ในแต่ละฤดูกาลของวงการฟุตบอล มักมีสโมสรระดับกลางค่อนไปเล็กหรือทีมม้ามืดโผล่ขึ้นมาสร้างผลงานให้แฟนบอลได้เซอร์ไพรส์เสมอ
ไม่เพียงแต่ล้มทีมใหญ่ได้แบบเหนือความคาดหมายเท่านั้น ทีมเหล่านี้ยังสามารถผ่านเข้าไปรอบลึกในฟุตบอลยุโรปได้แบบเหนือความคาดหมาย และบางครั้งก็ถึงขั้นคว้าแชมป์บางรายการมาครองด้วย
แม้พวกเขาที่มีศักยภาพก้าวขึ้นไปทีมชั้นนำในยุโรปอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ด้วยปัจจัยมากมายทำให้ทีมที่แววรุ่งต้องแตกซะก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นอยู่บนจุดสูงสุดของตัวเองได้
และ UFA ARENA จะพาไปพบกับ 9 สโมสรกำลังพุ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่รุ่งเพราะทีมดันมาแตกเสียก่อน ผ่านบทความชิ้นนี้กัน
โมนาโก 2003-04
ช่วงปี 2016-17 แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ตีเอมูเอ้ บากาโยโก้, เบนฌาแมง เมนดี้ และ คิลิยัน เอ็มบัปเป้ สร้างชื่อให้ โมนาโก ทั้งในประเทศและเวทียุโรป พวกเขาเคยทำได้มาก่อนหน้านี้แล้วในยุคที่ทีมมี พาทริซ เอวร่า, เฟร์นานโด มอริเอนเตส, เจอโรม โรเต็น และ ลูโดวิช ชูลี่ แต่หลังจากที่พวกเขาพ่ายในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกแก่ ปอร์โต้ ของโชเซ่ มูรินโญ่ ไม่ถึงเดือน นักเตะตัวหลักทั้งหลายก็ย้ายไปทีมอื่นกันหมด
ไม่ว่าจะเป็น โรเต็น ที่ย้ายไปเปแอชเช, มอริเอนเตส ย้ายไปลิเวอร์พูล พร้อมกับคว้าแชมป์ได้ในปีนั้น ขณะที่ ชูลี่ ถูกขายให้กับ บาร์เซโลน่า ที่กลายเป็นเจ้ายุโรปในปี 2006 ทำให้โมนาโกประสบความสำเร็จสูงสุดได้แค่รองแชมป์รายการเท่านั้น ทั้งๆที่พวกเขามีศักยภาพมากพอที่จะคว้าแชมป์ในปีต่อมาด้วยซ้ำ
ในปี 2006 เอวร่า ก็บอกลาบ้านเกิดไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เช่นเดียวกับ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ก็ย้ายมา อาร์เซน่อล ในช่วงเดือนมกราคม ก่อนๆจะค่อยเป็นแค่ทีมระดับกลางในเวทียุโรปนานหลายปี
ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น 2001-02
แม้จะเป็นฤดูกาลที่น่าประทับใจ แต่น่าเสียดายที่ เลเวอร์คูเซ่น ไม่เคยได้โอกาสพิสูจน์ว่าตัวเองได้เรียนรู้ความผิดพลาดเหล่านั้นเลย หลังทำได้แค่รองแชมป์ใน บุนเดสลีก้า, เดเอฟเบ โพคาล และ แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้ง 3 รายการในปีนั้น
มิชาเอล บัลลัค คือจอมทัพและหัวใจสำคัญของทีม ‘ห้างขายยา’ ในปีนั้นอย่างแท้จริง แต่ก็เข้าสูตรเดิมเมื่อตัวเขาถูกยักษ์ใหญ่ในเยอรมัน อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ดูดตัวไปรวมทีม พร้อมกับ เซ โรแบร์โต้ ตัวหลักของเลเวอร์คูเซ่นอีกคน อีก 2 ปีต่อมาทีมก็เสียกองหลังตัวหลักอย่าง ลูซิโอ้ ให้กับ ‘เสือใต้’ อีกครั้ง และ ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ก็ย้ายไปสเปอร์ส ในปี 2006 ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถกลับมาอยู่ในจุดที่เคยอยู่ได้เลย
อาแจ็กซ์ 2003-04
แชมป์ยุโรป 4 สมัยอย่าง อาแจ็กซ์ ได้รับการจับตามองอีกครั้งในฤดูกาล 2003-04 และถูกมองว่ามีโอกาสเจริญตามรุ่นพี่คว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกในปี 1995 ได้ไม่น้อย โดยในทีมมีแข้งพรสวรรค์สูงมากมายทั้ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, เวสลีย์ ชไนเดอร์, ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท, ยารี่ ลิตมาเน่น, ไนเจล เดอ ยอง, โธมัส แฟร์มาเล่น, แม็กซ์เวลล์ หรือ ฮาเต็ม ทราเบซี่ และที่สำคัญช่วงนั้นยังไม่ถึงช่วงพีคของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
แต่ทันทีที่หัวหอกชาวสวีดิชย้ายไป ยูเวนตุส ในซัมเมอร์ต่อมา ก็กลายเป็นสัญญาณทีมก็กระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็วในปีต่อๆมา เช่น ชไนเดอร์ ที่ย้ายไปดับกับ เรอัล มาดริด ในปี 2007 และเหลือแค่ แฟร์มาเล่น เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในฮอลแลนด์ ต่อไป
ดินาโม เคียฟ 1998-99
ยอดสโมสรจาก ยูเครน ทำให้แฟนบอลทั่วยุโรปตกตะลึงหลังเขี่ย เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และ อาร์เซน่อล ตกรอบไปได้ในแชมเปี้ยนส์ลีกปี 1998-99 ก่อนจะพ่ายให้กับบาเยิร์น มิวนิค ในรอบตัดเชือกด้วยสกอร์รวม 4-3
คงจะตื่นเต้นไม่น้อยหาก เคียฟ ฝ่าด่านเสื้อใต้และเข้าไปชิงกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ในปีนั้น ด้วยคู่ขาแดนหน้าในทีมอย่าง เซอร์เก้ เรบรอฟ และ อังเดร เชฟเชนโก้ พวกเขาอาจจะเป็นฝ่ายเอาชนะ ‘ปีศาจแดง’ ในท้ายที่สุดก็เป็นได้
หลังจากจบฤดูกาลนั้น เชว่า ได้ย้ายไปเล่นใน อิตาลี กับ เอซี มิลาน และกลายเป็นดาวยิงอันดับต้นๆ ของโลกทันที ส่วนกัปตันทีมอย่าง โอเล็ก ลุซนี่ ก็ย้ายมาเล่น อาร์เซน่อล พร้อมคว้าแชมป์ลีกได้ด้วย แม้จะไม่รุ่งเหมือนตอนอยู่ในบ้านเกิดก็ตาม อีก 12 เดือนต่อมา เรบรอฟ ก็ย้ายมาอยู่สเปอร์ส รวมถึง คาค่า คาลัดเซ่ ก็ย้ายไปหาเพื่อนเก่าอย่าง เชฟเชนโก้ ที่มิลาน และไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมทีมยักษ์ใหญ่จาก ยูเครน ถึงไม่สามารถกลับมาเฉิดฉายในเวทียุโรปได้อีกครั้ง
ปาร์ม่า 1998-98
ปาร์ม่าคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพในปี 1999 รวมถึงแชมป์ วินเนอร์ส คัพ ในปีเดียวกัน แม้จะไม่รายการที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป แต่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของสโมสร โดยทีมตอนนั้นประกอบไปด้วย จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน, ฟาบิโอ คันนาวาโร่, ลิลิยง ตูราม, ฮวน เซบาสเตียน เวรอน และ เฮอร์นาน เครสโป ซึ่งทุกคนล้วนเป็นนักเตะชั้นยอดที่ทีมหามาได้จากทั่วยุโรป
สำหรับ ตูราม นั้นคว้าแชมป์โลกกับฝรั่งเศสอย่างยิ่งใหญ่มาแล้วก่อนหน้านี้ ส่วน คันนาวาโร่ และ บุฟฟ่อน ก็กำลังจะกลายเป็นว่าที่แชมป์โลกในปีหลายปีต่อมา และ เครสโป จะกลายเป็นนักเตะที่ค่าตัวสูงที่สุดในตอนนั้น รวมถึง เวรอน ก็ติด 1 ใน 5 แข้งที่ค่าตัวแพงที่สุดด้วย แม้ว่าพวกเขาจะช่วย ปาร์ม่า คว้าอันดับ 4 ในเซเรีย อามาได้เท่านั้นก็ตาม
เวรอน ย้ายไปลาซิโอ ในซัมเมอร์ต่อมา, ส่วนหัวหอกชาวอาร์เจนไตน์ก็ย้ายตามเขาไปในปีต่อมา ขณะที่ บุฟฟ่อน, คันนาวาโร่ และ ตูราม ก็กอดคอกันย้ายทีมไปอยู่กับยูเวนตุส แทน
เวสต์แฮม 2000-01
ในเดือนกันยายนปี 2000 เวสต์แฮม ต้องไปจมอยู่บ๊วยในลีก หลังขายกองหลังตัวหลักอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ ให้ลีดส์ ไปในราคา 18 ล้านปอนด์ แต่การขายกองกลางวัย 22 ปีอย่างแฟรงค์ แลมพาร์ดออกไปต่างหากที่ทำให้ ‘ขุนค้อน’ ต้องตกชั้นในอีก 3 ปีต่อมา
นอกจาก แลมพาร์ด แล้ว ในตอนนั้นพวกเขามีทั้ง ไมเคิล คาร์ริค, โจ โคล และ เจอร์เมน เดโฟ อยู่ในทีม ซึ่งแต่ละคนก็มีศักยภาพมากพอที่เป็นยอดนักเตะชั้นนำระดับโลกอยู่แล้ว ซึ่งก็ได้จริงๆ เช่น คาร์ริค และ เฟอร์ดินานด์ ที่พา ‘ปีศาจแดง’ คว้าแชมป์ยุโรปในปี 2008 รวมถึง แลมพ์ กับเชลซี ในปี 2012 ส่วน โจ โคล ก็มีโอกาสเล่นนัดชิงในปี 2008 ขณะที่ เดโฟ ก็พิสูจน์ตัวเองจนกลายเป็นดาวยิงประดับต้นใน พรีเมียร์ลีก และทีมชาติอังกฤษ ได้
ลีดส์ ยูไนเต็ด 2000-01
‘นกยูง ทอง’ ภายใต้การคุมทีมของ เดวิด โอเลียรี่ เต็มไปด้วยผู้เล่นพลังหนุ่ม ไม่ว่าจะเป็น มาร์ค วิดูก้า, แฮร์รี่ คีเวลล์, อลัน สมิธ, โจนาธาน วู้ดเกต, ลี โบวเยอร์ รวมไปถึงแข้งหน้าใหม่อย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ โดยมีลูคัส ราเดเบ้ ผู้มากประสบการณ์เป็นกัปตันทีม ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมที่น่าจับตามองมากพอสมควรอยู่แล้วในพรีเมียร์ลีก
แต่แค่นั้นไม่พอเพราะในปี 2000-01 ลีดส์ ยูไนเต็ด ฝ่าด่านเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างเหนือความคาดหมาย น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้ารอบชิงได้หลังพ่ายแพ้ว่าที่รองแชมป์ในปีนั้นอย่าง บาเลนเซีย ด้วยสกอร์รวม 3-0
ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นเกิดขึ้นได้ไม่นาน ทีมก็ต้องประสบปัญหาด้านการเงินจนต้องจำใจขาย เฟอร์ดินานด์ ให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมคู่แค้นของพวกเขา หรือคนอื่นอย่าง วู้ดเก้ต, คีเวลล์, โบวเยอร์ แต่ทุกอย่างกลับดูเลวร้ายลงเมื่อพวกเขาต้องตกชั้นในปี 2004 ก่อนแข้งตัวหลักคนอื่นจะย้ายออกจากทีมไปเพื่อรักษาสภาพการเงินของทีมให้อยู่ตัว และหายหน้าไปจากลีกสูงสุดนานกว่า 15 ปีแล้ว
โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 2012-13
เจอร์เก้น คล็อปป์ ทำให้ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์กลับมาเป็นที่พูดถึงในฟุตบอลยุโรปอีกครั้งหลังพาทีมเข้าชิง แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2013 ได้ แม้จะไม่ได้ชูถ้วยเหมือน ‘เสือเหลือง’ ในปี 1997 ก็ตาม แต่ก็ยังเป็นสโมสรที่แข็งแกร่งในเยอรมนีอยู่ดี
บาเยิร์น มิวนิค คู่อริร่วมลีกเป็นฝ่ายคว้าแชมป์ในปีนั้นไปได้ และเพื่อให้แน่ใจว่า ดอร์ทมุนด์ จะไม่สามารถกลับมาต่อกรกับพวกเขาได้เหมือนเดิมอีก จึงได้ทำการเซ็นสัญญา โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ และ มาริโอ เกิตเซ่ มาร่วมทีมเสียเลยอย่างที่พวกเขาเคยทำกับทีมคู่แข่งในเยอรมันมานักต่อนักแล้ว
ก่อนหน้านี้ 12 เดือน ชินจิ คากาวะ ก็ย้ายไปร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขณะที่ นูริ ซาฮิน ก็ย้ายไปร่วมทีม เรอัล มาดริด ในเดือนมกราคมปี 2013 แม้พวกเขาจะได้ มาร์โก้ รอยส์ และ อิลคาย กุนโดกัน มาร่วมทีม แต่ทีมก็ไม่เคยเดินทางมาถึงจุดนี้ได้อีกเลย ทันทีที่ เจอร์เก้น คล็อปได้บอกลาถิ่นซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ไปเมื่อปี 2015
อาแจ็กซ์ 2018-19
ในฤดูกาล 2018-19 ไม่มีใครไม่พูดยอดสโมสรแห่งแดนกังหันลมอย่าง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม หลังกลายเป็นม้ามืดผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกได้อย่างเหลือเชื่อ
ภายใต้การดูแลของ เอริค เทน ฮาก กุนซือหนุ่มชาวดัตช์ในเวลานั้น เขาได้ปลุกปั้นดาวรุ่งขึ้นมามากมาย ทั้ง อังเดร โอนาน่า, มัทไธจ์ เดอ ลิกต์, นิโคลัส ตาเกลียฟิโก้, นูสแซร์ มาซราอุย, ดาวิด เนเรซ, ฮาคิม ซีเยค, เฟรงกี้ เดอ ยอง หรือ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค แม้พ่ายให้กับ สเปอร์ส ในรอบตัดเชือก UCL ปีนั้น แต่พวกเขาคว้าดับเบิ้ลแชมป์ กับถ้วยเอเรดิวิซี่ และ ดัตช์ คัพ
อย่างไรก็ตาม หลายคนคาดการณ์ไว้แล้วนักเตะมากพรสวรรค์จากทีมนี้มีแววว่าจะต้องโยกย้ายออกทีมไปในอนาคต และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่หลายคนค่อยๆย้ายออกไปตามหาความสำเร็จที่มากขึ้นกว่าที่ อาแจ็กซ์ จะมอบให้ได้