ไม่ได้มีดีแค่ นอยเออร์ : ตามหา 11 แข้งชาลเก้ชุดแชมป์เดเอฟเบ โพคาล ปี 2011 

 

มานูเอล นอยเออร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งทีมชาติเยอรมัน และ บาเยิร์น มิวนิค ก้าวเข้าสู่วัย 34 ปี อย่างเต็มตัว หลังจากเพิ่งครบวันเกิดไปเมื่อวันที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา

 

นายทวารเสือใต้ประสบความสำเร็จกับ เสือใต้ มากมาย และคว้าแชมป์มาครองได้หลากหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็น บุนเดสลีก้า, เดเอฟเบ โพคาล หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เช่นเดียวกับในทัพอินทรีเหล็กที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์โลกในปี 2014

 

แต่ว่าแชมป์แรกของ นอยเออร์ ในฐานะนักเตะอาชีพเกิดขึ้นสมัยที่เขาเฝ้าเสาให้กับ ชาลเก้ 04 สโมสรที่เขาเติบโตและเรียนรู้วิชาลูกหนังมาตั้งแต่เป็นเยาวชน โดยโทรฟี่นั้นก็คือ เดเอฟเบ โพคาล ในปี 2011 ที่เอาชนะ ดุ๊ยส์บวร์ก 5-0 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของเขากับทีมก่อนจะย้ายไปเล่นให้ยอดทีมแคว้นบาวาเรีย (ไม่นับเดเอฟเบ ลีกาโพคาล ที่ถูกยุบไปในปี 2007)

 

และ ต้องบอกว่าไม่ได้มีแค่ นอยเออร์ ที่โดดเด่นอยู่คนเดียวในทีมราชันสีน้ำเงินฤดูกาลนั้น ไม่ว่าจะเป็น ราล์ฟ รังนิก ที่นอกคว้าแชมป์บอลถ้วย ยังพาทีมทะลุรอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีก หรือ เพี่อนร่วมทีมคนอื่นๆที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมในวันนั้น 

 

เพราะฉะนั้น UFA ARENA ขอพาทุกท่านย้อนไปดูทีมราชันสีน้ำเงินชุดแชมป์บอลถ้วยเมืองเบียร์เมื่อ 9 ปีก่อน รวมถึงชีวิตในปัจจุบันว่าเป็นอย่างไรบ้าง

 

 

มานูเอล นอยเออร์

 

 

ย้อนกลับในปี 2011 นอยเออร์ในวัย 25 ปี ได้กลายเป็นกัปตันทีมของชาลเก้อย่างเต็มตัวในฤดูกาลนั้น หลังขึ้นมาเล่นชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในปี 2006 น่าเศร้าที่มันกลายเป็นปีสุดท้ายของเขากับสโมสร ณ เมืองเกลเซนเคียร์เชิน

 

แต่ในนัดสุดท้าย นอยเออร์ ก็ช่วยให้ราชันสีน้ำเงินคว้าแชมป์บอลถ้วยได้ครั้งแรกในรอบ 10 ปี ก่อนจะย้ายอยู่บาเยิร์น มิวนิค และคว้าแชมป์ทุกรายการที่ลงเล่น ไม่ว่าจะในระดับสโมสรหรือทีมชาติ เหลือเพียง ถ้วยยูโร เท่านั้นที่เขายังไม่มีโอกาสได้สัมผัส

 

 

เบเนดิคท์ โฮเวเดส

 

 

โฮเวเดส เป็นกองหลังที่มีทั้งคุณภาพและความสารพัดประโยชน์จนกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยได้ โดยในนัดชิงวันนั้น เขาเป็นผู้โหม่งจ่อๆทำประตูที่ 3 ให้กับทีม

 

ปราการหลังวัย 32 ปี อยู่กับต่อไปอีกหลายปี ก่อนจะย้ายไปเล่นให้กับ ยูเวนตส แบบยืมตัวในฤดูกาล 2017-18 และลาบ้านเกิดไปค้าแข้งกับ โลโคโมทีฟ มอสโก ในเวลาต่อมา

 

 

คีเรียกอส ปาปาโดปูลอส

 

 

แนวรับชื่อยาวชาวกรีก ลงเล่นในเกมนัดชิงวันนั้นขณะที่มีอายุเพียง 18 ปีเท่านั้น และการที่เขาถูกดันมาเล่นในฟุตบอลอาชีพตั้งแต่อายุ 15 ปี ย่อมหมายความว่าเขาจะกลายเป็นดาวดวงใหม่ในวงการลูกหนังได้แน่

 

แต่อาการบาดเจ็บที่รบกวน ทำให้ ปาปาโดปูลอส ไปได้ไม่สุดทาง และนับตั้งแต่ลา ชาลเก้ เขาก็วนเวียนอยู่เล่นให้หลายทีมในบุนเดสลีก้า ก่อนจะกลับมาลงตัวอีกครั้งกับ แอร์เบ ไลป์ซิก ชุดพลังหนุ่มในฤดูกาลนี้

 

 

คริสตอฟ เม็ตเซลเดอร์

 

 

ในส่วนของ คริสตอฟ เม็ตเซลเดอร์ แตกต่างจาก ปาปาโดปูลอส ตรงที่ในปีนั้นกลายเป็นปีสุดท้ายของเขาในอาชีพค้าแข้ง หลังจากโดน เรอัล มาดริด เขี่ยออกจากทีม เนื่องด้วยวัยและอาการบาดเจ็บ

 

แต่ว่าในฤดูกาลสุดท้าย กลับกลายเป็นหนึ่งในปีที่ เม็ตเซลเดอร์ โดดเด่นที่สุดในอาชีพค้าแข้ง เขาประสานงานกับ กองหลังรุ่นน้องได้อย่างยอดเยี่ยมลงตัว จนพาราชันสีน้ำเงินคว้าแชมป์ได้ในบั้นปลาย

    

 

ฮานส์ ซาพาย

 

 

แนวรับชาวกาน่า-เยอรมัน ได้ร่อนเร่พเนจรค้าแข้งไปในทั่วในลีกเมืองเบียร์ตั้งแต่ช่วยปลายยุค 1990s ก่อนจะย้ายมาเล่นในช่วงท้ายๆอาชีพค้าแข้งกับ ชาลเก้ โดยก่อนหน้านี้เคยเล่นกับ ดุ๊ยสบวร์ก คู่แข่งในนัดชิงด้วย

 

แม้ส่วนใหญ่เขาจะไม่ได้ลงเป็นตัวหลักของ ราชันสีน้ำเงิน แต่แนวรับมากประสบการณ์ก็ได้ลงเป็นตัวจริงในนัดชิงปี 2011 พร้อมกับค้าแข้งต่อไปอีกหนึ่งฤดูกาล ก่อนจะแขวนสตั๊ดด้วยวัย 36 ปี

 

 

เจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน

 

 

ช่วงเวลากับ ชาลเก้ เป็นช่วงที่ เจฟเฟอร์สัน ฟาร์ฟาน โดดเด่นที่สุดในฐานะนักเตะอาชีพ โดยเฉพาะในนัดชิงที่ ปีกชาวเปรู เป็นจุดเริ่มต้นของ 3 ประตูแรกในนัดชิง ทั้งการจ่ายบอลทะลุช่องให้เพื่อนในลูกแรก, การเปิดเลียดในลูกที่ 2 และ จังหวะเตะมุมในลูกที่ 3 

 

แต่ในปี 2015 ฟาร์ฟาน ก็บอกลาทีมในเยอรมัน และย้ายไปค้าแข้งกับ อัล จาซิร่า สโมสรจากสหรัฐเอมิเรตส์ ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ โลโคโมทีฟ มอสโก เมื่อปี 2017 และเจอกับเพื่อนเก่าอย่าง เบเนดิคท์ โฮเวเดส ในปีต่อมา

 

 

เพียร์ คลูเก้อ

 

 

สำหรับตำแหน่งแดนกลางคนที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของ ชาลเก้ ชุดนั้นก็คือ เพียร์ คลูเก้อ มิดฟิดล์ตัวรับชาวเยอรมันที่คอยปัดกวาดเกมรุกคู่แข่ง ก่อนพาจะจ่ายบอลขึ้นไปให้แนวรุกของทีมสร้างสรรค์ประตู

 

น่าเสียดายที่นั่นเป็นปีเดียวที่ คลูเก้อ กลายเป็นตัวหลักของราชันสีน้ำเงิน เพราะหลังจากนั้นเขาเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับเพื่อนคนอื่นๆ ทำให้ตัดสินใจย้ายไปเล่นกับทีมในลีกรองของประเทศอย่าง แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และ อาร์มีเนีย บีเลเฟลด์ ในเวลาต่อมา

 

 

โฆเซ่ มานูเอล ฆูราโด้

 

 

ก่อนหน้านี้ โฆเซ่ มานูเอล ฆูราโด้ ไม่สามารถแจ้งเกิดในสเปนบ้านเกิดได้เลย ทั้งกับ เรอัล มาดริด หรือ แอตเลติโก้ มาดริด ทำให้ตัดสินใจย้ายออกจากแดนกระทิงมาเล่นในเยอรมันกับ ชาลเก้ เมื่อบวกกับการเข้ามาของ ราอูล กอนซาเลซ ทำให้เขาโดดเด่นอย่างมากในแดนกลาง พร้อมกับประตูที่ 4 ในนัดชิงด้วย

 

ทว่าหลังจากปี 2012 เพลย์เมกเกอร์ชาวสแปนิชก็กลายเป็นแข้งจอมพนเจรอย่างสมบูรณ์แบบที่ย้ายไปเล่นทั่วโลก ตั้งแต่ รัสเซีย, อังกฤษ, ซาอุดิอาระเบีย และ จีน ก่อนจะกลับมาเล่นในบ้านเกิดกับ คาดิซ เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา

 

 

จูเลี่ยน ดรักซ์เลอร์

 

 

ถ้าคุณคิดว่า ปาปาโดปูลอส เด็กมากแล้วในนัดชิง ขอให้ดู จูเลี่ยน แดร็กซ์เลอร์ เพราะเขาประเดิมฤดูกาลแรกกับ ชาลเก้ด้วยวัยเพียง 16 ปีเท่านั้น และกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของวงการลูกหนังเมืองเบียร์อย่างรวดเร็ว หลังยิงประตูแรกในนัดชิงได้

 

อย่างไรก็ตาม การอยู่กับ ชาลเก้ นานเกินไป และการย้ายไปเล่นผิดทีมอย่าง โวล์ฟบวร์ก ทำให้เขาไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นยอดนักเตะอย่างที่หลายคนคาดหวังไว้ได้ ก่อนจะย้ายไปอยู่ทีมใหญ่ครั้งแรกกับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในปี 2017 แต่การมาของ เนย์มาร์ หรือ คีเลี่ยน เอ็มบัปเป้  ก็ทำให้เขายังไม่ใช่แข้งตัวหลักของทีมแดนน้ำหอมได้ในตอนนี้ 

 

 

ราอูล กอนซาเลซ

 

 

ตำนานของ เรอัล มาดริด ที่อยู่เติบโตกับทีมตั้งแต่เป็นเยาวชนต้องลาถิ่น ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว แบบไม่สมเกียรตินัก หลังการเข้ามาของ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือคนใหม่ เป็นเหตุให้ต้องย้ายมาอยู่กับ ชาลเก้ ในปี 2010

 

แต่การย้ายครั้งนีี้ ทำให้กองหน้าชาวสแปนิช ถูกแฟนยกให้เป็นตำนานของราชันสีน้ำเงินในเวลาต่อมา ด้วยการทำให้ประสิทธิภาพเกมรุกของทีมแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี และเป็นส่วนสำคัญในการพาทีมเข้าชิงบอลถ้วย ก่อนจะย้ายไปเล่นในกาตาร์ปี 2012 และแขวนสตั๊ดกับ นิวยอร์ก คอสมอส ในปี 2014

 

 

คลาส แยน-ฮุนเตลาร์

 

 

หลังจากล้มเหลวไม่เป็นท่ากับ เรอัล มาดริด และ เอซี มิลาน คลาส แยน-ฮุนเตลาร์ กลายร่างกลับมาเป็น เพชรฆาตในกรอบเขตโทษอีกครั้งกับ ชาลเก้ ในฤดูกาล 2010-11 พร้อมกับซัดไป 2 ลูกในเกมนัดชิงวันนั้น 

 

มากไปกว่านั้นในปีต่อมา เดอะ ฮันเตอร์ งัดฟอร์มที่ดีที่สุดในการค้าแข้งออกมาด้วยการซัดไปถึง 48 ประตูในฤดูกาล 2011-12 แต่ลีลาการยิงประตูก็ค่อยๆลดลงตามอายุที่มากขึ้นในปีต่อๆมา จนกระทั่งปี 2017 กองหน้าชาวดัตช์ก็ย้ายกลับบ้านเกิดไปเล่นกับ อาแจ็กซ์ จนถึงปัจจุบัน