การจัดการทีมไม่ใช่แค่การวางแผนลงไปสู้ในสนามแต่รวมถึงการจัดการเรื่องปัญหาต่างๆรอบสโมสรด้วย ซึ่งถ้าหากนักเตะคนไหนทำตัวเป็นปัญหา โค้ชก็มีวิธีรับมือที่แตกต่างกันออกไป อย่างล่าสุดจะเห็นวิธีที่ เอริค เทน ฮาก ใช้กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คือความเด็ดขาดไม่สนชื่อเสียง กำหนดบทลงโทษให้ชัดเจน
อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่วิธีเดียวที่บรรดาผู้จัดการทีมหามาใช้กับนักเตะในปกครอง วันนี้ UFA ARENA จะพาไปดูหลากหลายแนวทางของกุนซือว่าจะเอาอะไรมาปราบพยศนักเตะกันบ้าง
โอ๋เหมือนลูกแบบ มันชินี่
เริ่มกันที่ไม้เบาที่สุดของการรับมือนักเตะเจ้าปัญหา ในเมื่อขัดไม่ได้ก็ให้ท้ายมันซะเลยแบบที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ ทำกับ มาริโอ บาโลเตลลี่ ทั้งคู่ร่วมงานกันครั้งแรกที่อินเตอร์ มิลาน ก่อนจะลากยาวกันมาทำงานต่อที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หอกชาวอิตาเลี่ยนเป็นนักเตะพรสวรรค์สูง และด้วยความที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกันตั้งแต่ บาโล ยังอายุน้อย ทำให้มันโช่ เหมือนกับเป็นพ่อคนที่สองของเขาไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตามด้วยความเกรียนที่มีในตัวทำให้เจ้าตัวมักก่อปัญหามากมาย แต่ มันชินี่ ก็ยังพยายามผลักดัน และปกป้องมาโดยตลอด แต่สุดท้ายวิธีนี้ก็ไม่ได้ผลทั้งกับนิสับ การพัฒนา หรือความสัมพันธ์เอง ก่อนที่จะแยกทางกันไปและมาเจอกันอีกครั้งในทีมชาติอิตาลี แต่เกรียนโอ้ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ มันชินี่ คาดหวังให้เป็นเรื่อง การใช้ไม้อ่อนแบบสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดนี้ไม่เวิร์คแน่นอน
ประนีประนอมแบบ กัสติเย่ร์
ถ้าพูดถึงนักเตะอีโก้สูงปรี๊ดในตอนนี้คงนึกหน้า คิเลี่ยน เอ็มบัปเป้ มาเป็นอันดับแรกๆ ซึ่งผู้จัดการทีมที่ต้องรับมือเจ้าตัวในปัจจุบันก็คือ คริสตอฟ กัสติเย่ร์ ที่ใช้แนวทางกรประนีประนอม โดยเจ้าตัวเป็นกุนซือที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อต้องรับมือกับ เอ็มบัปเป้ มันแตกต่างออกไป เขาเลือกใช้วิธีที่จะลดแรงปะทะในหน้าสื่อให้มากที่สุด แม้ว่าตัวนักเตะจะมีการแสดงออกไม่เหมาะสมแค่ไหน แต่ในหน้าสื่อก็ไม่ได้มีความขัดแย้งออกมาอย่างเป็นทางการ
ทุกครั้งที่มีประเด็นทะเลาะกันในทีม ข่าวลือเสียๆหายๆออกมา ทาง กัสติเย่ร์ จะเลือกใช้การพูดคุยระหว่างคู่กรณีภายในเหมือนประเด็น เนย์มาร์ และ เอ็มบัปเป้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติสุขเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นในเกมถัดมา นับว่าเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของทีมโดยรวมได้อย่างดี เพียงแต่ต้องรอดูว่า วิธีนี้จะกลาสภาพเป็นระเบิดเวลาหรือไม่
ตีซี้แบบ ปิโอลี่
หากเทียบชื่อชั้นกันแล้ว สเตฟาโน่ ปิโอลี่ เป็นเพียงแค่โค้ชที่มือไม่ถึงเลยในการคุมสตาร์ดังจอมอหังการอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ขนาดโค้ชเก่งๆบางคนยังเอาไม่อยู่ แต่วิธีที่ ปิโอลี่ ใช้ไม่ใช่การปะทะตรงๆ หรือให้ทายตามใจจนเกินไป ทั้งคู่เหมือนช่วยกันจับคันโยกคนละมือ ปิโอลี่ ยกสถานะ ซลาตันให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ เอซี มิลาน ที่จะมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของนักเตะในห้องแต่งตัว ส่วนตัวเขาจะจัดการในเรื่องของแท็คติค
แน่นอนว่าภาพในหัวของใครหลายคนนักเตะอย่าง อิบราฮิโมวิช คงไม่ยอมแน่หากว่าต้องนั่งรากงอกเป็นตัวสำรอง แต่กลับกันสถานะตัวสำรองของเขากับปีศาจแดงดำ ภายใต้การคุมทีมของ ปิโอลี่ กลับต่างจากที่ทุกคนคิด เนื่องจากเขายอมรับในบทบาทนี้ และคอยทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยโค้ช นับเป็นวิธีที่ไม่ต้องไปปะทะ ไม่ต้องคานอำนาจกัน แถมยังส่งผลดีกับทีมโดยรวมอีกด้วย
ปกครองเหมือนพ่อ-ลูกแบบเฟอร์กี้
ตำนานกุนซือชาวสก็อตขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด , การใช้จิตวิทยา รวมถึงฝีมือในการคุมทีมเป็นที่ยอมรับมาตลอดหลาย 10 ปี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยปวดหัวกับบรรดาสตาร์ดังยิ่งกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีดาวดังผ่านเข้ามามากมายยิ่งแล้วใหญ่ การเข้าหานักเตะของ เซอร์อเล็กซ์ เลยเป็นการเข้าไปในฐานะพ่อคนนึงที่เข้าไปสอนลูกๆด้วยความเข้มงวด กฏต้องเป็นกฏ กุมอำนาจเบ็ดเสร็จนักเตะทุกคนต้องฟัง จะเห็นได้ว่าเจ้าตัวจะมีกฏมากมายแสนละเอียดให้นักเตะทำตามเพื่อพัฒนาทั้งฝีเท้าและทัศนคติ
แต่ถ้าหากมีดาวดังคนไหนออกนอกลู่นอกทาง ป๋าเฟอร์กี้ก็พร้อมใช้ไม้แข็งหวดทันทีซึ่งก็มีแข้งดังหลายรายโดนมาแล้วไล่มาตั้งแต่ เดวิด เบ็คแฮม ที่ป๋ารักเหมือนลูกคอยเตือนมาตลอดจนมาปรี๊ดปรอทแตกถึงขั้นแยกทางกันไป รอย คีน ยอดกัปตันคู่บุญที่พอทำตัวให้บรรยากาศทีมเสีย เซอร์อเล็กซ์ก็ไม่เอาไว้ หรือจะเป็น รุด ฟานนิสเตอรอย หัวหอกจากแดนกังหันที่ทำผลงานให้ทีมมามากมาย แต่เมื่อทำตัวมีปัญหา ระรานนักเตะรุ่นน้อง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ไม่เก็บไว้ ถือเป็นการบริหารแบบเอาทีมเป็นใหญ่ และกำหนดภาพให้ชัดเจนเด็ดขาดไปเลย
แตกหัก แบบเป๊ป , คอนเต้ และ มูรินโญ่
มาถึงวิธีสุดท้ายที่เรียกว่าปะฉะดะ หักเป็นหักแตกเป็นแตก โดยส่วนมากผู้จัดการทีมก็มักเลือกใช้วิธีนี้กันเนื่องจากเป็นวิธีที่เด็ดขาด และรักษาอำนาจการคุมทีมไว้ได้ดีที่สุด เราจะเห็นกันบ่อยครั้งที่นักเตะมีปัญหากับผู้จัดการทีม ซึ่งหากจะยกตัวอย่างมาสักรายสองราย ก็คงจะมี เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่น้อยครั้งจะเห็นเขามีปัญหากับใครในการคุมทีม ส่วนมากจะออกแนวเด็ดขาด ชัดเจน ใครไม่ใช้ตัดทิ้งไม่ว่าจะดังแค่ไหนอย่างที่เคยทำกับ ซามูเอล เอโต้ , โรนัลดินโญ่ หรือ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช
ถัดมาก็จะเป็นอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ใช้ความเข้มข้นในการฝึกซ้อม ในการประโคมแท็คติคใส่ตัวนักเตะ แต่เมื่อมีคนล้ำเส้นก็พร้อมชนไม่ว่าหน้าไหน อย่างกรณีของ ดิเอโก้ คอสต้า เมื่อตัวนักเตะเริ่มที่จะข้ามเส้นทำตัวหยาบคายใส่ เจ้าตัวก็ไม่เก็บไว้แบบไร้เยื่อใยด้วยการส่งข้อความตัดขาดทาง SMS เท่านั้น
ส่วนตัวอย่างสุดท้ายเห็นจะไม่ยกคนนี้มาไม่ได้ นั่นคือ โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือสายฉะนักเตะทั้งต่อหน้าและลับหลังสื่อ น้ามูเป็นคนที่มีแผนการทำทีมในหัวชัดเจน หากนักเตะเล่นไม่ได้ตามที่คาดหวัง เมื่อนั้นก็จะเริ่มมีปัญหา เขามักออกมาวิจารณ์ลูกทีมผ่านสื่ออยู่บ่อยครั้งไม่ว่าจะคุมทีมไหน แถมถ้ายิ่งเป็นนักเตะที่งัดข้อคืนด้วยแล้วก็ยิ่งกลายเป็นสงครามไม่สนหน้าอินท์หน้าพรหมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับ พอล ป็อกบา ซึ่งวิธีนี้ต้องบอกว่าเป็นดาบสองคมเลยทีเดียว จริงอยู่ที่มีความเด็ดขาด แต่หากไม่สามารถจบเรื่องโดยไวแบบเป๊ป ก็รังแต่จะทำลายบรรยากาศทีมลงเรื่อยๆแบบ มูรินโญ่