ย้อนกลับไปเป็นเวลาเกือบ 20 ปี นับตั้งแต่ โรมัน อับราโมวิช ตัดสินสินใจเข้ามาเทคโอเวอร์ เชลซี เมื่อปี 2003 หลังจากนั้นสโมสรมีการเปลี่ยนแปลงไปมากมาย และถูกยกระดับกลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของ พรีเมียร์ลีก อักฤษ แบบเต็มตัว
อย่างไรก็ตามสถานการณ์สงครามที่กลังเกิดขึ้นระหว่าง รัสเซีย และ ยูเครน ส่งผลให้มหาเศรษฐีจากแดนหมีขาว ตัดสินใจครั้งสำคัญ ประกาศขายสโมสรที่เขารักและดูแลมานานกว่าสองทศวรรษ
เพราะฉะนั้น UFAARENA จะขอพาไปย้อนรอยช่วงเวลาตลอด 20 ปีที่ผ่านมา นัตั้งแต่ โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสร เชลซี จนถึงทุกวันนี้ มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ทุ่มเงินซื้อนักเตะ 2.1 พันล้านปอนด์
นับตั้งแต่ โรมัน อับราโมวิช เทคโอเวอร์ เชลซี เมื่อปี 2003 จนถึงปัจจุบันเขาทุ่มเงินดึงผู้เล่นเข้ามาค้าแข้งยังถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ รวมแล้วกว่า 2.1 พันล้านปอนด์
หลายครั้งที่ “เสี่ยหมี” ต้องใช้เงินของเขาไล่ล่านักเตะที่ดีที่สุดเข้ามาอยู่กับ “สิงห์บลูส์” เพื่อความสำเร็จของสโมสร โดยนักเตะที่แพงที่สุดคือ โรเมลู ลูกา ซึ่งมีค่าตัว 98 ล้านปอนด์ สำหรับการย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน มาอยู่กับยอดทีมแห่งกรุงลอนดอน เมื่อช่วงหน้าร้อนปี 2021 ไคฮาแวทซ์ คือคนที่มีค่าตัวรองลงมา 89 ล้านปอนด์ จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
ไม่หมดแค่นั้น พวกเขายังคว้า เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 77 ล้านปอนด์ ซึ่งนั่นส่งผลให้มือกาวชาวสเปน กลายเป็นนายทวารที่แพงที่สุดของโลกมาจนถึงตอนนี้ ส่วนอีกสองผู้เล่นอย่าง อัลบาโร่ โมราต้า และ คริสเตียน พูลิซิช คือแข้งที่มีค่าตัวเกิน 70 ล้านปอนด์ เช่นกัน
เห็นได้ชัดว่า อับราโมวิช ใช้เงินไปจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับทีมของเขาตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา และดูเหมือนมันจะคุ้มค่าไม่น้อย หากเทียบกับความสำเร็จที่เกิดขึ้นตามมา
ถึงกระนั้น มีเหล่าซุปเปอร์สตาร์จำนวนไม่น้อยเช่นกัน ที่พวกเขาทุ่มเงินซื้อเข้ามาร่วมทีม แต่กลับทำผลงานไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ไม่ว่าจะเป็น เฟร์นานโด ตอร์เรส 50 ล้านปอนด์ จาก ลิเวอร์พูล, อังเดร เชฟเชนโก้ 30.8 ล้านปอนด์ จาก เอซี มิลาน หรือแม้กระทั่ง ฌอน ไร้ท์-ฟิลลิปส์ จาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ค่าตัว 24 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2005
ฟันกำไรจากการขายนักเตะ 1.16 พันล้านปอนด์
แม้ใช้เงินจำนวนมากในการซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีม ทว่า โรมัน อับราโมวิช ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเขาจะขาดทุน เพราะ เชลซี ถือเป็นทีมที่ทำกำไรจากการขายนักเตะระดับบิ๊กเนมส์ออกจากทีมได้ไม่น้อยเช่นกัน
เอเด็น อาซาร์ คือนักเตะแพงสุดที่ถูกขายออกจาก เดอะ บริดจ์ ไปอยู่กับ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 98 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2019 ขณะที่ อัลบาโร่ โมราต้า ถูกขายให้กับ แอตเลติโก้ มาดริด ด้วยค่าตัว 58 ล้านปอนด์ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน และค่าตัวของทั้งสองคนถูกนำมาใช้เสริมทัพในซีซั่น 2020/2021 ซึ่งท้ายที่สุด “สิงโตน้ำเงินคราม” จบฤดูกาลดังกล่าวด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
อีกหนึ่งการขายที่ทำกำไรให้กับสโมสรพอสมควร คือการปล่อย ดิเอโก้ คอสต้า กลับไปอยู่กับ แอตเลติโก้ มาดริด ด้วยค่าตัว 53 ล้านปอนด์ รวมถึงการขาย ดาวิด ลุยซ์ ให้กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 50 ล้านปอนด์
รวมแล้วตลอดระยะเวลากว่าสองทศวรรษที่มหามหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เป็นเจ้าของ เชลซี เขาทำกำไรจากการขายนักเตะออกจากทีมเป็นจำนวนเงินสูงถึง 1.6 พันล้านปอนด์
เปลี่ยนโค้ช 13 คน
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจ คือจำนวนผู้จัดการทีม เชลซี นับตั้งแต่นักธุรกิจจากแดนหมีขาว เข้ามาเป็นเจ้าของสโมสรเมื่อปี 2003 และมีการใช้งานกุนซือไปแล้วกว่า 15 คน
ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอน พยายามหาเฮดโค้ชที่ดีที่สุดเข้ามาอยู่กับทีมตลอดหลายปีที่ผ่านมา หลายคนพาทีมประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่และกลายเป็นที่จดจำของแฟนบอล ขณะเดียวกันมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ต้องเอาชื่อของตัวเองมาทิ้งในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์
คาดิโอ รานิเอรี่, โช่เซ่ มูรินโญ่, อัฟราม แกรนท์, หลุยส์ ฟิลิปเป้ สโคลารี่ และ กุส ฮิดดิงค์ คือเหล่ากุนซือที่เข้ามาทำงานกับ “เดอะ บลูส์” ก่อนปี 2010 ซึ่งเทรนเนอร์ชาวโปรตุเกส “เดอะ สเปเชียลวัน” อย่าง มูรินโญ่ ถือเป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากสุด ด้วยการพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2 สมัย, เอฟเอ คัพ 1 สมัย และ ลีก คัพ 2 สมัย
นอกจากนั้น อับราโมวิช ยังเคยร่วมงานกับเทรนเนอร์มากฝีมือย่าง คาร์โล อันเชล็อตติ, อังเดร วิลลาส โบอาส, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ซึ่งพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซีซั่น 2011/2012, ราฟา เบนิเตซ, อันโตนิโอ คอนเต้, เมาริซิโอ ซาร์รี่ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด
ส่วนเฮดโค้ชคนปัจจุบันของสโมสรอย่าง โธมัส ทูเคิ่ล ถือว่าทำผลงานยอดเยี่ยมเช่นกัน หลังเขาเพิ่งพาทีมคว้าถ้วย “บิ๊กเอียร์” มาครองได้สำเร็จเมื่อซีซั่นที่แล้ว ด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมนัดชิงชนะเลิศ
เก็บแต้ม พรีเมียร์ลีก 1,449 แต้ม
เชลซี คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ถึง 5 สมัย ภายใต้ยุคการบริหารของ โรมัน อับราโมวิช และจบอันดับด้วยตำแหน่งส่วนบนของตารางคะแนนในหลายซีซั่น
จากสถิติเปิดเผยว่า ยอดทีมกรุงลอนดอน กวาดแต้มไปเกือบ 1,500 คะแนน สำหรับการลงเล่นบนลีกสูงสุดของเกาะอังกฤษ นับตั้งแต่เจ้าของทีมรัสเซีย เข้ามาสู่สโมสรเมื่อ 20 ปีที่แล้ว
โดยพวกเขาคว้าแชมป์ลีกเมืองผู้ดี 5 สมัย ในซีซั่น 2004/2005, 2005/2006, 2009/2010, 2014/2015 และ 2016/2017
หากคิดเป็นตัวเลขโดยรวม นับตั้งแต่ปี 2003 เชลซี ของ อับราโมวิช ลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ไปแล้ว 709 นัด พวกเขาชนะ 432 เสมอ 153 และ แพ้ 124 เกม ยิงประตู 1,309 ประตู เสีย 621 ประตู นับเป็นตัวเลขที่ยอดเยี่ยมไม่น้อยทีเดียว
สโมสรคว้าแชมป์ 21 รายการ
ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆ สำหรับผลงานของ เชลซี ในยุคของ โรมัน อับราโมวิช ที่สามารถเดินหน้ากวาดถ้วยรางวัลไปแล้วกว่า 21 รายการ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา และคว้าได้ครบทุกแชมป์ที่พวกเขาเคยลงเล่นมา
นอกจากการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 5 สมัย “สิงห์บลูส์” ยังเคยซิวถ้วยฟุตบอลยุโรป ถึงสองสมัย เมื่อปี 2012 และล่าสุดเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมา ภายใต้การทำทีมของกุนซืออย่าง โธมัส ทูเคิ่ล
ส่วนฟุตบอลถ้วยบนเกาะอังกฤษ พวกเขาคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 5 สมัย ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2018 และ คาราบาว คัพ หรือ ลีก คัพ อีก 3 สมัย
เช่นเดียวกับถ้วยยุโรป ใบใหญ่ พวกเขายังเคยคว้าแชมป์ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก อีก 2 สมัย เมื่อปี 2013 และ 2019 รวมถึง ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ในปี 2021
นอกจากนั้นฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ยังเป็นอีกหนึ่งถ้วยที่พวกเขาคว้ามาครองได้สำเร็จ หลังลงเล่นครั้งล่าสุดในปี 2021 และสามารถเอาชนะ พัลไมรัส แชมป์ โคปา ลิเบอร์ตาดอเรส จากอเมริกาใต้ ในเกมนัดชิงชนะเลิศ