ในทุกช่วงที่เปิดตลาดซื้อขายนักเตะ จะมีเวลาให้กับหลาย ๆ สโมสรได้เสริมความแข็งแกร่งหรือปรับปรุงทีม ไม่ว่าจะเป็นช่วงตลาดซัมเมอร์หรือวินเทอร์ แน่นอนว่าทีมมักจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ตามปัจจัยหลาย ๆ อย่าง
เช่นเดียวกับ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค ที่ทำสถิติครองแชมป์ลีกสูงสุด 10 สมัยติดต่อกัน พวกเขาต้องการต่อยอดความสำเร็จครองความยิ่งใหญ่เป็นเบอร์หนึ่งของวงการฟุตบอลเยอรมันสืบเนื่องไป
ฤดูกาลนี้จุดเปลี่ยนแปลง หลักของ “เสือใต้” คือการไม่มี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ หัวหอกจอมถล่มประตูที่เป็นหัวใจของการพังสกอร์คู่แข่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าแทบจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับการออกสตาร์ท 3 เกมในลีก
พวกเขายังคงรักษามาตรฐานการเป็นเบอร์หนึ่งไล่ถลุงคู่แข่งแบบยับเยิน วันนี้ไปดูกันว่า 5 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของ บาเยิร์น มิวนิค ในฤดูกาลนี้ที่มาพร้อมกับสไตล์ใหม่นั้นไฉไลกว่าเดิมหรือไม่ ?
๐ การเสริมผู้เล่นได้อย่างยอดเยี่ยม
ปกติเรามักจะได้ยินว่า บาเยิร์น มิวนิค นั้นมักจะชอบเตะตัดขาคู่แข่งผู้เล่นคนไหนที่เล่นดีในลีก พวกเขาก็จะซื้อเข้ามาร่วมทีมซะหมด แต่ปีนี้พวกเขาไม่ได้เสริมผู้เล่นที่มาจากลีกเดียวกันอย่าง บุนเดสลีกา เลย แถมยังปล่อยแนวรับอย่าง นิคลาส ซือเล่ ไปให้กับ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คู่แข่งในการแย่งแชมป์โดยตรงด้วย
ซึ่งพวกเขาทำงานกันอย่างรวดเร็วสอยผู้เล่นมาตั้งแต่ก่อนวันแรกของการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็น ซาดิโอ มาเน่ ที่มาจาก “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล, ไรอัน กราเวนแบร์ช และนูสแซร์ มาซราอุย จากอาแจ๊กซ์ และยังเติม มัตไธจ์ส เดอ ลิกต์ และมาธีส เทล เข้ามาด้วย ในทุกตำแหน่งถือว่าซื้อได้แบบตรงจุด
อย่างในตำแหน่งฟูลแบ็คฝั่งขวา การเติม นูสแซร์ มาซราอุย มาแบบไม่มีค่าตัวเพราะหมดสัญญากับ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม นั้นส่งผลอย่างชัดเจน ช่วยกระตุ้นให้ตัวจริงอย่าง เบนฌาแม็ง ปาวาร์ เร่งฟอร์มเก่งกลับมาเล่นดีอีกครั้ง เนื่องจากคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกันนั้นมีระดับฝีเท้าที่ไม่ได้ห่างกันมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับซีซั่นที่ผ่านมา คนที่แย่งชิงตำแหน่งตัวจริงของเขาคือ บูน่า ซาร์ ที่เกรดบอลยังถือว่าห่างกันอยู่พอสมควร พอได้ มาซราอุย เข้ามา ปาวาร์ ก็ต้องเร่งสปีดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าเผลอเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสเสียตำแหน่งตัวจริงได้ทันที
แถมยังพวกยังได้ปล่อยนักเตะที่ใช้การไม่ได้อย่าง มาร์ค โรก้า, โอมาร์ ริชาร์ดส, คริส ริชาร์ดส์ และต็องกีย์ เนียงซู ออกจากทีม 4 รายนี้รวมกันขายได้เงินคืนมา 48.5 ล้านยูโร และไปเสริมเอาตัวเป้ง ๆ อย่าง มัตไธจ์ส เดอ ลิกต์ เข้ามา
๐ สไตล์การเล่นเกมรุกที่เปลี่ยนไป
อย่างที่ทราบกันว่าในช่วงซัมเมอร์นี้ การย้ายออกไปของ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ อาจจะทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกกังวลว่านี่อาจจะเป็นปัญหาของทีมในฤดูกาลนี้ แต่พวกเขาก็แก้ปัญหาไว้แล้ว
ซึ่งไม่ใช่การดึงนักเตะในแบบเดียวกันคือประเภทโป้งปิดบัญชี หรือเป็นจอมถล่มประตู แต่เป็นการเปลี่ยนโฉมเกมรุกให้ต่างไปจากเดิม
เมื่อก่อนเป้าหมายแรกที่ผู้เล่นแนวรุกของ “เสือใต้” ต้องมองหาคือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แต่เมื่อไม่มี ก็ต้องเปลี่ยนสไตล์ มีความหลากหลายในการเข้าทำมากขึ้น การมาของ ซาดิโอ มาเน่ ปักลงจุดที่พอเหมาะอย่างพอดิบพอดี ประสบการณ์ของเขาที่เล่นมาแล้วในทุกตำแหน่งเกมรุกกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล สามารถช่วยทีมได้อย่างมหาศาล
เขาได้รับมอบหน้าให้ไปยืนหน้าเป้า แต่ตำแหน่งจริง ๆ ไม่ได้ยืนปักหลัก แต่เคลื่อนที่ไปมาเพื่อรับบอลอยู่ตลอด เล่นแบบฟอลส์ไนน์ เหมือนช่วงท้ายฤดูกาลที่แล้วกับ ลิเวอร์พูล ไม่เป็นเป้านิ่งให้กองหลังคู่แข่งเล่นงาน และรู้ว่าในแต่ล่ะจังหวะควรจะทำอะไร
ทำให้เกมดูมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 4 ตัวรุกในแดนกลางสามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งกันเล่นได้ตลอด คู่แข่งก็จับทางยาก แถมตัวเลือกในการจบสกอร์ก็มีมากขึ้น เพราะสามารถสอดเข้าไปทำประตูกันได้ทุกคน
จากการออกสตาร์ท 3 เกมแรกที่ผ่านมา พวกเขาถล่มตาข่ายคู่แข่งไปแล้ว 15 ประตู บรรดาผู้เล่นแนวของ บาเยิร์น มิวนิค อย่าง มาเน่, มูเซียล่า, มุลเลอร์, กนาบรี้, โกมาน และเลรอย ซาเน่ ต่างก็สามารถทำประตูกันได้หมดทุกคน ไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่ใครคนใดคนหนึ่งเหมือนตอนที่มี เลวานดอฟสกี้
ผู้เล่นอย่าง โธมัส มุลเลอร์ ที่หลายคนคิดว่าอาจจะเริ่มโรยราไปตามวัย แต่ในปีนี้การเล่นของเขาดูเปลี่ยนไป ไม่ได้เคลื่อนที่เยอะเหมือนแต่ก่อน จาก 3 เกมที่ผ่านมา เขามักจะเอาตัวเองออกไปยืนทางฝั่งขวา ดึงตัวประกบและให้เพื่อนสอดเข้าไปทำประตู
อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจในเกมรุกของ บาเยิร์น มิวนิค คือปีกทั้งสองฝั่งไม่ได้ตะบี้ตะบันลากตัดเข้ากลางเหมือนอย่างที่เคยทำ ซึ่งถือว่าเป็นสไตล์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ที่มี อาร์เยน ร็อบเบน และฟร้องค์ ริเบรี่ เป็นตัวรุกสองฝั่ง
คราวนี้มีการเล่นบอลแบบหน้ากว้างขึ้น 3 ตัวบนจะหุบเข้าไปข้างในเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับฟูลแบ็คสองฝั่งอย่าง เบนฌาแม็ง ปาวาร์ และอัลฟองโซ่ เดวีส์ ได้มีพื้นที่เติมขึ้นมา
เมื่อนับดูแล้วในยามที่เล่นเกมรุกพวกเขาใช้ผู้เล่น 7 ราย ในการโถมใส่คู่แข่ง แถมยังมีตัวออกบอลและยิงจากแถวสองได้ดีอย่าง โยชัว คิมมิช ดูแล้วน่ากลัวสุด ๆ
๐ นาเกลส์มันน์ ไม่ฝืนปรับระบบทีมให้เข้ากับสไตล์นักเตะ
ปกติแล้ว ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ นั้นเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรงที่มักจะทดลองระบบการเล่นไปเรื่อย รูปแบบการทำทีมหลัก ๆ ของเขาสมัยที่อยู่กับ แอร์เบ ไลป์ซิก คือการเล่นแบบแบ็คทรี หรือหลังสาม
การย้ายมาคุมบาเยิร์น มิวนิค เมื่อซีซั่นที่แล้ว ในช่วงแรกก็ได้มีการปรับทีมเล่นตามสไตล์ของตัวเอง ให้เด็กในคาถาอย่าง ดาโยต์ อูปาเมกาโน่ เป็นตัวออกบอลจากแผงหลัง เพราะเสีย ดาวิด อลาบา ไปให้กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด
แต่ทว่ามันไม่เวิร์ค และดูไม่เข้ากับผู้เล่นของ บาเยิร์น มิวนิค สักเท่าไหร่ มีปัญหาให้แก้อยู่บ่อยครั้ง จนต้องค่อย ๆ ปรับมาเล่นแบบเดิมคือ 4-2-3-1 ตามแบบที่นักเตะคุ้นชินในยุคของ ฮานซี่ ฟลิค ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาดี
ปีนี้นักเตะที่เคยร่วมงานกัน และย้ายตามมาที่หลังอย่าง มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ได้รับโอกาสมากกว่าเดิม ในช่วงที่ เลออน โกเร็ตซ์ก้า ยังไม่สมบูรณ์ ดูจะมีความมั่นใจและเล่นได้เข้าขากับโยชัว คิมมิช เล่นจนเป็นเนื้อเดียวกับทีม และเนียนขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งจากการลงเล่น 3 เกมที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าเขาจะเจอสไตล์และแผนการเล่นที่เข้ากับ บาเยิร์น มิวนิค ต่อจากนี้ไปเหลือเพียงการต่อยอดให้ลงตัวและเฟอร์เฟ็คมากยิ่งขึ้น ถือว่าเป็นโจทย์สำคัญที่ท้าทายเขาสุด ๆ
โดยเฉพาะในยามที่ต้องนำทีมลงเล่นในรายการใหญ่ของยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ถ้วยที่เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่ง และอาจจะให้ความสำคัญมากกว่าในลีกด้วยซ้ำ
๐ การขึ้นมาของ จามาล มูเซียล่า
หาก ดอร์ทมุนด์ มี จู๊ด เบลลิ่งแฮม เป็นแข้งดาวรุ่งเพชรเม็ดงามที่จะก้าวขึ้นไปเป็นซูเปอร์สตาร์ในอนาคต ทางฝั่ง บาเยิร์น มิวนิค เองก็มี จามาล มูเซียล่า นี่แหละที่จะเป็นหัวใจและความหวังของทีม
เด็กหนุ่มวัย 19 ปี มีพ่อเป็นชาวไนจีเรีย ส่วนคุณแม่เป็นชาวโปลที่ไปอาศัยอยู่ในเยอรมัน และเขายังไปเติบโตที่อังกฤษ เข้าร่วมอคาเดมี่ของ เซาธ์แฮมป์ตัน และเชลซี ติดทีมชาติอังกฤษ ชุดเล็ก แต่สุดท้ายเลือกเล่นให้กับทัพ “อินทรีเหล็ก” ชุดใหญ่
เขาก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ของ “เสือใต้” ตั้งแต่ปี 2020 เริ่มฉายแววสตาร์มาเรื่อย ๆ ฤดูกาลนี้เขาได้รับโอกาสเต็มตัวจาก ยูเลี่ยน นาเกลส์มันน์ ลงเล่นไปแล้ว 2 เกมยิงไป 3 ประตู นำดาวซัลโวของทีมร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่
การเล่นของ มูเซียล่า ถือว่าน่าสนใจ เพราะสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวเชื่อมเกม Box to Box ก็สามารถเล่นได้ แต่ถนัดที่สุดคือตัวรุกด้านบนในตำแหน่งเดียวกับที่ โธมัส มุลเลอร์ เล่นมาตลอด
โดยเขาเล่นได้เข้ากับรุ่นพี่ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าไอ้หนุ่มคนนี้มันเก่งเกินอายุจริง ๆ แถมยังกล้าเล่นไม่กดดัน รู้ว่าจังหวะไหนต้องทำอะไร
คาดกันว่าเขานี่แหละคือตัวแทนระยะยาวของ โธมัส มุลเลอร์ ที่เริ่มจะโรยราไปตามวัย ทั้งกับ บาเยิร์น มิวนิค และทีมชาติเยอรมัน
๐ ลูกตั้งเตะที่หวังผลได้เมื่อมี มัตไธจ์ส เดอ ลิกต์
การเสริม มัตไธจ์ส เดอ ลิกต์ เข้ามาถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาวุธของ บาเยิร์น มิวนิค ที่จะใช้โจมตีคู่แข่งในยามที่ได้ลูกตั้งเตะ แนวรับวัย 23 ปี มีส่วนสูง 189 เซนติเมตร และร่างกายที่แข็งแกร่งราวกับหุ่นยนต์ เบิกสกอร์แรกอย่างเป็นทางการด้วยลูกโหม่งในเกมล่าสุดที่ถล่มเอาชนะ โบคุ่ม 7-0
ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของเจ้าของรางวัล โกลเด้น บอล เมื่อปี 2018 เขามักจะสอดขึ้นมาโหม่งทำประตูได้อยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่สมัยที่ค้าแข้งอยู่กับ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม และ “ม้าลาย” ยูเวนตุส
ระดับความสูงไม่ได้แตกต่างไปจากกองหลังทั่วไป แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เหมือนใครคือจังหวะการเทคตัวที่ทำได้สูง และลอยตัวนาน กว่าผู้เล่นคนอื่น ๆ อาจจะไม่ได้โหดเหมือน คริสติอาโน่ โรนัลโด้ แต่แค่นี้ก็ถือว่าน่ากลัวแล้ว
เชื่อว่าในฤดูกาลนี้ เราน่าจะได้เห็นการทำประตูจากลูกตั้งเตะของ บาเยิร์น มิวนิค มากขึ้น เมื่อมีจอมโขกจาก เนเธอร์แลนด์ เข้ามาเสริม
สำหรับทั้งหมดนี้คือ 5 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของ บาเยิร์น มิวนิค ที่เราได้เห็นในช่วงการออกสตาร์ท 3 เกมที่ผ่านมา สไตล์ใหม่ของพวกเขาจะไฉไลไปกว่าเดิมหรือไม่ ?
หรือแย่กว่าตอนที่มี โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ก็ต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์กันต่อไป..