหอมเป็นเจ้าของถูกขายต่อให้ 2 บริษัทการลงทุน โคโลนี่ แคปิตอล, บัตเลอร์ แคปิตอล พาร์ทเนอร์ และ มอร์แกน สแตนลี่ย์ ด้วยราคา 41 ล้านยูโรปี 2006 และกลุ่มเจ้าของทีมใหม่ก็มั่นใจว่าจะสร้างสิ่งที่น่าสนใจในถิ่น ปาร์ค เดส์ แพรงส์ ได้ หลังจากค่อยชำระหนี้ของสโมสรอย่างช้าๆ
พวกเขาอาจไม่ได้ยอมรับแบบเปิดเผยนัก แต่ภายในของสโมสรมีความเชื่อว่า ทีมสามารถก้าวเป็นผู้ท้าชิงได้ในฤดูกาล 2007-08 หลัง 2 ปีก่อน เลอ แกน คว้าแชมป์ลีก 3 ปีติดกับ โอลิมปิก ลียง และในฐานะนักเตะเก่าของ เปแอสเช เขาเป็นกัปตันทีมนานถึง 7 ปี ที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ 7 รายการในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม เลอ แกน และผู้เล่นของเขา กลับขยายเวลาความเจ็บปวดของ ทีมจากปารีส ไปอีกฤดูกาล และคราวนี้มันแย่ลงกว่าเดิมอีก
หายนะเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วันแรกของฤดูกาล พวกเขาไม่สามารถคว้าชัยนัดแรกได้เลย จนกระทั่งเกมนัดที่ 6 พบ เลอ มันส์ หลังจากผ่านไป 12 นัด ทีมคว้าชัยเพียงนัดเดียว รั้งอันดับที่ 16 ในตาราง โดยช่วงท้ายเดือนพฤศจิกายน ทีมหล่นไปอยู่ 3 อันดับสุดท้าย หลังพ่าย นีซ
นี่เป็นวิกฤตอย่างแท้จริง ถือเป็นฝันร้ายสุดๆสำหรับยักษ์ใหญ่ที่ตั้งเป้ากลับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ให้ได้ ณ จุดนี้ งบประมาณประจำปีของทีมมีถึง 70 ล้านยูโร มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในฝรั่งเศส รองจาก ลียง (145 ล้านยูโร) และ มาร์กเซย (97 ล้านยูโร) เพียงแค่เรื่องนี้ก็แสดงถึงความยุ่งเหยิงได้พอสมควรแล้ว
ปัญหาที่มาจากหลายทิศ
เลอ แกน ยังไม่สามารถหาคำตอบกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ และ ปารีสฯ ก็ใช้เวลา 5 สัปดาห์ในโซนตกชั้นจากผลงานที่เกิดขึ้น
การจัดการของอดีตกองหลังชาวฝรังเศส ถูกตั้งคำถาม การฝึกสอนแบบแปลกๆทำให้เขาสูญเสียความเคารพจากสื่อ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เลอ แกน ขาดความสามารถที่ต้องใช้ในการดึงศึกยภาพผู้เล่น พวกเขากลับเอื่อยเฉื่อย ไม่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างกุนซือกับนักเตะ เขาอาจไม่เสียการควบคุมในห้องแต่งตัว แต่นักเตะส่วนใหญ่ก็ไม่สนใจการปรากฏตัวของเขาเช่นกัน ทำให้เขาลำบากในการสื่อสารข้อความบางอย่างถึงผู้เล่น
“เลอ แกน ไม่ใช่โค้ชที่ใช่สำหรับงานนี้” หนึ่งในแข้งเปแอสเชผู้ไม่ขอเปิดเผยตัวกล่าว “เขามีทีมที่ดี แต่เขาไม่ดีพอ มันรู้สึกว่าเขามีรถพอร์ช แต่กลับขับให้เป็นรถเฟียต ผมมั่นใจว่ากับผู้จัดการทีมที่ดีกว่านี้ เราคงมีลุ้นจบ 5 อันดับแรกแล้ว มันเป็นฤดูกาลที่ยาวนานและเจ็บปวด เมื่อไม่มีอะไรเป็นใจให้เราเลย”
ง่ายมากที่จะ เลอ แกน จะโดนกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุในเรื่องนี้ เขาคว้า กีย์ ลาโคม ช่วงครึ่งทางฤดูกาล 2006-07 หลังจากกุนซือเลือดน้ำหอม เผชิญความลำบากกับ 10 เดือนในสก็อตแลนด์ เขาได้รับมอบหมายให้พา ปารีส อยู่รอด และเขาก็ทำเช่นนั้น ด้วยการจบอันดับที่ 15 แม้จะไม่มีการปฏิวัตทีมยกชุด แต่อย่างน้อย กุนซือคนใหม่ก็ช่วยให้ทีมปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่ง
แต่ทิศทางที่ดีก็อยู่ได้ไม่นานนัก แม้จะทำผลงานเด่นช่วยท้ายฤดูกาลนั้น เลอ แกน กลับกลายเป็นอีกคน เขารับมือความกดดันจากสื่อและแฟนๆได้ไม่ดีนัก บ่อยครั้งที่เขาตกเป็นเป้าหมายของ แฟนบอลอุตลตร้าแปเแอสเช ที่ต้องการให้สโมสรไล่เขาออกไป หรือไม่ก็ให้ เลอ แกน ลาออกด้วยตัวเอง
แต่นั่นก็ไม่ความผิดของเขาเพียงคนเดียว เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นเรื่องยากที่ทีมจะตกต่ำขนาดนี้ ซึ่งนักเตะของทีมในชุดนั้นก็ต้องแบกรับความผิดนี้เช่นกัน ทั้งๆที่มีชื่อเสียงไม่น้อย รวมถึงประสบการณ์ในทีมชาติก็มากมาย แต่สปิริตของทีมกลับไม่เคยยอดเยี่ยมอย่างที่ควรจะเป็น และเป็นแบบนั้นอยู่พักใหญ่ เมื่อบวกกับฟอร์มที่ย่ำแย่ ในที่สุด สโมสรปารีเซียงก็ถูกทำลายโดยนักเตะที่คิดถึงเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าทีมและสโมสรฟุตบอล
ตำนานดาวยิงชาวโปรตุเกสอย่าง เปาเลต้า อาจไม่ใช่นักเตะประเภทนั้น แต่ฤดูกาล 2007-08 เป็นปีที่เขาทำประตูได้แย่ที่สุด (8 ลูกในลีก) กับตลอด 8 ปีในการค้าแข้งที่ฝรั่งเศส ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปหลังจบฤดูกาลนั้น ส่วนเกมรับที่ย่ำแย่ไม่แพ้กัน หลังเกมคลีนชีทได้เพียง 5 นัดจาก 19 เกมลีกก่อนช่วงพักเบรกหนีหนาว
กลับกันกับในลีก ผลงานในบอลถ้วย เลอ แกน ดันทำได้ดีกว่ามากในฤดูกาลนั้น พวกเขาคว้าแชมป์ เฟร้นช์ ลีก คัพ หลังคว้าชัยเหนือ เลนส์ 2-1 รวมถึงได้เข้าชิง เฟรนช์ คัพ อีกรายการ น่าเสียดายที่พ่ายแก้ ลียง ไปแบบฉิวเฉียด
อย่างไรก็ตาม แชมป์ลีกคัพ ถูกลดคุณค่าด้วยแฟนบอลของเปแอสเชเอง เมื่อกลุ่มอุลตร้าได้ทำป้ายดูถูกชาวเลนส์ ซึ่งจุดประกายความเจ็บแค้นให้กับ โบโลญ บอยส์ กลุ่มอุลตร้าของ เลนส์ ที่ขึ้นว่าเป็นฮูลิแกนที่เก่าแก่ที่สุดในฝรั่งเศส ก่อนจะมีการเรียกร้องให้แข่งขันใหม่
แม้มันจะไม่เกิดขึ้น แต่ สโมสรจากปารีส ก็ถูกปรับและโดนแบนจากการแข่งขันนี้ในฤดูกาลหน้า ก่อนจะถูกยกเลิกจาการอุทรณ์ในเวลาต่อมา
แม้จะได้รับชัยชนะจากการอุทธรณ์ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ทำให้ภาพลักษณ์ของสโมสรเสื่อมเสียที่แสดงให้เห็นถึงด้านลบของแฟนบอลอีกครั้ง และมันก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายด้วย พวกเขา เจอปัญหาที่ได้รับจากกลุ่มอุลตร้าหลายครั้งในฤดูกาลก่อนๆ ทั้งการเหยียดผิว และใช้ความรุนแรงในหมู่แฟนบอล
ปัญหาของ เปแอสเช ในฤดูกาล 2007-08 ไม่ได้จำกัดแค่ฟอร์มการเล่นในสนามเท่านั้น เนื่องจากกลุ่มอุลตร้าพร้อมจะก่อความรุนแรง หากพวกเขารับไม่ได้กับผลงานที่ย่ำแย่ในทีม
กลุ่มอุลตร้า เริ่มแสดงความไม่พอใจในช่วง 2-3 เดือนของฤดูกาล โดยการประท้วงที่สนามฝึกซ้อมของทีม พร้อมกับมีการข่มขู่ผู้เล่นด้วยวาจา และบางครั้งก็มีการใช้กำลังกันด้วย
ตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป พวกเขาคว่ำบาตร 15 นาทีแรกของเกมเหย้าแต่ละเกม โดยพวกเขาปฏิเสธที่จะร้องเพลงหรือสนับสนุนทีม แม้จะให้บรรยากาศและความรู้สึกที่แปลกประหลาดไปซักหน่อยก็ตาม
ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น
ปารีสฯ พ่าย ก็อง 3-0 ในเดือนเมษายน เป็นนัดที่ 3 ติดต่อกันที่พวกเขาพ่ายแพ้ และเป็นฟางเส้นสุดท้ายของกลุ่มอุลตร้า ด้วยการส่งข้อความบนกำแพงสนามซ้อมว่า “คุณทำทีมร่วงตกชั้นเมื่อไหร่ เราจะยิงคุณให้ร่วงเหมือนกัน”
ในวันเดียวกัน รถสปอร์ตของ ซิลแวง อาร์มันด์ ถูกทำลาย ขณะที่กลุ่มอันธพาล โยนเหล็กกั้น ขว้างหินและขวดไปยังรถผู้เล่นคนอื่นๆ พร้อมกับด่าทอทุกคนในระแวกนั้น นี่มันคือความโกลาหลชัดๆ
“เรารู้สึกว่าผู้เล่นไม่มีสมาธิและไม่ทุ่มเทมากพอ” สเตฟาน แฟนบอลเปแอสเชที่อยู่ในกลุ่มอุลตร้าเป็นเวลานาน 20 ปี กล่าวกับ โฟร์โฟร์ทู “มันดูเหมือนว่าพวกเขาไม่แคร์ แต่สำหรับเรา เปแอสเชคือทุกสิ่ง เป็นชีวิตของเรา เรารู้สึกว่าเราต้องช่วยสโมสรเพราะมันกำลังจะแย่และไปในเส้นทางที่ผิด สิ่งเดียวที่เราทำคือการทำให้ผู้เล่นตื่นขึ้น และช่วยให้เกมของพวกเขามีความดุดัน และทำให้พวกเขาอยู่ภายใต้ความกดดัน สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการไปเยือนสนามซ้อมที่นั่น”
แต่แทนที่สิ่งเหล่านั้นจะช่วยทำให้ผู้เล่นมีฟอร์มที่ดีขึ้น การกระทำของ กลุ่มอุลตร้า กลับส่งผลตรงกันข้ามต่อทีมรักที่ฟอร์มตกอย่างหนัก นักเตะหลายคนต่างหวาดกลัวและสงสัยกับตัวพวกเขาเองมากขึ้น
ขณะที่ อล็อง เคย์แซค ประธานสโมสร แม้จะรักทีมของเขามากแค่ไหน แต่ก็ปิดหูปิดตาทำเป็นไม่รู้อะไร บริหารดูแลทีมได้นุ่มนิ่มหย่อนยานเกินไป และทำให้เจ้าของสโมสรหมดความอดนกับเขา แม้จะว่ารอดจาการโดนปลดในฤดูกาลก่อน แต่หลังเกมพ่าย ก็อง ก็ถึงเวลาแยกทางของเขากับสโมสรเสียที ซึ่ง เคย์แซคถูกแทนที่โดย ซิมง ทาฮาร์ เพื่อนของเขาที่เชียร์ทีมจาก ปารีส เหมือกัน
ระหว่างเกมที่พ่าย ก็อง ไปวันที่ 19 เมษายน ไปจนถึง เกมชี้ชะตากับ โซโชซ์ ในวันที่ 17 พฤษภาคม เปแอสเช ต้องเจอกับความกดดันชวนอึดอัดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร การเดิมพันสูงมากกับ 4 เกมสุดท้ายในลีก ทีมของ เลอ แกน รั้ง 3 อันดับสุดท้ายในตาราง แต่พวกเขาก็เปิดหัวเกมโค้งสุดท้ายได้ดีเหลือเชื่อกับชัยชนะเหนือ อ่องเช่ร์ 3-1
อย่างไรก็ตามในอีก 2 เกมต่อมา พวกเขาเสมอกับ ตูลูส และ แซงต์ เอเตียนน์ 2 นัดติด แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตกชั้น และต้องฝากความหวังไว้กับเกมสุดท้ายกับเกมเยือน โซโชซ์
“เราไม่เคยคิดเลยว่ามันจะหล่นลงมาในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล” สเตเฟาน กล่าว “แฟนบอลบางคนคิดว่าอาจเป็นเรื่องดีสำหรับสโมสรถ้าต้องตกชั้นจริงๆ เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่ คนอื่นๆล้วนระบายความโกรธที่นักเตะ และทีมก็ตกต่ำลง พวกเขาสร้างนรกนี้ขึ้นมาซึ่งแย่กว่าตอนที่เกิดขึ้นหลังเกมพบ ก็อง เสียอีก แต่ผมคิดว่าลึกๆแล้ว เราทั้งหมดอยากให้ทีมอยู่รอดต่อไป”
“เราถูกอนุญาตให้เข้าไปชมเกมที่ โซโชซ์ แค่ 800 คน ทั้งที่สามารถจุได้ 4,000 หรือ 5,000 คน ในฤดูกาลที่โหดร้าย เราต้องการจบแบบมีความสุข ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะแย่ขนาดนั้น ผมคิดว่าเราจะจบ 3 อันดับบน แทนที่จะจบ 3 อันดับ”
คืนสำคัญที่โซโชซ์
ในประวัติศาสตร์สโมสร คุณจะจดจำช่วงเวลาที่คว้าแชมป์ได้เป็นเรื่องธรรมดา, ช่วงที่เข้าชิงบอลถ้วย, การคัมแบ็คสุดเหลือเชื่อ, ประตูสุดสวย, ชัยชนะเกมดาร์บี้ และบางครั้งคุณก็จดจำเกมที่ช่วยชีวิตทีมรุกของคุณได้เช่นกัน
“คุณไม่มีทางลืมเกมสุดท้ายที่พบกับ โซโชซ์ เพื่ออยู่รอดในลีกเอิงได้แน่ๆ” มามาดู ซาโก้ อดีตลูกหม้อของปารีสฯ ผู้ลงเล่นในเกมนั้นด้วยวัย 17 ปี อธิบายเรื่องนี้กับ โฟร์โฟร์ทู
“เราเล่นเกมด้วยชีวิตของเราในวันนั้น ความกดดันนั้นรุนแรง แต่ก็ตลกดีที่ผมไม่รู้สึกวิตกกังวลมากก่อนเริ่มการแข่งขัน ผมยังจำเสียงนกหวีดเป่าหมดเวลาได้ รู้สึกเหมือนเราเพิ่งได้แชมป์ ผู้คนต่างน้ำตาซึม”
“คุณเติบโตกับสโมสร และในฐานะผู้เล่นในช่วงเวลาเหล่านั้น เราตระหนักถึงความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่เรามี เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะอยู่ต่อไป…และเราก็ทำมันสำเร็จ”
ในคืนนั้นที่ โซโชซ์ อมาร่า ดีอาเน่ ยิงประตูชัยในนาทีที่ 83 ช่วยให้ เปแอสเช เอาชนะไป 2-1 และทำให้พวกเขาอยู่รอดต่อไปในลีกสูงสุดฤดูกาลหน้า แฟนบอลทีมเยือน 800 คนที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ผิดหวัง ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ณ ตอนนี้ สิ่งเหล่านั้นได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยความปิติยินดี
ก่อนหน้านี้ ดีอาเน่ ยิง 2 ประตูสำคัญในเกมเอาชนะ อองเช่ร์ มาแล้ว และเขาก็สวมบทฮีโร่ในเกมนี้อีกครั้ง อีกทั้งนี้เป็นเกมสุดดราม่านัดสุดท้ายของ เปาเลต้า กัปตันที่ลงเล่นให้สโมสรนัดที่ 211 และนัดสุดท้ายกับทีม ยืนร้องไห้ด้วยความยินดีภายใต้เสื้อแข่ง พร้อมทำสถิติดาวซัลโวสูงสุดที่ 110 ประตู (ก่อนจะถูกทำลายโดย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ เอดินสัน คาวานี่ ในหลายปีต่อมา)
เลอ แกน ช่วยให้ เปแอสเช อยู่รอดต่อไปเป็นครั้งที่ 2 เขาอยู่กับทีมต่อไปอีกฤดูกาล ซึ่งทำผลงานได้ดีขึ้นมากช่วยให้จบอันดับ 6 ในปี 2008-09 โดยพลาดคว้าตั๋วบอลยุโรปด้วยประตูได้เสียเท่านั้น ทว่าต่อมา เส้นทางสายกุนซือของเขาก็ไปไม่สวยเท่าไหร่ หลังพา แคเมอรูน พ่ายทั้ง 3 เกมในฟุตบบอลโลกปี 2010 รวมถึงล้มเหลวกับ โอมาน, บูร์ซาสปอร์ ในตุรกี ก่อนจะกลับมาคุมทีม เลอ อาร์ฟ สโมสรลีกรองฝรั่งเศสในปัจจุบัน
แต่ เลอ แกน ก็เป็นส่วนเล็กในภาพรวมที่ยิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ของ เปแอสเช ไปตลอดกาล หากพวกเขาตกชั้นไปเล่นในลีก เดอซ์ พวกเขาก็คงไม่กลายเป็นสโมสรมหาศาลอำนาจที่ได้ซื้อโดยราชวงค์กาตาร์ในอีก 3 ปีต่อมา
หากเอาตัวรอดไม่ได้ในปี 2008 พวกเขาก็คงไม่ครองอำนาจลูกหนังในแดนน้ำหอมตั้งแต่ปี 2008 และถ้าหากไร้ประตู 2 ลูกของ ดีอาเน่ ในวันนั้น เราคงไม่มีทางได้เห็น ซลาตัน, เดวิด เบ็คแฮม, เนย์มาร หรือ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ มาค้าแข้งในถิ่น ปาร์ค เดส์ แพรงส์ แห่งนี้แน่นอน