วงการลูกหนังต้องพบกับข่าวเศร้าเมื่อ จิมมี่ กรีฟส์ อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ เสียชีวิตลงด้วยวัย 81 ปี ตามรายงานเมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา
อดีตดาวยิงท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ถือเป็นหนึ่งในนักเตะเบอร์ต้นของโลกในช่วงยุค 1960-1970 และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งการเล่นในระดับสโมสร รวมไปถึงทีมชาติอังกฤษที่เป็นหนึ่งในขุนพล ‘สิงโตคำราม’ ชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1966 อีกด้วย
เพื่อระลึกถึงอีกหนึ่งตำนานวงการลูกหนัง UFA ARENA จึงแนะนำช่วงเวลาที่น่าจดจำของอดีตเพชรฆาตจากอังกฤษ ผู้จารึกสถิติมากมายในวงการลูกหนังแดนผู้ดีจนยากที่ใครจะทำลายได้
ประเดิมสนามพร้อมประตูกับสิงห์บลูส์
Jimmy Greaves, Chelsea#Chelsea #CFC pic.twitter.com/9KS01Duc4h
— Football Memories (@footballmemorys) February 26, 2018
กรีฟส์ ถูกจดจำให้ฐานะดาวเตะจอมถล่มประตูมาตั้งแต่เล่นในระดับเยาวชนกับ เชลซี แล้ว หลังซัดไปถึง 173 ประตู ตลอดปี 1955-1957 รวมถึงกดประตูนัดชิงชนะเลิศของเอฟเอ ยูธ คัพ ในปี 1958 น่าเสียดายที่จบแค่รองแชมป์ เหตุพ่ายให้กับ วูล์ฟแแฮมป์ตัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ประเดิมชุดใหญ่ให้กับสโมสรไปแล้วในปี 1957 ในนัดพบกับ สเปอร์ส ว่าที่สโมสรใหม่ในอนาคต
ณ เวลานั้น หอกวัย 17 ปี ยิงประตูให้ เชลซี เสมอในเกมนั้นไป 1-1 และไม่มีปฏิเสธถึงความสามารถของเขาในสนาม ทั้งการไปกับบอลได้ดี และสัญชาตญาณกองหน้า ยิ่งทำให้หลายคนคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็นอนาคตใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษ
เหมา 5 เม็ดเกมดวล วูล์ฟส์
หลังประเดิมฤดูกาลแรกด้วยจำนวน 22 ประตูจาก 37 นัดในลีก กรีฟส์ ก็ยังรักษาฟอร์มอันร้อนแรงได้ในปีต่อมา และเพียงนัดที่ 3 เขาก็ระเบิดฟอร์มด้วยการซัดไปถึง 5 ประตูช่วยให้ เชลซี อัด วูล์ฟแฮมป์ตัน ทีมแชมป์เก่าไปแบบหมดสภาพ 6-2
ทีม ‘หมาป่า’ ณ เวลานั้น มีนักเตะอย่าง บิลลี่ ไรท์ กองหลังกัปตันทีมชาติอังกฤษ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานความยอดเยี่ยมของกองหน้าหนุ่มไฟแรงได้ แถมยิงประตูกระจายตลอดทั้งฤดูกาลนั้น โดยซัดไป 32 ประตูจาก 44 เกม คว้ารองเท้าทองคำไปครองเป็นสมัยแรกจากทั้งหมด 6 ครั้งที่เขาจะทำได้ในเวลาต่อมา
อายุน้อยสุดยิงครบ 100 ตุง
ด้วยความสามารถในด้านการทำประตูฤดูกาลแล้วฤดูกาลเล่าทำให้จำนวนประตูที่ เจ้าหนูจิมมี่ ทำได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 1960-61 เมื่อกดไปถึง 41 ประตูในลีกจนกลายเป็นสถิติของสโมสรและลีกฟุตบอลอังกฤษที่ยังไม่มีใครทำลายได้มานานกว่า 70 ปีแล้ว
อีกทั้งในเกมที่หอกลูกหม้อ เชลซี ซัดแฮตทริกใส่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเดือนพฤศจิกายน ทำให้เขายิงประตูครบ 100 ลูกในดิวิชั่น 1 ด้วยวัยเพียง 20 ประตูกับอีก 290 วัน ทำให้ครองสถิติแข้งอายุน้อยสุดที่ทำแบบนี้ได้ และยิ่งเวลาผ่านไปก็ยากที่ใครจะทำลายสถิติตนี้ลงได้
ช่วงสั้นๆในอิตาลี
Jimmy Greaves, AC Milan#ACMilan #IRossoneri pic.twitter.com/UCssKrzhnb
— Football Memories (@footballmemorys) July 21, 2021
กรีฟซี่ ไม่เคยมีความสุขกับการย้ายไปเล่นในอิตาลีเลย ถึงขนาดที่พยายามทำให้การย้ายไป เอซี มิลาน ถูกยกเลิกในปี 1961 แต่ก็ไม่เป็นผล และแม้เป็นอย่างนั้นเขาก็ยังยิงประตูตั้งแต่นัดประเดิมสนามให้ทีมใหม่ได้เหมือนเคยในเกมพบ โบตาโฟโก้
อย่างไรก็ตาม ดาวยิงจากอังกฤษ ก็ยังไม่เข้ากับรูปแบบการซ้อมและการควบคุมอาหารของลูกหนังแดนมักกะโรนี จนทำให้ต้องลาทีมให้เดือนธันวาคมปีเดียวกัน โดยยิงไป 9 ประตูจาก 12 นัดที่ลงเล่นให้ รอสโซเนรี่ และแน่นอนว่า เชลซี ทีมเก่าก็พยายามคว้าตัวไปร่วมทีม แต่ทีมอริร่วมเมืองอย่าง ท็อตแน่ม ก็ร่วมวงล่าตัวด้วย ก่อนกลายเป็น ‘ไก่เดือยทอง’ ที่ได้ลายเซ็นของกรีฟซี่ไปครอง
แชมป์แรกในอังกฤษ
Jimmy Greaves made his debut on this day in 1961, he scored a hat-trick in a 5-2 victory over Blackpool! pic.twitter.com/K5c4Neiq4q
— Tottenham Hotspur (@SpursOfficial) December 16, 2016
ร่างที่แท้จริงของ กรีฟส์ กลับมาให้แฟนบอลอังกฤษเห็นอย่างรวดเร็ว หลังยิงได้ตั้งแต่เกมแรกกับ สเปอร์ส ก่อนเพิ่มอีก 2 ลูกกลายเป็นแฮตทริกแรกของเขาในเกมดวลกับ แบล็คพูล ณ สนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน ยิ่งไปกว่านั้นยังระเบิดฟอร์มในรายการเอฟเอ คัพ เช่นกัน ด้วยการซัดไป 9 ลูกจาก 7 นัด จนช่วยต้นสังกัดทะลุไปเล่นนัดชิงในปี 1962
เบิร์นลี่ย์ หนึ่งทีมแกร่ง ณ ตอนนั้นกลายเป็นคู่แข่งในนัดชิงดำ แต่ กองหน้า ‘ไก่เดือยทอง’ ก็เป็นผู้เบิกประตูแรกให้ทีมเอาชนะไป 3-1 คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ไปครอง และกลายเป็นแชมป์รายการแรกของเขาในอังกฤษ
สถิติลีกและแชมป์ถ้วยยุโรป
ฤดูกาล 1962-63 เป็นหนึ่งในปีที่ กรีฟส์ ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมที่สุดในอาชีพค้าแข้งของเขา ด้วยการทำแฮตทริกไป 3 ครั้งในปีนั้น และกดไป 37 ตุงจาก 41 นัด ทำให้กลายเป็นแข้งสเปอร์สที่ทำประตูในลีกฤดูกาลเดียวมากที่สุด
มากไปกว่านั้น ดาวยิง ‘ไก่เดือยทอง’ ยังประกาศศักดาในบอลยุโรปรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ วินเนอร์ส คัพด้วยการซัดไป 6 ประตู โดยในนัดชิงพบ แอตเลติโก้ มาดริด เขาเหมา 2 ลูกให้ทีมเอาชนะไป 5-1 และกลายเป็นทีมแรกในอังกฤษที่คว้าถ้วยยุโรปรายการนี้
เอฟเอ คัพ สมัยที่ 2 พร้อมสถิติใหม่ในลีกผู้ดี
สเปอร์ส ยังไม่สามารถกลับมาคว้าแชมป์ลีกได้เลย แม้ว่า กรีฟส์ จะยิงกระจายให้ทีมแค่ไหนก็ตาม โดยจบที่อันดับ 2 ในฤดูกาล 1962-63 แต่อีก 4 ปีต่อมา เขาก็คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ เป็นสมัยที่ 2 โดยเอาชนะ เชลซี ทีมเก่าในนัดชิง พร้อมคว้าดาวซัลโวของรายการไปครองด้วยจำนวน 6 ประตูจาก 8 เกม
อย่างไรก็ตามในปีต่อมาก็ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของ ดาวยิงขวัญใจ ยิด อาร์มี่ เท่าไหร่ แม้เขากดไป 29 ประตู เนื่องจากทีมจบอันดับที่ 7 และตกรอบบอลถ้วยตั้งแต่รอบแรกๆ
ขณะที่ปีต่อมา การเล่นร่วมกับ มาร์ติน ชิเวอร์ส คู่ขาคนใหม่ในแดนหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ ดาวเตะ สเปอร์ส ก็ยังคว้าดาวซัลโวลีกมาครองในฤดูกาล 1968-69 และมากไปกว่านั้นเขายังทำลายสถิติเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลทั้งกับ สเปอร์ส และลีกสูงสุดในอังกฤษ ซึ่งยังไม่มีใครทำลายได้จนถึงปัจจุบัน
ฟอร์มตกกับค้อน
การย้ายไปเล่นกับ เวสต์แฮม ของ กรีฟส์ ในปี 1970 หลังสลับขั้วกับ มาร์ติน ปีเตอร์ส ที่ไป สเปอร์ส กลับไม่สามารถช่วยให้เขากลับคืนฟอร์มเก่งได้อีกครั้งเหมือนช่วงพีกๆ หลังกดไปเพียง 13 ประตูกับ 2 ฤดูกาลในทีม ‘ขุนค้อน’ จากนั้นก็เลิกเล่นฟุตบอลไปพักใหญ่จากการติดสุรา ก่อนกลับมาเล่นในทีมนอกลีกในปี 1975 และแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1980
แต่หากรวมประตูที่เคยทำได้ทั้งหมดทั้งในอังกฤษ และอิตาลี ก็ทำให้ หอกชาวอังกฤษกดไปถึง 366 ลูกจาก 5 ลีกใหญ่ยุโรป และกลายเป็นสถิติใหม่ในตอนนั้น ก่อนถูกทำลายโดย ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ในศตวรรษต่อมา
แฮตทริกมากสุดในทรี ไลอ้อนส์
ย้อนกลับไปในปี 1961 ในศึกระหว่างทีมชาติอังกฤษ ที่ถล่ม สกอตแลนด์ ไปแบบยับเยิน 9-3 กรีฟซี่ ถือเป็นดาวเด่นในสนามวันนั้น ด้วยการกดไป 3 ประตู ซึ่งเป็นแฮตทริกหนที่ 3 ของเขา หลังลงเล่นให้ทีมเพียง 12 นัดเท่านั้น
ก่อนในเวลาต่อมา ดาวยิงตำนานของ สเปอร์ส จะบันทึกสถิติด้วยการทำแฮตทริกในทัพ ‘สิงโตคำราม’ มากที่สุด 6 ครั้ง และยังไม่มีใครทำลายลงได้ อีกทั้งยังรั้งสถิติดาวซัลโวสูงสุดในทีมชาติเป็นอันดับ 4 ด้วยจำนวน 44 ประตูด้วย
ช่วงหวานปนขมในฟุตบอลโลก
การแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 1966 กลายเป็นทัวร์นาเม้นต์ที่หวานปนขมสำหรับ กรีฟส์ มากที่สุดในอาชีพ เนื่องจากเขาที่โชว์ฟอร์มเด่นตั้งแต่เกมแรกกับทีมชาติ กลับได้รับบาดเจ็บหนักบริเวณหน้าแข้งจนต้องเย็บ 14 เข็มในเกมนัดสุดท้ายของรอบแบ่งกลุ่มพบ ฝรั่งเศส และถูกแทนที่ด้วย เจฟฟ์ เฮิร์ตส์ ที่จะลงเล่นแทนตำแหน่งตัวจริงของเขายาวไปจนถึงนัดชิงชนะเลิศ
แม้ ดาวเตะจาก สเปอร์ส จะฟิตพร้อมลงเล่นในเกมนัดสำคัญ แต่ อัลฟ์ แรมซี่ย์ กุนซือ สิงโตคำราม ก็ตัดชื่อเขาออกไปในนัดชิงชนะเลิศพบ เยอรมันตะวันตก ทำให้เขาอดรับเหรียญรางวัล และกลายจุดเริ่มต้นให้เขาเริ่มติดสุราอย่างหนักจนส่งกระทบต่ออาชีพค้าแข้งในเวลาต่อมา
กว่าที่เขาจะได้รางวัลนี้จริงๆก็ต้องรอจนถึงปี 2009 หลังเอฟเอมีการรณรงค์เรียกร้องอย่างยาวนานให้ ฟีฟ่า มอบเหรียญแชมป์ให้กับนักเตะชุดนั้นทั้งหมด