ทุ่มไม่อั้น! ย้อนรอยสโมสรตกถังข้าวสารเศรษฐีเทคโอเวอร์

วงการฟุตบอลเพิ่งมีข่าวเรียกเสียงฮือฮาเกิดขึ้น เมื่อกลุ่มทุน พับลิค อินเวสต์เมนต์ ซึ่งนำโดย โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งประเทศซาอุดิอาระเบีย เข้ามาเทคโอเวอร์ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ต่อจากเจ้าของเดิมอย่าง ไมค์ แอชลีย์ ด้วยเงิน 300 ล้านปอนด์

การเข้ามาของเจ้าชาย บิน ซัลมาน ทำให้ “เดอะ แม็กพาย” กลายเป็นทีมที่รวยที่สุดของโลกทันที คาดการณ์ว่ามกุฎราชกุมารแห่งซาอุดิอาระเบีย มีทรัพย์สินทั้งหมดประมาณ 320,000 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่า ชีกห์ มานซูร์ ประธานสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีทรัพย์สินประมาณ 23,200 ล้านปอนด์ ชนิดทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น

แน่นอนว่าหลังจากนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แน่นอน และด้วยอำนาจของเงินมันอาจทำให้พวกเขาก้าวไปสู่ความสำเร็จในอนาคต แบบที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง รวมถึงอีกหลายทีม

วันนี้ UFA ARENA จึงจะขอพาย้อนกลับไปชมบรรดาสโมสรที่เคยถูกเทคโอเวอร์โดยเหล่ามหาเศรษฐี เพื่อดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่

 

อันชี่ มาคัชคาล่า | ซูเลย์แมน เคริมอฟ

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2011 วงการฟุตบอลลีกรัสเซีย ต้องสั่นสะเทือน หลัง ซูเลย์แมน เคริมอฟ เศรษฐีชื่อดังของประเทศตัดสินใจทุ่มเงินเทคโอเวอร์สโมสรที่อยู่ในบ้านเกิดของเขาเองเมือง ดาเกสถาน อย่าง อันชี่ มาคัชคาล่า เพื่อหวังสร้างทีมขึ้นมาต่อกรกับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ซึ่งครองความยิ่งใหญ่แบบผูกขาดสำหรับการคว้าแชมป์ รัสเซีย พรีเมียร์ลีก ณ เวลานั้น และมีแผนการที่จะต่อยอดไปเป็นทีมระดับโลก

เคริมอฟ ต้องการพิสูจน์ให้เห็นว่าเงินสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ ด้วยการทุ่มทุนก้อนโตกว่า 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กว้านซื้อนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์เข้ามาร่วมทีมแบบคั่ง นำโดย โรแบร์โต้ คาร์ลอส แบ็คซ้ายระดับตำนาน เรอัล มาดริด, ดิโอก้า ทาร์เดลลี่ อดีตกองหน้าทีมชาติบราซิล และ ซามูเอล เอโต้ ศูนย์หน้าระดับโลกในวัย 33 ปี ที่เพิ่งพา อินเตอร์ มิลาน คว้าแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ในตอนนั้น ถูกดึงมาอยู่กับ อันชี่ มาคัชคาล่า เช่นกันในฤดูกาล 2011/2012 พร้อมกลายเป็นผู้เล่นที่รับค่าเหนื่อยมากสุดของโลก 550,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ มากกว่าสองสุดยอดนักเตะอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แบบเทียบไม่ติด เพราะเพดานค่าเหนื่อยของหลายสโมสรในช่วงปี 2011 สูงสุดแค่เพียง 350,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ เท่านั้น

การลงทุนของ ซูเลย์แมน เคริมอฟ ดูเหมือนจะไปได้ดี เพราะในซีซั่น 2012/2013 พวกเขาสามารถจบถึงอันดับ 3 ของลีก และได้สิทธิ์ลงเตะศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบเพลย์ออฟ อย่างไรก็ตามฤดูกาลถัดมา 2013/2014 ดูเหมือนพวกเขาต้องเจอกับปัญหาใหญ่ เมื่อเจ้าของสโมสรชาวรัสเซีย มีปัญหาเกี่ยวกับธุระส่วนตัวเจอภาวะขาดทุนอย่างหนัก ส่งผลให้ อันชี่ มาคัชคาล่า ที่เป็นทีมเงินถุงเงินถึงมาได้แค่เพียง 3 ปี จำเป็นต้องเร่งขายนักเตะซุปเปอร์สตาร์ออกจากทีมจนหมด และใช้ผู้เล่นเยาวชนลงสนามแทน นั่นเองส่งผลให้พวกเขาผลงานตกต่ำอย่างน่าใจหาย และต้องตกชั้นจาก รัสเซีย พรีเมียร์ลีก ด้วยการจบอันดับสุดท้ายของตาราง

 

แอร์เบ ไลป์ซิก | ดีทริช มาเตชิตซ์

หากวัดกันที่มูลค่าทรัพย์สิน แอร์เบ ไลป์ซิก คือสโมสรที่รวยที่สุดอันดับ 3 ของโลก ณ เวลานี้ เป็นรองแค่เพียง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด เท่านั้น โดยพวกเขามี ดีทริช มาเตชิตซ์ มหาเศรษฐีชาวออสเตรีย เจ้าของร่วมเครื่องดื่มชูกำลัง เร้ด บูลล์ เป็นประธานสโมสร

แม้เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2009 หรือประมาณ 12 ปีที่แล้ว ทว่า แอร์เบ ไลป์ซิก พัฒนาอย่างก้าวกระโดด พวกเขาใช้เวลาแค่เพียง 7 ปี ไต่เต้าจากลีกดิวิชั่น 5 ของเยอรมัน ขึ้นมาสู่ บุนเดสลีกา ได้สำเร็จเมื่อฤดูกาล 2016/2017 พร้อมทุ่มเงินก้อนโตเสริมผู้เล่นระดับท็อปเข้ามาร่วมทีมเพื่อลงเล่นบนลีกสูงสุดซีซั่นแรก ไม่ว่าจะเป็น ติโม แวร์เนอร์, นาบี เกอิต้า และ ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ ประสานงานร่วมกับนักเตะแกนหลักเดิมของสโมสรอย่าง เอมิล ฟอร์สเบิร์ก, มาร์เซล ซาบิตเซอร์ และ ยูซุฟ โพลเซ่น โดยมี ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิล เป็นกุนซือ

ผลงานในฤดูกาลแรกของ “เดอะ เรด บลู” สร้างเซอร์ไพรส์แฟนบอลไม่น้อย หลังพวกเขาจบตำแหน่งรองแชมป์ พร้อมกับคว้าตั๋วลงเล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ครั้งแรกของสโมสร จนถึงปัจจุบัน แอร์เบ ไลป์ซิก ได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่ของ บุนเดสลีกา เยอรมัน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และถือเป็นอีกหนึ่งทีมเต็งแชมป์รองจาก บาเยิร์น มิวนิค และ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

 

เลสเตอร์ ซิตี้ | วิชัย ศรีวัฒนประภา

เรียกได้ว่านี่คือสโมสรแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ก็ว่าได้ สำหรับยอดทีมแห่ง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งถูก วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เข้ามาเทคโอเวอร์เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2010 ก่อนยกระดับกลายเป็นทีมระดับแถวหน้าของลีกอังกฤษ ณ เวลานี้

ประธานสโมสรชาวไทย ทุ่มเงินซื้อ เลสเตอร์ ซิตี้ มาจากเจ้าของเดิมด้วยเงิน 100 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2007 ซึ่งขณะนั้นทีมยังคงอยู่ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ การเข้ามาครอง คิง เพาเวอร์ สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือการจัดการกับภาระหนี้สินทั้งหมดที่เคยมีอยู่ พร้อมปรับปรุงสนามและขยายความจุ พัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แบบที่ทีมควรจะใหญ่มี หลังจากนั้นพวกเขาใช้เวลาแค่ 4 ปี พา “จิ้งจอกสยาม” เลื่อนชั้นขึ้นสู่ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ได้สำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ลีกรองเมืองผู้ดีเมื่อซีซั่น 2013/2014

ฤดูกาลแรกบนลีกสูงสุดภายใต้การคุมทีมของ ไนเจล เพียร์สัน เลสเตอร์ จบอันดับ 14 ของตาราง รอดพ้นการตกชั้นแบบหวุด ก่อนที่ซีซั่นถัดมาภายหลัง เคลาดิโอ รานิเอรี่ เข้ามารับงานต่อจากกุนซือคนเดิม “เดอะ ฟ็อกซ์” กลับทำผลงานได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และความแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรกในประวัติศาสตร์ได้แบบเหนือความคาดหมายในซีซั่น 2015/2016

หลังจากนั้นไม่นานเกิดเหตุเศร้าเมื่อสโมสรต้องเสียผู้นำคนสำคัญอย่าง วิชัย ศรีวัฒนประภา จากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกเมื่อปี 2018 ก่อนที่ลูกชาย อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา จะขึ้นมาบริหารสโมสรแทนที่ และสามารถพา เลสเตอร์ ประความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ด้วยการคว้าแชมป์ เอเอฟ คัพ เมื่อซีซั่น 2020/2021 ที่ผ่านมา ในยุคการคุมทีมของกุนซืออย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส

เลสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นอีกทีมที่มีการลงทุนหนาสำหรับการเสริมทัพในแต่ละซีซั่น ทว่าส่วนใหญ่เหมือนเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เนื่องจากนักเตะหลายคนที่พวกเขาดึงเข้ามาร่วมทีม กลับทำผลงานสวนทางกับค่าตัว ไม่ว่าจะเป็น อิสลาม สลิมานี่ (27.9 ล้านปอนด์), เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ (24.9 ล้านปอนด์) รวมถึง อโยเซ่ เปเรซ (30 ล้านปอนด์) ทั้งหมดไม่ได้ทำผลงานโดดเด่นอะไรเท่าไรนักเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่ต้นสังกัดจ่ายเพื่อคว้าพวกเขามาเสริมทีม จะมีแค่เพียงเจ้าของนักเตะค่าตัวสถิติสโมสร 40.5 ล้านปอนด์ อย่าง เตยูรี ตีเลอมันส์ ที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม และเป็นคนยิงประตูชัยพาทีมชนะ เชลซี คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เมื่อปีที่แล้ว รวมถึง เจมส์ แมดดิสัน (22.5 ล้านปอนด์) และ ชากลาร์ โซยุนชู (18.9 ล้านปอนด์) สองแกนหลักของทีมชุดปัจจุบัน

 

เชลซี | โรมัน อับราโมวิช

นี่คือผู้พลิกหน้าประวัติศาสตร์สโมสรของ เชลซี อย่างแท้จริง สำหรับมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ที่ตัดสินใจควักกระเป๋าเข้ามาเทคโอเวอร์ยอดทีมแห่งกรุงลอนดอน ด้วยเงิน 140 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2003 ก่อนพัฒนาและยกระดับทีมให้กลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจนถึงทุกวันนี้

ภายหลัง โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของใหม่ “สิงห์บลูส์” ช่วงหน้าร้อนปี 2003 เขาทุ่มเงินก้อนโตลงทุนเสริมความแข็งแกร่งให้สโมสรทันที ด้วยการดึงนักเตะฝีเท้าคุณภาพระดับแถวหน้าของลีกและซุปเปอร์สตาร์เข้ามาร่วมทีมคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น โคล้ด มาเกเลเล่, เฮอร์นัน เครสโป, อาเดรียน มูตู, โจ โคล, เดเมี่ยน ดัฟฟ์ และ ฆวน เซบาสเตียน เวรอน ซึ่งรวมยอดการเสริมทัพของ เชลซี ในซีซั่น 2003/2004 พวกเขาใช้ไปทั้งหมด 119 ล้านปอนด์ นับเป็นตัวเลขที่สูงมาก ณ เวลานั้น ก่อนที่เฮดโค้ชอย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่ พาทีมจบตำแหน่งรองแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลดังกล่าว ซึ่งถือเป็นอันดับที่ดีที่สุดของสโมสรตั้งแต่คว้าแชมป์ ดิวิชั่น 1 เดิม เมื่อซีซั่น 1954/1955

หลังจากนั้นฤดูกาลถัดมาความตั้งใจที่จะพาทีมความแชมป์ลีกสูงสุดบนเกาะอังกฤษ ของ โรมัน อับราโมวิช ประสบความสำเร็จ ด้วยฝีมือของชายที่ชื่อ โช่เซ่ มูรินโญ่ ที่สามารถพา เชลซี คว้าแชมป์ด้วยการแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้นตลอดทั้งซีซั่น และเก็บไปได้ถึง 95 คะแนน หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันตลอดระยะเวลากว่า 18 ปี ที่ โรมัน อับราโมวิช เข้ามาเป็นเจ้าของ เชลซี สโมสรคว้าแชมป์ไปแล้ว 20 รายการ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 5 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 2 สมัย

ส่วนเรื่องการเสริมทัพ “สิงโตน้ำเงินคราม” ถือเป็นทีมที่ลงทุนซื้อนักเตะด้วยเงินมหาศาลมาตลอด และทำลายสถิติค่าตัวบนเกาะอังกฤษ อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการดึง อังเดร เชฟเชนโก้ มาจาก เอซี มิลาน ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2006, เฟร์นานโด ตอร์เรส จาก ลิเวอร์พูล ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2011, เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ผู้รักษาประตูค่าตัวสถิติโลก 71.6 ล้านปอนด์ รวมถึงเจ้าของค่าตัวสถิติสโมสรคนล่าสุด 97.5 ล้านปอนด์ อย่าง โรเมลู ลูกากู นอกจากนั้นยังมีตัวเลขเปิดเผยว่า จนถึงปี 2020 เชลซี ยุค “เสี่ยหมี” ใช้เงินซื้อนักเตะไปแล้วกว่า 1,585 ล้านปอนด์ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก แต่ก็คุ้มค่ากับความสำเร็จของพวกเขาตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ | ชีค มานซูร์

เรียกได้ว่าเป็นหนูตกถังข้าวสารเลยก็ว่าได้ สำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ถูกกลุ่มทุนจากกาตาร์ อย่าง อาบู ดาบี ยูไนเต็ด กรุ๊ป ซึ่งนำโดย ชีค มานซูร์ เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรต่อจาก ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2008 และนั่นทำให้พวกเขากลายเป็นทีมฟุตบอลที่รวยที่สุดของโลก ก่อนโดน นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แซงหน้าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

การเข้ามาของ ชีค มานซูร์ เป้าหมายหลักของเขาคือการพาทีมประสบความสำเร็จสูงสุด ด้วยการทุ่มเงินลงทุนสร้างทีมจำนวนมหาศาล โดยดีลแรกของ “เรือใบสีฟ้า” ภายใต้การบริหารงานของกลุ่มทุนกาตาร์ ที่เรียกเสียงฮือฮาคือการคว้า โรบินโญ่ มาจาก เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ เมื่อปี 2008 หลังจากนั้นยอดทีมแห่งเมืองแมนเชสเตอร์ เดินหน้าเสริมทัพด้วยการคว้าเหล่าซุปเปอร์สตาร์แห่งยุคเข้ามาร่วมทีมต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น เอ็มมานูเอล อเดบายอร์, โคโล่ ตูเร่, ดาบิด ซิลบา, แวงซองต์ กอมปานี, ยาย่า ตูเร่, ซาเมียร์ นาสรี่, มาริโอ บาโลเตลลี่ และ เซร์คิโอ อเกวโร่ กระทั่งซีซั่น 2010/2011 ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ มันชินี่ พวกเขาสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ สมัยแรกได้สำเร็จ และคว้าเพิ่มอีก 4 สมัย ตามมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึง เอฟเอ คัพ 2 สมัย และ ลีก คัพ 6 สมัย อย่างไรก็ตามสำหรับแชมป์ฟุตบอลยุโรป มันยังคงเป็นเพียงแค่ความฝันของพวกเขาต่อไป หลังทำได้ดีที่สุดคือการแพ้ เชลซี ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อซีซั่นที่แล้ว

ปัจจุบัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้กลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่ดีที่สุดของโลก ไปเรียบร้อยแล้ว เต็มไปด้วยเหล่านักเตะฝีเท้าคุณภาพสูง และครองตำแหน่งเต็งหนึ่งแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เกือบทุกซีซั่นตลอดหลายฤดูกาลที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่พวกเขายังคงต้องตามล่ามันต่อไปก็คือ การคว้าแชมป์ฟุตบอลยุโรป สมัยแรกของสโมสร

 

ปารีส แซงต์-แชร์กแมง | นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่

ยอดทีมแห่งกรุงปารีส กลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่แฟนบอลหันมาให้ความสนใจเพิ่มมากขึ้น นับตั้งแต่กลุ่มทุนจากกาตาร์ อย่าง กาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสเมนท์ ที่มี นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ เป็นประธาน เข้ามาเทคโอเวอร์เมื่อปี 2011 ซึ่งนั่นทำให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดของโลก และครองความสำเร็จแบบเบ็ดเสร็จในวงการฟุตบอลลีกฝรั่งเศส ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา

นับตั้งแต่เข้ามาบริหารทีม นาสเซอร์ อัล เคไลฟี่ ลงทุนเงินจำนวนมากไปกับการสร้างทีมให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นทุกปี ด้วยการดึงนักเตะระดับโลกเข้ามาค้ายังลีกเมืองน้ำหอมแบบไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น เดวิด เบ็คแฮม, ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, จานลุยจิ บุฟฟ่อน, เอดิสัน คาวานี่, คีเลียน เอ็มบัปเป้, เนย์มาร์ และ ลิโอเนล เมสซี่ ที่เพิ่งย้ายมาจาก บาร์เซโลน่า แบบไม่มีค่าตัวช่วงซัมเมอร์ พร้อมฟันค่าเหนื่อยมากสุดในโลก 650,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์

การเข้ามาของกลุ่มทุน กาตาร์ สปอร์ตส์ อินเวสเมนท์ ทำให้ เปแอสเช ยกระดับกลายเป็นทีมที่ดีที่สุดของฝรั่งเศส ด้วยขุมกำลังที่ไม่มีใครต่อกรได้ ส่งผลให้พวกเขาคว้าแชมป์ ลีก เอิง ไปถึง 7 สมัย ตลอด 10 ปีหลังสุด และกลายเป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากสุดของเมืองน้ำหอมเรียบร้อยแล้ว แม้ก่อตั้งสโมสรมาได้แค่เพียง 51 ปี เท่านั้น อย่างไรก็ตามเช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ซีตี้ สิ่งที่พวกเขาปราถนามากที่สุดและยังทำไม่สำเร็จ นั่นคือการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกของสโมสร หลังก่อนหน้านี้ผลงานดีสุดคือเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเมื่อซีซั่น 2019/2020 ก่อนแพ้ บาเยิร์น มิวนิค 1-0

 

สาลิกาดง