เชื่อว่าไม่มีแฟนบอลคนไหนไม่รู้จัก ยอดกุนซือนามว่า โชเซ่ มูรินโญ่ อย่างแน่นอน นับตั้งแต่สร้างชื่อในเส้นทางนี้กับปอร์โต้ และปัจจุบันเขาก็ทำหน้าที่คุมทีมมานานกว่า 22 ปีแล้ว
แน่นอนว่า เดอะ สเปเชียล วัน เคยประสบความสำเร็จมาแล้วกับหลายสโมสร เพียงแต่เขากลับมีสถิติหนึ่งที่น่าสนใจเหมือนกันในศึกฟุตบอลโลก เพราะนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา จะมีลูกทีมในสโมสรที่เขาคุมอยู่ ณ เวลานั้น ได้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกมาโดยตลอด
ซึ่งหากนับเวิลด์คัพที่ กาตาร์ ด้วยก็เท่ากับว่ามีนักเตะของ น้ามู ได้เข้ามาชิงถึง 5 สมัยติดต่อ และ UFA ARENA จะพาไปพบกับนักเตะทั้ง 5 คนดังกล่าวผ่านบทความนี้กัน
2006 : วิลเลี่ยม กัลลาส, โคล้ด มาเกเลเล่ (เชลซี, ฝรั่งเศส)
วิลเลี่ยม กัลลาส และ โคล้ด มาเกเลเล่ ถือเป็นกำลังสำคัญในทีม เชลซี ยุคที่ มูรินโญ่ คุมทัพ โดยเฉพาะ 2 ปีแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดกัน จึงไม่แปลกที่พวกเขาทั้งคู่จะกลายเป็นกำลังสำคัญในทีมชาติฝรั่งเศส ชุดลุยฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมัน ด้วย
น่าเสียดายที่ทัพ ‘ตราไก่’ ไปไม่ถึงดวงดาวหลังพ่ายช่วงดวลจุดโทษต่อ ทีมชาติอิตาลี หลังเสมอกัน 1-1 ใน 120 นาที
อย่างไรก็ตาม หลังเวิลด์คัพจบลง กัลลาส ก็กลายเป็นอดีตแข้ง ‘สิงส์บลูส์’ หลังย้ายไปเล่นกับ อาร์เซน่อล คู่อริร่วมกรุงลอนดอน โดยสลับขั้วกับ แอชลี่ย์ โคล ลูกหม้อ ‘ปืนใหญ่’ ที่ย้ายมาเล่นใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยที่ มาเกเลเล่ ยังอยู่กับทีมต่อไป และแม้โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แย่งแชมป์ลีกกลับไป แต่น้ามูก็ไม่ได้พาทีมจบซีซั่นมือเปล่า หลังคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2006-07 โดยเอาชนะ ‘ปีศาจแดง’ 1-0
2010 : เวสลี่ย์ สไนเดอร์ (อินเตอร์ มิลาน, เนเธอร์แลนด์)
จากนักเตะที่กลายเป็นส่วนเกินของ เรอัล มาดริด จนถูกปล่อยให้ อินเตอร์ มิลาน ในช่วงซัมเมอร์ปี 2009 ทำให้ไม่มีใครคิดเช่นกันว่า เวสลี่ย์ สไนเดอร์ จะทำผลงานได้โดดเด่นสุดๆในอาชีพ หลังได้ร่วมงานกับ มูรินโญ่
เพลยเมกเกอร์ชาวดัตช์ ระเบิดฟอร์มได้อย่างสุดยอดในสีเสื้อของ ‘งูใหญ่’ และพาทีมคว้าทริปเบิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่ในฤดูกาล 2009-10 ไม่เพียงเท่านั้น ฟอร์มการเล่นของเขายังต่อยอดยามรับใช้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์ในฟุตบอลโลกปี 2006 ด้วย
ในเวิลด์ คัพ ที่แอฟริกาใต้ สไนเดอร์ ซัดไปถึง 4 ประตู โดย 2 ลูกนั้นมาจากการเหมาคนเดียว 2 เม็ดที่เกมที่เฉือนชนะ บราซิล ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วย ทว่าทัพ อัศวินสีส้มของเขา ก็ต้านความแข็งแกร่งของ สเปน ไม่ไหว พ่ายไปด้วยประตูโทนของ อันเดรส อิเนียสต้า ในช่วงต่อเวลาพิเศษ โดยที่เขาเป็น 1 ในผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ตัวจริง 2 คนของทัพ ออรันเย่ ร่วมกับ เดิร์ก เค้าท์ ที่ไม่ได้รับใบเหลืองในสนาม ซ็อคเกอร์ ซิตี้ ด้วย
หลังบอลโลกครั้งนั้นจบ น้ามู ได้ลา อินเตอร์ ไปคุม เรอัล มาดริด ดวลกับ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในสเปน ส่วน สไนเดอร์ ก็ค้าแข้งในอิตาลีอีก 2 ปีเศษๆ ก็ย้ายไปเล่นกับ กาลาตาซาราย ในปี 2012
2014 : อังเดร ชูร์เล่ (เชลซี, เยอรมัน)
ถึงจบกันไม่สวยในหนแรก แต่สุดท้าย มูรินโญ่ ก็จูบปากคืนดีกับ โรมัน อับราโมวิช เพื่อกลับมาคุม เชลซี เป็นคำรบที่ 2 ในปี 2013 พร้อมดึงแข้งเข้ามาใหม่หลายรายในซัมเมอร์ ทั้ง วิลเลี่ยน, ซามูเอล เอโต้ รวมไปถึง อังเดร ชูร์เล่ ที่แจ้งเกิดสุดกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น หลังซัดไป 14 ประตูในซีซั่น 2012-13
ปีแรกในพรีเมียร์ลีก ดาวเตะชาวเยอรมัน ทำผลงานได้สอบผ่านเลย หลังซัดไป 8 ประตูจาก 30 นัด แม้ช่วยให้ ‘สิงห์บลูส์’ จบแค่ที่ 3 แต่ฟอร์มนั้นก็ทำให้ โยอาคิม เลิฟ นายใหญ่ทัพ ‘อินทรีเหล็ก’ หิ้วเขาไปร่วมลุยฟุตบอลโลกปี 2014 ที่ บราซิล ด้วย
เยอรมนี โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมตั้งแต่เกมแรกยันนัดสุดท้าย ก่อนคว้าแชมป์โลกไปครองด้วยการเอาชนะ อาร์เจนติน่า 1-0 จากประตูโทนของ มาริโอ เกิตเซ่ โดยที่ ชูร์เล่ อาจมีบทบาทเป็นตัวสำรองโดยส่วนใหญ่ แต่ก็มีส่วนกับความสำเร็จนี้ไม่น้อย ทั้งลงมายิงนัดเฉือนชนะ แอลจีเรีย 2-1, เหมา 2 ประตูในเกมถล่ม บราซิล 7-1 ในรอบตัดเชือกหลังเปลี่ยนตัวลงมาเล่นแทน มิโรสลาฟ โคลเซ่ รวมไปถึงนัดชิงที่ลงมาเป็นแข้งสำรอง ครอสบอลให้ เกิตเซ่ ยิงประตูชัยด้วย
อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ชูร์เล่ เลิกเล่นฟุตบอลอาชีพไปตั้งแต่ปี 2020 ด้วยวัยเพียง 29 ปีเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากเผชิญความโดดเดี่ยว และการแข่งขันระดับสูงในลีกสูงสุดอีกต่อไป
2018 : ปอล ป็อกบา (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ฝรั่งเศส)
หลังได้เข้ามาคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2016 ปอล ป็อกบา เป็นนักเตะคนแรกๆที่ มูรินโญ่ ต้องการให้สโมสรดึงมาร่วมทีม และสุดท้ายก็ได้ร่วมทัพสมใจ ด้วยค่าตัวสถิติโลก 89 ล้านปอนด์ จาก ยูเวนตุส ในซัมเมอร์นั้น
ปีแรกของทั้งคู่กับ ‘ปีศาจแดง’ เริ่มต้นได้อย่างสวยหรู หลังพาทีม คว้าแชมป์ลีกคัพ และ ยูโรป้าลีก ก่อนที่จะพาทีมคว้าอันดับ 2 ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลต่อมา ทว่าในปีที่ 2 นั้น ฟอร์มการเล่นของ กองกลางตัวตัดผม ก็ไม่สม่ำเสมออย่างที่แฟนๆตั้งความหวังไว้
แต่ถึงอย่างนั้น ป็อกบา ก็เป็นนักเตะที่ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ ให้ความไว้วางใจยามลงเล่นทีมชาติฝรั่งเศส มาโดยตลอด และถูกเรียกติดทัพ ‘ตราไก่’ ลุยฟุตบอลโลกที่ รัสเซีย ในปี 2018 พร้อมกลายเป็น 3 ประสานในแดนกลางร่วมกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ แบลส มาตุยดี้ พาทีมคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ของกองกลางเฟรนช์แมน และกุนซือชาวโปรตุกีส ก็จบลงในฤดูกาลที่ 3 ที่ได้ร่วมงานกัน โดย เดอะ สเปเชียล วัน มองว่า ป็อกบา คือไวรัสร้ายในทีม ส่วนนักเตะก็ไม่น้อยหน้า โพสต์รูปชวนมีเลศนัยทันทีที่น้ามู โดน แมนฯยูไนเต็ด ปลดพ้นตำแหน่งกุนซือ
เห็นแบบนี้ก็มั่นใจได้เลยว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่มีวันร่วมงานกันอีกเป็นครั้งที่ 2 หรือแม้กระทั่งญาติดีด้วยก็คงไม่มีให้เห็นอย่างแน่นอน
2022 – เปาโล ดีบาล่า (โรม่า, อาร์เจนติน่า)
เปาโล ดีบาล่า กลายเป็นนักเตะคนล่าสุดในทีมของ เดอะ สเปเชียล วัน ที่ได้เข้าชิงฟุตบอลโลก หลังมีชื่อลุยทีมชาติอาร์เจนติน่า ในศึกเวิลด์คัพที่ กาตาร์
ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ หมดสัญญากับ ยูเวนตุส ก่อนย้ายมาเล่นให้กับ โรม่า ที่เพิ่งคว้าแชมป์ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ในฤดูกาล 2021-22 และฟอร์มกับทีมใหม่ถือว่าเข้าตาเลย ด้วยการซัดไป 7 ประตูกับ 2 แอสซิสต์ จาก 12 นัดในทุกรายการ เพียงแต่มีอาการบาดเจ็บรบกวนบ่อยๆจนคาดว่าอาจชวดไปลุยบอลโลก
ถึงอย่าง ลิโอเนล สคาโลนี่ ก็เลือกดึง แข้งวัย 29 ปี เป็น 1 ใน 26 ขุนพล ‘ฟ้าขาว’ ลุยบอลโลกครั้งนี้ด้วย และเพิ่งได้ลงเล่นนัดแรกเพียง 16 นาที ในฐานะตัวสำรองกับเกม อาร์เจนติน่า จัดการถล่มเอาชนะโครเอเชีย 3-0 ในรอบตัดเชือก ผ่านเข้าไปเล่นนัดชิงดวลกับ ฝรั่งเศส แชมป์เก่า ที่เพิ่งเอาชนะ โมร็อกโก ม้ามืดประจำทัวร์นาเม้นต์มา 2-0
แต่ ดีบาล่า ดวงเฮงคว้าแชมป์เหมือนลูกทีมของน้ามู 2 คนหลังสุดได้หรือไม่ คงต้องไปลุ้นกันในนัดชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์นี้