สดุดี ‘แดร์ บอมเบอร์’ : 10 ช่วงเวลาสุดน่าจดจำของ แกร์ด มุลเลอร์

แกร์ด มุลเลอร์ 

วงการลูกหนังต้องพบกับข่าวเศร้า หลัง แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานดาวยิงทีมชาติเยอรมัน และ บาเยิร์น เสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 15 สิงหาคมในวัย 75 ปี หลังต้องต่อสู้กับอาการป่วยอัลไซเมอร์มาเป็นเวลานาน

เจ้าของฉายา ‘แดร์ บอมเบอร์’ ถือเป็นกองหน้าเบอร์ต้นๆของโลกในปลายยุค 60-70 ที่ประสบความสำเร็จทั้งในระดับทีมชาติและสโมสร โดยมีส่วนนำทัพ “อินทรีเหล็ก” คว้าแชมป์โลกปี 1974 และแชมป์ยูโร 1972 รวมไปถึงกับ เสือใต้ ที่ซิวแชมป์บุนเดสลีก้า 4 สมัย, เดเอฟเบ โพคาล 4 สมัย, ยูโรเปี้ยน คัพ 3 สมัย และคัพ วินเนอร์ส คัพ 1 สมัย

เพื่อระลึกถึงอีกหนึ่งตำนานวงการลูกหนัง UFA ARENA จึงแนะนำช่วงเวลาที่น่าจดจำของ อดีตดาวยิงเมืองเบียร์ ผู้สร้างสถิติและผลงานยอดเยี่ยมมากมายตลอด 18 ปีในอาชีพค้าแข้งผ่านบทความชิ้นนี้

 

เนิร์ดลิงเก้น สู่ บาเยิร์น

คงไม่ผิดนักหากจะพูดว่าจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ บาเยิร์น มิวนิค เริ่มขึ้นตั้งแต่ที่ แกรด์ มุลเลอร์ ย้ายมาค้าแข้งกับพวกเขาในปี 1964 หลังระเบิดฟอร์มกดไป 51 ลูกจาก 31 นัดให้กับการเล่นให้ เทเอสเฟา เนิร์ดลิงเก้น สโมสรบ้านเกิดในลีกระดับล่าง

ณ ตอนนั้นเอง กองหน้าดาวรุ่ง ได้รับความสนใจจาก 1860 มิวนิค สโมสรคู่อริร่วมเมืองเช่นกัน แต่ วอลเตอร์ เฟมเบ็ค ผู้จัดการทั่วไปของ เสือใต้ ก็เดินเกมไวโน้มน้าวให้เจ้าตัวเลือกย้ายมาเล่นกับ ‘เสือใต้’ ได้สำเร็จ

 

พาพี่เสือเลื่อนชั้น

“ไอ้อ้วนเตี้ยมุลเลอร์” คือคำที่ ซลัตโก้ คาจคอฟสกี้ เฮดโค้ชของ บาเยิร์น มิวนิค เรียกหอกดาวรุ่งวัย 18 ปีที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมในปี 1964 หลังไม่ปลื้มกับผลงานช่วงแรกเท่าไหร่จนถูกจับเป็นตัวสำรอง รวมไปถึงเขายังโดนรุ่นพี่ในทีมรับน้องสุดแปลกด้วยการไม่พูดด้วยนานกว่า 2 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม ภายใต้การดูแลของ กุนซือชาวยูโกสลาเวีย มุลเลอร์ ก็ยกระดับฝีเท้าของตนเองขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด จนกลายเป็นตัวหลักในชุดใหญ่ พร้อมช่วยให้ ‘เสือใต้’ เลื่อนชั้นไปเล่นในบุนเดสลีก้าครั้งแรกในปี 1965 พร้อมซัดไป 8 ตุงในรอบเพลย์ออฟด้วย

 

แชมป์แรกในอาชีพ

หลังเลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดเมืองเบียร์ได้ปีเดียว เจ้าของฉายา ‘แดร์ บอมเบอร์’ ก็คว้าแชมป์แรกกับ บาเยิร์น ได้สำเร็จในฤดูกาล 1965-66 กับ แชมป์เดเอฟเบ โพคาล โดยเป็นดาวเด่นของรายการหลังซัดไป 7 ลูกจาก 8 เกม

ฤดูกาลต่อมา ยอดทีมจาก มิวนิค ได้สิทธิ์ไปเล่นในศึก ยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ ในฐานะแชมป์บอลถ้วยของ เยอรมัน และเป็นกองหน้าคนนี้ที่ช่วยให้ทีมคว้าโทรฟี่ระดับทวีปได้เป็นครั้งแรกในปี 1967

 

บัลลงดอร์ที่คู่ควร

ดูเหมือนว่ายิ่งลงเล่นมากเท่าไหร่ มุลเลอร์ ก็ยิ่งพีกขึ้นเรื่อยๆ หลังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวบุนเดสลีก้า ในปี 1967 ด้วยจำนวน 28 ประตู พร้อมคว้ารางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ เยอรมัน ด้วย ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมา เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก พ่วงด้วยรางวัลรองเท้าทองคำเป็นสมัยที่ 2 

แม้พลาดแชมป์ลีกในฤดูกาล 1969-70 แต่ดาวยิงเมืองเบียร์ ก็ฟอร์มร้อนแรงเกินใคร ด้วยการกดไป 38 ตุงในลีก คว้าดาวซัลโวไปครองเป็นหนที่ 3 บวกกับการพา เยอรมันตะวันตก คว้าอันดับ 3 ในฟุตบอลโลกช่วงซัมเมอร์ปีนั้น ทำให้เขากลายเป็นนักเตะชาวเยอรมันคนแรกที่คว้าบัลลงดอร์ไปครอง

 

โคตรสถิติในลีกเบียร์

สถิติด้านการทำประตูคือสิ่งที่ ดาวยิงตำนานของ บาเยิร์น มิวนิค ทำได้เป็นกอบเป็นกำตลอดอาชีพค้าแข้ง และหนึ่งในสถิติที่โดดเด่นที่สุดคงหนีไม่พ้นการซัด 40 ประตูในบุนเดสลีก้าในฤดูกาลเดียว เมื่อฤดูกาล 1970-71 พร้อมช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 2 

สถิติของ ‘ไอ้ลูกระเบิด’ อยู่ยงคงกระพันมานานเกือบ 50 ปี ก่อนจะถูก โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ดาวยิงรุ่นหลานในสโมสรเก่า ทำลายลงด้วยจำนวน 41 ประตู เมื่อฤดูกาล 2020-21 ที่ผ่านมา

 

ปีทองกับแชมป์แรกในทีมชาติ

นอกจากเป็นเสาหลักในระดับสโมสรร่วมกับ เซปป์ ไมเออร์ และ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ แล้ว มุลเลอร์ ยังเป็นกำลังสำคัญในทีมชาติเยอรมันตะวันตกด้วย และระเบิดฟอร์มเด่นในศึกชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปในปี 1972

อดีตดาวรุ่งจาก เนิร์ดลิงเก้น กด 2 ประตูในรอบรองชนะเลิศที่ดวลกับ เบลเยี่ยม เจ้าภาพ ก่อนซัดในเกมนัดชิงที่พบกับ สหภาพโซเวียต ช่วยให้ ‘อินทรีเหล็ก’ คว้าแชมป์ยูโรมาครองเป็นครั้งแรก

อีกทั้งปี 1972 ยังเป็นปีทองของ ดาวเตะ ‘เสือใต้’ แบบไม่มีใครเทียบได้ หลังซัดไปทั้งหมด 85 ประตูทั้งในระดับสโมสรหรือทีมชาติตลอดปีนั้น และต้องใช้เวลานาน 40 ปี ถึงถูกทำลายสถิตินี้ด้วย 92 ประตูของ ลิโอเนล เมสซี่ ในปี 2012

 

เจ้ายุโรป 3 สมัยซ้อน

หลังจาก บาเยิร์น คว้าแชมป์บุนเดสลีก้าเป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันในปี 1974 ‘แดร์ บอมเบอร์’ ที่คว้าตำแหน่งดาวซัลโวลีกเมืองเบียร์ตลอด 3 ปีนั้น ก็ต่อยอดความสำเร็จขึ้นไปอีกขั้นกับฟุตบอลยุโรปถ้วยใหญ่อย่าง ยูโรเปี้ยน คัพ

หอกทีมชาติเยอรมัน พา เสือใต้คว้าแชมป์ยุโรปหนแรกด้วยการเอาชนะ แอตเลติโก้ มาดริด ในนัดชิงรอบรีเพลย์ปี 1974 และกลายเป็นเบอร์หนึ่งของทวีปด้วยการคว้าแชมป์นี้อีก 2 หนใน 2 ฤดูกาลต่อมา

 

แชมป์โลกที่รอคอย

หลังจากคว้าแชมป์มาแล้วทุกรายการทั้งในระดับสโมสร มุลเลอร์ เหลือแค่ฟุตบอลโลก โทรฟี่ใบเดียวเท่านั้นในทีมชาติที่เขายังไม่เคยสัมผัส และท้ายที่สุดเขาก็คว้ามาครองได้สำเร็จในปี 1974

แม้ยิงแค่ 3 ลูกตลอดทั้งทัวร์นาเม้นต์ที่ชาติของพวกเขาเป็นเจ้าภาพ แต่ทั้งหมดก็เป็นลูกสำคัญที่ ‘แดร์ บอมเบอร์’ ทำได้ โดยเฉพาะในนัดชิงที่เฉือนชนะ เนเธอร์แลนด์ 2-1 ที่เป็นกดประตูชัยให้ ‘อินทรีเหล็ก’ เป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 

 

ถึงวันบอกลา

ต่อให้เป็นตำนานพาทีมประสบความสำเร็จมากแค่ไหน สักวันหนึ่งก็ถึงเวลาต้องบอกลา และเคสของ อดีตดาวยิงจาก เนิร์ดลิงเก้น ก็เช่นกัน ที่ปิดฉาก 15 ปีกับ บาเยิร์น มิวนิค หลังจบฤดูกาล 1978-79 และลาทีมด้วยผลงาน 365 ประตูจาก 427 นัดในทุกรายการ

ช่วงบั้นปลาย เจ้าตัวย้ายไปเล่นกับ ฟอร์ท เลาเดอร์เดล สไตรเกอร์ส ทีมในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 3 ปี ก่อนปิดฉากอาชีพค้าแข้งอย่างเป็นทางการในปี 1981 ด้วยวัย 36 ปี

 

‘แดร์ บอมเบอร์’ คืนถิ่น

มุลเลอร์ ยังอาศัยอยู่ในอเมริกาอีกหลายปีหลังแขวนสตั๊ด พร้อมกับเปิดร้านสเต็กด้วย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีปัญหาติดสุราอย่างหนัก จนมีความสัมพันธ์กับครอบครัวย่ำแย่จากพฤติกรรมดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม เขาก็ก้าวข้ามผ่านมันไปได้ด้วยการช่วยเหลือจากเพื่อนเก่า 2 รายอย่าง อูลี่ เออร์เนส และ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ที่แนะนำให้เข้ารับการบำบัดอย่างจริงจัง ก่อนดึงกลับมา บาเยิร์น มิวนิค อีกครั้งในปี 1992 กับบทบาทโค้ชทีมสำรอง และทำหน้าที่นี้เรื่อยมา จนกระทั่งก้าวลงจากตำแหน่งในปี 2014 เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ

 

บทความที่เกี่ยวข้อง มุลเลอร์

ต้อนรับ
ช่างสรรหา : 10 การต้อนรับแข้งใหม่สุดแปลก