จาก R9 ถึง CR7 : วิวัฒนาการ ‘เมอร์คิวเรียล’ สตั๊ดขวัญใจสายสปีด

 

หนึ่งในรองเท้าฟุตบอลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในวงการลูกหนังศตวรรษที่ 21 ย่อมมีชื่อของ Nike รุ่น Mercurial อยู่ในใจของใครหลาย ๆ คนอย่างแน่นอน

 

นี่เป็นรองเท้าที่มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นชัดเจนในด้านการเพิ่มความเร็วของผู้เล่น และ ปัจจุบัน ผู้ผลิดอุปกรณ์กีฬาชื่อก้องโลกจากอเมริกา ก็ยังคิดค้นวิจัยเพื่อพัฒนารองเท้ารุ่นนี้ให้มียอดเยี่ยมขึ้นไปอีกขั้นทั้งในด้านความเร็วที่เป็นตัวชูโรงหลัก และด้านอื่น ๆ ที่พัฒนาไปพร้อม ๆ กันจากเทคโนโลยีในยุคนี้

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีดาวเตะเจ้าความเร็วมากมายที่สวมใส่รองเท้าคู่นี้ ไม่ว่าจะเป็น โรนัลโด้, เธียร์รี่ อองรี และ พรีเซนเตอร์คนปัจจุบันอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ยังคงใช้สตั๊ดรุ่น Mercurial นานนับ 10 ปี 

 

ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จึงพอทุกท่านย้อนไปชมวิวัฒนาการของรองเท้าขวัญแข้งสายความเร็วว่าเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนบ้างตลอด 2 ทศวรรศที่ผ่านมาในวงการลูกหนัง

 

 

Nike Mercurial | 1998

 

 

รองเท้าประจำตัวของ โรนัลโด้ ที่หลายคนสังเกตุสตั๊ดสีเงิน-น้ำเงินเป็นครั้งแรกในนัดชิงฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ดาวยิงทีมชาติบราซิล นำมาผูกคล้องคอร่วมกับเหรียญเงิน หลังทีมของเขาพ่าย ฝรั่งเศส ไปแบบหมดรูปในวันนั้น

 

เดิมทีรองเท้าเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่ออัปเดตในรุ่น Tiempo และปุ่มสตั๊ดแบบใหม่ในยุคนั้นก็ทำให้ รอนนี่ รวดเร็วยิ่งกว่าเดิมในสนาม มีพื้นรองเท้าที่บางกว่าเดิม พร้อมใช้วัสดุสังเคราะห์ KNG-100 บริเวณด้านบนของรองเท้า และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของสตั๊ดตำนานอีกคู่ในวงการฟุตบอล

 

 

Nike Match Mercurial | 2000

 

 

ช่วงก่อนยูโร 2000 Mercurial ได้รับการปรับแต่ง โดยเปลี่ยนมาใช้สีทองแดงทั่วรองเท้า และเป็นส่วนหนึ่งของ “the Alpha Project era” โปรเจ็คพัฒนารองเท้าของ Nike ร่วมกับ Mercurial R9, Air Zoom Italia, Match Mercurial, และ Air Zoom Mercurial

 

ที่โดดเด่นที่สุดที่แตกต่างจากรุ่นก่อนนี้ คือบริเวณส้นของรองเท้าที่พัฒนาให้มีความหนาขึ้น และหลังจากนี้รองเท้าหลายรุ่นก็มีการออกแบบเพื่อป้องกันส้นเท้าของผู้เล่นตามออกมา

 

 

Nike Mercurial Vapor | 2002

 

 

รุ่น Vapor มีการปรับปรุ่งจากรุ่นก่อนไปพอสมควร หลัง Nike ต้องการรองเท้าที่มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร ด้วยการใช้ไฟเบอร์-กลาส เป็นวัสดุผลิตรองเท้าแทนที่หนัง ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบาย แต่ยังคงไว้ซึ่งความเบาและความเร็วของรุ่นก่อนหน้า

 

รุ่นนี้มาหลากหลายสีให้เลือกสรรค์  ทั้งสีดำ, ทองแดง แต่สีเงิน/แดง คือรุ่นที่ไดรับความนิยมกว่าใคร ขณะที่ R9 ขาประจำของรองเท้ารุ่นนี้ ก็เลือกใช้สี เงิน/โวลต์ (สีเหลืออมเขียว) พาทีมชาติบราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2002

 

 

Nike Mercurial Vapor II | 2004

 

 

ภาพรวมของ Vapor II ก็ยังใกล้เคียงกับรุ่นเมื่อ 2 ปีก่อน ซึ่งมีน้ำหนักเบาเท่ากัน แต่ปรับปรุงด้านความสะดวกสบายในการสวมใส่, ดีไซน์และลวดลายที่ดูมีมิติมากขึ้นกว่าเดิม

 

ซลาตัน อิบราโมวิช และ หลุยส์ ฟิโก้ สวมใส่รองเท้ารุ่นนี้สีทองในศึกยูโร 2004 ขณะที่ เธียรร์รี่ อองรี เลือกสวมคู่สีแดง และ สีน้ำเงิน ขึ้นอยู่กับว่า อาร์เซน่อล ลงเล่นในเกมเหย้า หรือ เกมเยือน กับฤดูกาลที่ ปืนใหญ่ คว้าแชมป์ลีกแบบไร้พ่าย

 

 

Nike Mercurial Vapor III | 2006

 

 

ด้วยไมโครไฟเบอร์ของ Teijin และการปรับโครงเท้า เปลี่ยนรูปลักษณ์บริเวณส้นขึ้นใหม่ และพื้นรองเท้า 2 ชิ้น พร้อมปุ่มสตั๊ดที่เชื่อมกัน ทำให้ Vapor รุ่นที่ 3 เป็นการพัฒนาอีกระดับ แม้ดีไซน์โดยรวมไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักก็ตาม

 

บริเวณส้นเท้ามีการใช้สีที่แตกต่างจากตัวรองเท้า โดย โรนัลโด้ เจ้าเก่า ก็ใช้รองเท้ารุ่นนี้ที่มีลวดลายเป็นธงชาติบราซิล ในศึกฟุตบอลโลกปี 2006 แต่สีเขา/ทอง ก็ยังสีที่คลาสสิคที่สุดในรุ่นดีอยู่ดี

 

 

Nike Mercurial Vapor IV | 2008

 

 

ในปี 2008 Nike ได้โยกโลโก้ วางไว้เหนือปลายเท้าเล็กน้อยเพื่อให้รูปลักษณ์ที่โดดเด่นกว่าที่เคย สำหรับ Vapor อีกทั้งรองเท้ารุ่นนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของ Nike ที่มุ่งมั่นในการเปลี่ยนรูปลักษณ์และความรู้สึกของ รองเท้าสตั๊ดระดับไอคอนของ บริษัท ณ เวลานั้น

  

รุ่นนี้มีสีแสบ ๆ ที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อนให้เลือกใช้ ทั้งสีชมพู หรือ สีมะนาว และการใช้ไฟเบอร์กลาส เป็นวัสดุผลิดโครงรองเท้า ก็ทำให้ Nike สามารถสร้างรองเท้าที่รวดเร็วขึ้น, น้ำหนักเบากว่า, โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนที่เคยมีมาเลย

 

 

Nike Mercurial Vapor Superfly | 2009

 

 

รุ่นนี้ที่แหวกแนวกว่า Vapor จนทำให้ต้องใช้ชื่อใหม่เป็น Superfly แทน โดยรองเท้ารุ่นนี้ได้หลอมรวมผิวภายนอกของ Teijin ที่บางเป็นพิเศษและด้าย Flywire ซึ่งทำให้รองเท้ามีลักษณะหยืดหยุ่นกว่าเดิม

 

ด้วยน้ำหนักร้องเท้าที่เบาบางขึ้นจาการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ อีกทั้งยังมีพื้นรองเท้าชั้นนอกทำจากคาร์บอนทับซ้อนกัน 7 ชั้นด้วย เพิ่มแข็งแกร่งกว่าที่เคย แม้หลายคนจะบอกว่ามันดูเบาบางมากก็ตามที

 

 

Nike Mercurial Vapor Superfly II | 2010

 

 

จากโฆษณา ‘Write the Future’ ของ Nike น่าจะเป็นครั้งแรกที่ใคร ๆ หลายคนได้เห็น คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สวมรองเท้า Superfly รุ่น 2 ก่อนเปิดตัวฟุตบอลโลกในปี 2010

 

Vapor เวอร์ชัน 2010 มีการเปลี่ยนแปลงทั้งสีรองเท้า, การออกแบบส้นเท้าใหม่และเทคโนโลยี NIKE SENSE แถมปุ่มสตั๊ดยังขยายและหดได้อีกเป็นมิลลิเมตรตามแรงกดและสภาพพื้นดิน

 

 

Nike Mercurial Vapor Superfly III | 2011

 

 

ในปี 2011 Nike ได้เข็น Superfly ออกมาอีกรุ่น โดยครั้งนี้มีการเปลี่ยนปุ่มสตั๊ดเป็นแบบใบมีด 3 ทิศทาง เพื่อช่วยให้ผู้เล่นสามารถเปลี่ยนทิศทางการวิ่งได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีการเพิ่มสีสันใหม่ในรองเท้าให้ดูแสบตายิ่งกว่ารุ่นก่อนด้วย ขณะที่ส่วนบนรองเท้าก็เพิ่มความคล่องตัวมากกว่าเดิม

 

อย่างไรก็ตาม รองเท้ารุ่นนี้ก็ไม่ช่วยให้ ธีโอ วัลค็อตต์ ทำผลงานกับ อาร์เซน่อล ได้ดีตลอดรอดฝั่งในฤดูกาล 2010-11

 

 

Nike Mercurial Vapor VIII | 2012

 

 

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงของ Nike ที่มีการปรับให้ปลายเท้ารองเท้าต่ำกว่ารุ่นก่อน มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนหนัง นอกจากนี้ยังมีพื้นรองเท้าชั้นนอกแบบใหม่ซึ่งสร้างจากไฟเบอร์กลาสที่ยืดหยุ่นได้ด้วย

 

 

 Nike Mercurial Vapor IX | 2013

 

 

Nike เป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างบางสิ่งที่ดูคล้ายกันมากในขณะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากภายในตัวผลิตภัณฑ์ ปุ่มสตั๊ดถูกปรับเปลี่ยนใหม่ พร้อมด้วยเทคโนโลยี All Conditions Control (ACC) ที่ช่วยให้ผู้เล่นสวมใส่รองเท้าได้มั่นคง แม้ในสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจ

 

 

Nike Mercurial Vapor Superfly IV | 2014

 

 

สีมะม่วงส้มกลับมาอีกครั้งกับ Nike พร้อมด้วยชื่อรุ่นอย่าง Superfly ขณะที่ผู้ผลิตใช้ผ้าถักแบบสามเส้นใหม่เป็นวัสดุในชิ้นนี้

 

นีคือ Mercurial รุ่นที่สายเล็ก ๆ เหล่านั้นตั้งแต่เชือกรองเท้าไปจนถึงพื้นรองเท้า อีกทั้งยังเป็นรุ่นแรกที่มี Dynamic Fit Collar หรือที่หุ้มข้อเท้า ซึ่งจะโอบรัดแนบเข้ากับข้อเท้าผู้สวมใส่อย่างพอดิบพอดี 

 

 

Nike Mercurial Vapor X | 2015

 

 

Vapor รุ่นที่ 10 ดูแตกต่างจากการออกแบบรุ่นอื่น ๆ เนื่องจากมีรูปลักษณ์เหมือนกับ Vapor รุ่นแรกเลย แต่แน่นอนว่าย่อมดีกว่ารุ่นนั้นหลายขุม จากเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในปี 2015

 

นอกจากนี้ Nike ยังได้หยิบยืม พื้นร้องเท้าที่ใช้ใน Hypervenom มาใช้กับ Vapor X และนำเสนอระบบไร้ลิ้นรองเท้า แต่มีวัสดุที่ยืดหยุ่นเพื่อให้รองเท้ามีน้ำหนักเบามากที่สุด

 

 

Nike Mercurial Vapor 11 | 2016

 

 

ปี 2016 นี่เองที Nike ได้สร้าง Mercurial แบบที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน โดยนำ Superfly รุ่นยอดนิยมมาพร้อมกับเทคโนโลยี flywire เพื่อลดน้ำหนักของรองเท้า และชั้นสังเคราะห์เพื่อการปกป้องที่เพิ่มขึ้น โดยวางจำหน่ายทั้งในรุ่นที่หุ่มข้อเท้า และ แบบ Low-Cut ทั่วไป แถมมีน้ำหนักแค่ 167 กรัมเท่านั้น

 

ที่โดดเด่นอีกอย่างคือลวดลายแนวนอนบริเวณทั่วรองเท้า เพื่อรองรับลูกบอลได้ดีกว่ารุ่นก่อน ๆ นี่เป็นปีที่ CR7 ใช้รองเท้ารุ่นนี้ และคว้าแชมป์ยูโรกับทีมชาติโปรตุเกส ได้ในซัมเมอร์ปีนั้นเช่นกัน

 

 

Nike Mercurial Vapor 360 | 2018

 

 

รุ่นฉลองครบรอบ 20 ปีนี้ถูกปล่อยมาในช่วงฟุตบอลโลกปี 2018 :ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการลดน้ำหนักของรองเท้าลงมาอีกเพื่อให้ผู้ใช้เร็วขึ้นกว่าเดิม และสามารถใส่ได้อย่างกระชับและระบายอากาศได้ดีกว่าที่เคยเป็นมา 

 

ที่สำคัญ Nike ได้แรงบันดาลใจจากอุ้งเท้าของเสือชีตาร์ สามารถเคลื่อนไหวแบบใช้ความเร็วได้รอบทิศทาง โดยการเชื่อม Soleplate และแผ่นพื้นเข้าด้วยกันเป็นชิ้นเดียว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขึ้นไปอีก นอกจากจะวิ่งเร็วขึ้นแล้วยังสามารถหยุดกระทันและเปลี่ยนทิศทางให้ดีขึ้นได้อีกด้วย 

 

 

Nike Mercurial Vapor 12 | 2019

 

 

Mercurial กลับมาในอีกหนึ่งปีต่อมาพร้อมกับการตกแต่งเพิ่มเติมลวดลายในรูปแบบกราฟิก มีการปรับปรุงส่วนบนรองเท้าและแผ่นรองด้วย ซึ่งการออกแบบนี้ได้รับความนิยมอย่างมากจากผู้เล่นทั่วโลก

 

อีกทั้งมีการเปลี่ยนจากหนังสังเคราะห์ Teijin ในรุ่นที่แล้วมาเป็นผ้าถัก Flyknit รอบตัวรองเท้า ซึ่งบางกว่าอัพเปอร์ Flyknit ในรองเท้าทุกรุ่นของ Nike ที่ผ่านมา และมีลูกเล่นเป็นครีบเล็กๆบางๆอยู่บนผิวสัมผัสเพื่อช่วยในการควบคุมบอล 

 

 

Nike Mercurial Vapor 13 | 2020

 

 

โลโก้ Nike บริเวณปลายรองเท้าถูกตัดทิ้งไป แต่นี่ก็ยังเป็นการออกแบบที่สวยงามไม่แพ้รุ่นก่อน พร้อมทั้งมีการปล่อยสีต่าง ๆ มากเลือกสรรค์กันแบบจุใจ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Safari, รุ่นพิเศษของ โรนัลโด้ หรือแม้แต่ลายธงชาติเกาหลีใต้

 

นอกจากนี้ ยังมีแผ่นรองอเนกประสงค์สำหรับพื้นสนามหลายประเภทพร้อมโซน Nike Aerotrak ที่ปลายเท้าช่วยยึดเกาะพื้นผิวหญ้าธรรมชาติและหญ้าเทียม

 

 

Nike Mercurial Vapor 14 | 2021

 

 

และแล้วก็เดินทางมาถึงรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Mercurial Vapor 14 ด้วยเทคโนโลยี Flyknit ของ NIke ทำให้คุณรู้สึกสบายเท้าไม่อึดอัดยามสวมใส่ แถมมีน้ำหนักที่เบา ก้าวเท้าวิ่งไปแบบไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเลยทีเดียว

 

เทคโลโลยี Aerotrak กลับมาในรุ่นนี้อีกครั้ง เพื่อช่วยการระเบิดพลังเร่งความเร็ว มีส่วนประกอบสไตล์มินิมอลเพื่อความเร็วสูงสุด และปุ่มสตั๊ดทรงเชฟรอนให้การยึดเกาะหลายทิศทางในทุกย่างก้าว