เกมนัดประวัติศาสตร์ที่แฟนบอลทุกคนต่างรอคอย ศึกฟุตบอลถ้วย ช้าง เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างสองสุดยอดทีมแห่งยุค ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด พบ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อดีตแชมป์รายการนี้มากสุด 5 สมัย
การเจอกันของทั้ง 2 ทีมเป็นอีกหนึ่งเกมสำคัญที่มีประเด็นให้ถูกพูดถึงมากมาย และจะเป็นอีกหนึ่งแมตช์ที่สนุกสุดมันส์ เพราะนอกจากจะมีถ้วยแชมป์รายการที่ยิ่งใหญ่สุดของเมืองไทย เป็นเดิมพันแล้ว มันยังเป็นเกมแห่งศักดิ์ศรีระหว่างผู้เล่นและกุนซือของทั้งสองทีมด้วย
ก่อนการแข่งขันนัดดังกล่าวจะเริ่มต้น มีอะไรที่ต้องจับตาดูบ้าง วันนี้ UFAAREA จะขอหยิบยกมาพูดถึง เพื่อเป็นการโหมโรงก่อนที่เราจะได้รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นผู้ที่คว้าถ้วยแชมป์ เอฟเอ คัพ ซีซั่นนี้ไปครอง
แบงค็อก ลุ้นคว้าแชมป์แรกรอบ 18 ปี
“แข้งเทพ” ถือเป็นอีกหนึ่งทีมใหญ่ที่มีการลงทุนโดยเฉพาะเรื่องการเสริมทัพน่าจับตามองและถูกยกให้เป็นหนึ่งในทีมเต็งแชมป์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ใครจะเชื่อว่าเป็นเวลาผ่านมานานกว่า 18 ปีที่พวกเขาไม่สามารถคว้าถ้วยแชมป์มาครองได้เลย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 สมัยที่ยังใช้ชื่อ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พวกเขาเคยสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ ไทยลีก 1 สมัยแรกและสมัยเดียวของสโมสร หลังจากนั้นใกล้เคียงสุดคือการคว้ารองแชมป์ลีก 3 ครั้ง ในซีซั่น 2016, 2018 และฤดูกาลล่าสุด
นอกจากนั้นหากมองเฉพาะในฟุตบอลถ้วย ทรู แบงค็อก ยังไม่เคยคว้าแชมป์ได้เลยแม้แต่รายการเดียว แต่เกือบทำได้สำเร็จเมื่อปี 2017 ที่พวกเขาเข้าชิง เอฟเอ คัพ ก่อนไปแพ้ ลีโอ เชียงราย ยูไนเต็ด 4-2
เพราะฉะนั้นหาก บียู หักด่าน บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผงาดแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ นอกจากจะเป็นการคว้าโทรฟี่แรกในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ มันยังเป็นการคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยใบแรกของสโมสรด้วย
บุรีรัมย์ รอทริปเปิ้ลแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน
เป็นอีกปีที่ “ปราสาทสายฟ้า” ทำผลงานได้อย่างน่าทึ่ง หลังพวกเขาป้องกันแชมป์ไปแล้ว 2 รายการ คือ รีโว่ ไทยลีก และ รีโว่ ลีก คัพ แต่ยังเหลืออีกหนึ่งถ้วยในวันอาทิตย์นี้
หากทำสำเร็จ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะกลายเป็นทีมแรกของเมืองไทย ที่สามารถคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีสโมสรใดทำได้มาก่อน
นอกจากนั้นนี่จะเป็นครั้งที่ 5 ที่ทีมของ “ลุงเนวิน” คว้าทริปเปิ้ลแชมป์รายการเมเจอร์ครบทั้ง 3 รายการ (รีโว่ ไทยลีก, ช้าง เอฟเอ คัพ และ รีโว่ ลีก คัพ) ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว 4 ครั้ง เมื่อซีซั่น 2011, 2013, 2015 และ 2022/2023
ดราม่า แบงค็อก เล่นนัดชิงในบ้าน
เป็นอีกประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมาอย่างต่อเนื่อง กับการที่ ทรู แบงค็อก จะได้ลงเล่นเกมนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ในรังเหย้าของพวกเขา ทรู สเตเดี้ยม หรือ สนามกีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต
เดิมทีฟุตบอลถ้วย เอฟเอ คัพ จะเลือกใช้สนาม ศุภชลาศัย เป็นสังเวนฟาดแข้งในเกมนัดชิงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะมีการเปลี่ยนมาเป็น สนามกีฬาธรรมศาสตร์ รังสิต ครั้งแรกเมื่อฤดูกาล 2020/2021 และใช้งานที่เดิมต่อเนื่องในช่วง 3 ซีซั่นหลังสุด
อย่างไรก็ตามดราม่าเกิดขึ้นทันทีเมื่อเจ้าของสนามแห่งนี้อย่าง “แข้งเทพ” ดันผ่านเข้าถึงนัดชิงได้สำเร็จในปีนี้ นั่นหมายความการเจอกับ บุรีรัมย์ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะได้เปรียบกับการลงเล่นที่บ้านของตัวเอง ซึ่งกุนซืออย่าง มาซาดะ อิชิอิ ก็เคยออกมาวิจารณ์ถึงเรื่องนี้เช่นกัน และมองว่าเกมนัดนี้ควรย้ายไปเตะที่สนามอื่นมากกว่า
ถึงกระนั้นหากมองจากสถิติในอดีต ดูเหมือนว่าการมาเล่นที่ ธรรมศาสตร์ รังสิต อาจจะเป็นผลดีของ บุรีรัมย์ ด้วยซ้ำไป เพราะที่ผ่านมาพวกเขาลงเตะนัดชิงฟุตถ้วยที่สนามแห่งนี้มาแล้ว 3 หน และคว้าแชมป์ได้ทั้งหมด เริ่มต้นจากถ้วย ลีก คัพ ที่เอาชนะ ราชบุรี เอฟซี สองปีติดต่อกันด้วยสกอร์ 4-1 และ 2-1 เมื่อซีซั่น 2012 และ 2013 ส่วนอีกเกมคือถ้วย เอฟเอ คัพ เมื่อซีซั่นที่แล้วที่เอาชนะ นครราชสีมา เอฟซี 2-1
สถิติของทั้ง 2 ทีมที่เคยเจอกันมา
จากสถิติโดยรวมที่ทั้งสองทีมเคยเจอกันมาทั้งหมด 25 นัดรวมทุกรายการ เป็นทางฝั่ง บุรีรัมย์ ที่เหนือกว่าชัดเจน ชนะ 19 เสมอ 3 และ ทรู แบงค็อก ชนะแค่เพียง 3 นัด เท่านั้น
แต่หากย้อนผลงานนับเฉพาะการเจอกันในฤดูกาลนี้ 3 นัด ถือว่าค่อนข้างสูสี บุรีรัมย์ ชนะ 2 นัด คือเกม ไทยลีก ชนะ 1-0 และ ลีก คัพ ชนะ 3-0 ส่วน ทรู แบงค็อก เพิ่งชนะ 4-3 ในเกมลีกนัดล่าสุดที่ทั้งคู่เจอกันเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งเกมนั้นเป็นความพ่ายแพ้ในลีกนัดแรกของลูกทีม อิชิอิ ด้วย
อย่างไรก็ตามหากเจาะลึกลงไปถึงการเจอกันในรายการฟุตบอลถ้วย ต้องบอกเลยว่า บุรีรัมย์ เหนือกว่ามาก เพราะที่ผ่านมาทั้งหมด 5 นัด พวกเขาเอาชนะ ทรู แบงค็อก แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นเกม เอฟเอ คัพ 2 นัด และ ลีก คัพ 3 นัด
วิลเลี่ยน โมต้า ลุ้นดาวซัลโว
อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญที่ต้องพูดถึงสำหรับเกมนี้ คือโอกาสในการลุ้นคว้าตำแหน่งดาวซัลโวรายการนี้ของ วิลเลี่ยน โมต้า กองหน้าตัวเก่ง ทรู แบงค็อก ซึ่งรอบที่ผ่านมาเจ้าตัวซัดไป 5 ประตู จากการลงเล่น 5 นัด
ขณะที่ผู้นำตำแหน่งดาวซัลโวเวลานี้ เป็นของสองนักเตะอย่าง อิบราฮิม โกนาเร่ (ราชประชา เอฟซี) และ ธเนศ แสงทอง (อยุธยา วอร์ริเออร์) ที่ยิงไปคนละ 6 ประตู
นั่นหมายความว่า วิลเลี่ยน โมต้า ขอแค่ประตูเดียวเขาจะขึ้นไปเป็นดาวซัลโวร่วมทันที หรือนำเดียวหากซัดมากกว่า 1 ประตูในเกมนี้ งานนี้คงต้องถามใจแนวรับของ บุรีรัมย์ ว่าจะปล่อยให้เขาสมหวังได้หรือไม่
สถิติ ธชตวัน vs อิชิอิ
มาว่ากันที่เรื่องของสถิติระหว่างกุนซือของทั้งสองทีมอย่าง ธชตวัน ศรีปาน และ มาซาดะ อิชิอิ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้เจอกันมาทั้งหมด 7 ครั้ง ผลงานของโค้ชชาวญี่ปุ่น ถือว่าเหนือกว่าเล็กน้อย ชนะถึง 4 เกม ส่วน “โค้ชแบน” ชนะ 3 เกม และไม่เคยเสมอกันแม้แต่ครั้งเดียว
อย่างไรก็ตามสำหรับ ธชตวัน ถูกขนานนามว่าเป็น “มือปราบปราสาทสายฟ้า” เพราะที่ผ่านมามักทำผลงานได้ดีในการคุมทีมเจอกับยอดทีมอีสานใต้ จากทั้งหมด 14 นัด ที่เขาพาทีมอย่าง ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด, สุพรรณบุรี เอฟซี และ เมืองทอง ยูไนเต็ด พบ บุรีรัมย์ สามารถเอาชนะได้ถึง 6 เสมอ 2 และแพ้ 6 เกม
นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้หยุดสถิติไร้พ่ายของ บุรีรัมย์ ได้ถึง 2 ครั้ง ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 2016 เกมที่ เมืองทอง เอาชนะ 3-1 หยุดสถิติไม่แพ้ใคร 44 นัดติดต่อกัน และครั้งล่าสุดคือเกมเมื่อเดือนเมษายน ที่ ทรู แบงค็อก ชนะ 4-3 ซึ่งนั่นคือการแพ้ในลีกแมตช์แรกของ บุรีรัมย์ ฤดูกาลนี้ และแพ้นัดแรกในรอบ 24 เกม
ธชตวัน ลุ้นคว้าถ้วยแชมป์เมืองไทย ครบ 3 รายการ
ขณะเดียวกันหากมองถึงผลงานส่วนตัวของ ธชตวัน ศรีปาน อดีตกองกลางระดับตำนานทีมชาติไทย รายนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จในการเป็นกุนซือไม่น้อยทีเดียว หากวัดจากถ้วยแชมป์ที่เขาได้รับมา
นับตั้งแต่เริ่มต้นงานโค้ชเมื่อปี 2009 “โค้ชแบน” ผ่านการคุมทีมมาแล้วทั้งหมด 7 สโมสร คือ บีอีซี เทโรศาสน, สระบุรี เอฟซี, โปลิศ ยูไนเต็ด, เมืองทอง ยูไนเต็ด, โปลิศ เทโร, สุพรรณบุรี เอฟซี และ ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด
ผลงานที่ดีที่สุดคือสมัยอยู่กับยอดทีมแจ้งวัฒนะ ซึ่งเขาพาสโมสรสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ 5 รายการ ในระยะเวลาแค่เพียงสองฤดูกาล 2016 และ 2017 นั่นคือถ้วย ไทยลีก, ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ, แม่โขง คลับ แชมเปี้ยนชิพ และ ลีก คัพ 2 สมัย
นอกจากนั้นหากนับเฉพาะสามถ้วยใหญ่ของเมืองไทย อย่าง ไทยลีก, เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ จะเหลือก็แค่เพียง เอฟเอ คัพ เท่านั้นที่เขายังไม่เคยได้ และหากพา “แข้งเทพ” เอาชนะ “ปราสาทสายฟ้า” ได้สำเร็จ ธชตวัน จะกลายเป็นเทรนเนอร์ชาวไทย อีกคนต่อจาก “โค้ชแต๊ก” อรรถพล ปุษปาคม ที่คว้าถ้วยแชมป์ครบทั้งสามรายการที่กล่าวมา