แล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อ ลีดส์ ยูไนเต็ด ประกาศ แต่งตั้ง เจสซี่ มาร์ช เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในวันจันทร์ที่ผ่านมา แทนที่ มาร์เชโล่ บิเอลซ่า ที่แยกทางไปก่อนหน้า 1 วัน
ด้วยฟอร์มการเล่นที่ตกลงกว่าฤดูกาลก่อน โดยเฉพาะเกมรับที่เสียไป 60 ลูกมากสุดเหนือทุกทีม พร้อมรั้งอันดับ 16 ในตาราง ห่างจากโซนตกชั้นแค่ 2 คะแนน ทำให้บอร์ดทีม ‘ยูงทอง’ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงกุนซือกลางฤดูกาล แม้ว่า ‘เอล โลโค่’ คือคนที่พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาลีกสูงสุดเมื่อ 2 ปีก่อนก็ตาม
แน่นอนว่าภารกิจหลักของ กุนซือชาวอเมริกัน คือการพาทีมจากยอร์คเชียร์อยู่ในลีกสูงสุดแดนผู้ดีให้ได้ในฤดูกาลนี้ และแม้ว่าหลายคนให้การยอมรับกับประสบการณ์หลายปีในการคุมทีมยุโรป แต่หลายคนก็ตั้งคำถามเช่นกันว่าเขาดีพอจะเอาตัวรอดในลีกที่โหดหินที่สุดของโลกได้หรือไม่?
ผลงานในอดีต
มาร์ช เริ่มต้นงานกุนซือเต็มตัวครั้งแรกกับ เอฟซี มอนทรีอัล ในปี 2011 หรือที่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็น มอนทรีอัล อิมแพ็คส์ หลังจากทำหน้าที่ผู้ช่วยในทีมชาติสหรัฐอเมริกาในปี 2010
อดีตกองกลางชาวอเมริกัน คุมทีมได้แค่ปีเดียวก่อนแยกทางกัน โดยในตอนนั้น แม้บอร์ดพอใจกับผลงานในสนามกับจบอันดับที่ 12 แต่ความแตกต่างระหว่างปรัชญาการทำทีมระหว่างเขาและบอร์ดทำให้ฝ่ายแรกเลือกเดินจากมา
อย่างไรก็ตาม สไตล์การคุมทีมก็เข้ามาเข้าตาทีมร่วม เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ อย่าง นิวยอร์ก เร้ด บูลส์ ก่อนดึงมาทำหน้าที่กุนซือคนใหม่ แทนที่ ไมค์ เพ็คเค่ ในปี 2015
แม้ในตอนแรกแฟนบอลทีม กระทิงแดงแดนมะกัน จะไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้ง อดีตแข้ง ชิคาโก้ ไฟร์ เข้ามา แต่เสียงวิจารณ์เหล่านั้นก็กลายเป็นเสียงชื่นชมในเวลาต่อมา เมื่อเปลี่ยนให้ เร้ดบลูส์ เป็นทีมเบอร์ต้นๆในลีก ด้วยการคว้าแชมป์ ซัพพอร์ตเตอร์ส ชิลด์ 2 สมัย ในช่วง 3 ปีที่คุมทีม
จากนั้นเอง เขาก็ได้โอกาสผจญภัยในฟุตบอลยุโรปครั้งแรกกับการเป็นผู้ช่วยของ ราล์ฟ รังนิค ในปี 2018 ช่วงที่คุม แอร์เบ ไลป์ซิก และช่วงเวลานั้นเองทำให้ มาร์ช เรียนรู้ฟุตบอลแบบยุโรปได้มากขึ้น
ในปีต่อมา กุนซือแดนลุงแซม ก็โยกไปคุมทีมเต็มตัวอีกครั้งกับสโมสรในเครือ เร้ดบลูส์ อย่าง เร้ดบลูส์ ซัลซ์บวร์ก พร้อมพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้ 2 ปีติด และกลายเป็นกุนซือชาวอเมริกันคนแรกที่คุมทีมลุย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ด้วยผลงานดังกล่าวทำให้ แอร์เบ ไลป์ซิก ดึงเขาไปทำหน้าที่กุนซือคนใหม่แทน ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ที่ย้ายไป บาเยิร์น มิวนิค ในซัมเมอร์ปี 2021 น่าเสียดายที่ผลลัพธ์ออกมาไม่ได้นัก เมื่อชนะเพียง 7 นัด เสมอ 4 และ แพ้อีก 6 จนหมดโอกาสลุ้นแชมป์บุนเดสลีก้า ตั้งแต่ไก่โห จนถูกปลดในเดือนธันวาคมปี 2021
อิทธิพลจากรังนิค
รูปแบบการทำทีมและระบบแท็คติกของ กุนซือชาวอเมริกัน ก็มาจากแนวคิดของสโมสรในเครือเร้ดบลูส์ ซึ่งถูก รังนิค วางรากฐานไว้นานหลายปี
ทั้งระบบการเพรสซิ่งสูง, การเล่นเกมรับที่ดุดันเพื่อบีบให้คู่แข่งแสดงความผิดพลาดออกมา และใช้จังหวะนั้นเปลี่ยนจากรับเป็นรุก โต้กลับอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมในเครือ เร้ดบลูส์ ทั่วโลกคุ้นเคยกับวิธีเล่นแบบนี้เป็นอย่างดี
และสิ่งหนึ่งที่เปรียบเสมือนจุดขายของกุนซือที่มาจากเครือ เร้ดบลูส์ หรือเป็นลูกศิษย์ของ รังนิค คือพวกเขาเน้นการสร้างมากกว่าซื้อ มักให้โอกาสดาวรุ่งฝีเท้าดีได้ฉายแสงในสนาม และช่วงที่เขาประสบความสำเร็จกับ ซัลซ์บวร์ก หรือสมัยสร้างชื่อกับ นิวยอร์ก เร้ดบูลส์ เขาก็แสดงให้เห็นในจุดนี้บ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็น เออร์ลิ่ง ฮาแลนด์, ทาคูมิ มินามิโนะ, ไทเลอร์ อดัมส์, แพตสัน ดาก้า, โดมินิค ไซบอสซ์ไล หรือ ฮวาง ฮี-ชาน ก็ได้รับโอกาสและถูกปลุกปั้นโดยฝีมือของกุนซือเลือดมะกันทั้งสิ้น
“คุณมีความเชื่อที่แตกต่างกันมากมายแม้ในระบบเดียวกัน มีผู้ที่เชื่ออย่างสุดใจกับผู้เล่นอายุน้อยและโค้ชบางคนที่เชื่อในผู้เล่นที่มีประสบการณ์มากกว่า แต่ผมเชื่อในผู้เล่นอายุน้อย 100 เปอร์เซ็นต์” มาร์ช กล่าวขณะให้สัมภาษณ์กับ Sky Sports
“ความสมดุลเป็นสิ่งสำคัญ แต่คุณต้องมีความอดทน คุณต้องตั้งใจที่จะเอาชนะในบางครั้ง แต่ผมก็เชื่อว่าประสบการณ์เหล่านั้นจะทำให้ผู้เล่นอายุน้อยเหล่านั้นดีขึ้น แล้วคุณก็ต้องรักความจริงที่ว่าพวกเขาจะเติบโตมากขึ้น และมีโอกาสและเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ คุณต้องเชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ และต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผู้เล่นของคุณ”
โค้ชมะกันในฟุตบอลยุโรป
นอกจากนี้ มาร์ช ยังเป็นกุนซือชาวอเมริกัน ไม่กี่คนที่ได้รับการยอมรับในฟุตบอลยุโรป และเขาก็เชื่อว่าประสบการณ์ในการเป็นมือขวาให้กับ รังนิค ใน ไลป์ซิก ทำให้เขาซึมซับวัฒนธรรมลูกหนังนอกทวีปบ้านเกิดได้รวดเร็วขึ้น
“ผมได้เรียนรู้จังหวะของฟุตบอลยุโรปมากขึ้น เรียนรู้เกี่ยวกับภาษา และเข้าใจว่าวัฒนธรรมต่างๆมีความหมายอะไรต่อผู้คนและสโมสร นี่ช่วยให้ผมเตรียมตัวได้ดีและช่วยให้ผู้คนได้รับรู้ว่าผมไม่ใช่แค่คนอเมริกันมั่วๆที่ไม่พูดภาษาเยอรมัน ซึ่งไม่มีประสบการณ์ในยุโรปเมื่อเข้ามาซัลซ์บวร์ก”
ไม่ใช่แค่ รังนิค เท่านั้นที่ทำให้เขาช่วยเข้าใจฟุตบอลในยุโรปมากขึ้น เพราะความผิดพลาดของกุนซือร่วมชาติอย่าง บ็อบ แบรดลี่ย์ อดีตนายใหญ่ สวอนซี ก็ช่วยให้เขาเรียนรู้ได้เช่นกัน ก่อนกลายเป็นที่ยอมรับของแฟนบอลในยุโรป
“คุณรู้เรื่องนี้เพราะคุณเห็น บ็อบ แบรดลี่ย์ (ที่ สวอนซี) ใช่มั้ย? ผมเห็นเขาลำบาก ผมก็รู้เช่นกันว่าเขาเป็นคนดีและเป็นโค้ชที่ดีแค่ไหน การเห็นสิ่งนั้นทำให้ผมเจ็บปวดไม่น้อย ผมคิดถึงเรื่องนั้นเยอะพอตัวเลย ผมได้พูดคุยกับเขา ได้เห็นความลำบากที่เขาเจอมา” กุนซือวัย 48 ปี กล่าวต่อ
“ถ้าความคิดของผมคือ การมาที่นี่ ผมรู้ว่าจะต้องเรียนรู้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้ได้”
งานหินกับยูงทอง
หลังล้มเหลวกับ ไลป์ซิก นี่เป็นโอกาสที่ มาร์ช จะกู้ชื่อเสียงของตัวเองอีกครั้งกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด หลังเข้ามารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
แม้ได้รับการยอมรับในแฟนบอลส่วนใหญ่ในยุโรป แต่สำหรับแฟนบอลพรีเมียร์ลีก เชื่อว่าหลายคนยังตั้งข้อสงสัยในตัวกุนซือชาวอเมริกันไม่น้อยเช่นกัน
เจสซี่ ถือเป็นกุนซือชาวอเมริกันรายที่ 3 ที่ได้คุมสโมสรในพรีเมียร์ลีกต่อจาก แบรดลี่ย์ และ ดาวิด วากเนอร์ ซึ่งต้องบอกว่า 2 รายแรกจบไม่สวยเท่าไหร่
แบรดลี่ย์ ได้คุม สวอนซี แค่ 11 นัดก็ถูกปลดในปี 2016 ขณะที่ วากเนอร์ ดูดีขึ้นมาบ้าง ด้วยการพา ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ เลื่อนชั้นจาก แชมเปี้ยนส์ชิพ มาสู่พรีเมียร์ลีก ในปี 2017 แม้เอาตัวรอดได้ในปีแรก แต่ฤดูกาลต่อมาก็พาทีมจมบ๊วยจนต้องแยกทางกับทีมในท้ายที่สุด
จริงอยู่ที่อดีตกุนซือ ซัลซ์บวร์ก อาจมีประสบการณ์มากมายในฟุตบอลยุโรป พร้อมทั้งเคยพาไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้ว แต่สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญกับลีดส์ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทีมที่เขาคุมล้วนเป็นสโมสรระดับท็อปของประเทศ ไม่ใช่สโมสรที่หนีกตกชั้นแบบนี้
อีกทั้งการไร้ประสบการณ์ในอังกฤษ และความล้มเหลวกับ ไลป์ซิก จนโดนปลดในช่วงปลายปีก่อน ก็ยิ่งสร้างความกังวลใจให้กับ แฟน ยูงทอง มากกว่าเดิมอีกว่ากุนซือคนใหม่ของพวกเขาจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้ได้ดีแค่ไหน
เชื่อว่า อดีตนายใหญ่ ไลป์ซิก ก็รู้ดีว่างานนี้แตกต่างจากงานอื่นๆที่เขาเคยรับมา แต่โอกาสในการคุมสโมสรจากพรีเมียร์ลีกคงเป็นงานในฝันของผู้จัดการทีมหลายคนบนโลกนี้ และยากจะปฏิเสธหากได้รับข้อเสนอแบบนี้
และด้วยรูปแบบการเล่นที่ บิเอลซ่า วางรากฐานไว้ ตลอด 3 ปีครึ่งที่ผ่านมา ที่เน้นการไล่เพรสซิ่งหนักๆถึงแดนบน รวมไปถึงความทุ่มเทของนักเตะในทีม ก็ดูเข้าสไตล์การทำทีมของกุนซือชาวอเมริกันไม่น้อย และเชื่อว่าเขาจะช่วยกอบกู้สถานการณ์ของทีมได้เช่นกัน
“เรามีทุกอย่างครบที่นี่ ผมอยู่ที่นี่เพื่อช่วยให้กลุ่มนี้เข้าใจว่าเราจะดีขึ้นได้อย่างไรและจัดการกับช่วงเวลานี้ได้อย่างไร เราต้องสงบสติอารมณ์และควบคุมสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ เรายังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่เราสามารถกุมโชคชะตาของเราได้ทั้งหมด” กุนซือแดนลุงแซม กล่าวผ่านเว็บไซต์สโมสร
เพียงแต่อนาคตของในถิ่น เอลแลนด์ โร้ด ของ มาร์ช จะยาวไกลเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่ว่าเขาเองจะปรับตัวในลีกผู้ดีได้รวดเร็วแค่ไหน กับผลงานในฤดูกาลนี้ที่มีการหนีรอดตกชั้นเป็นเดิมพัน