ชื่อของ มาริโอ บาโลเตลลี่ กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งหลังจากที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ ผู้จัดการทีมชาติอิตาลี ตัดสินใจเรียกตัวเขากลับมาซ้อมร่วมกับทีมอีกครั้งในช่วงพักเบรกทีมชาติ เพื่อแก้ปัญหากองหน้าตัวเป้าปืนฝืด ซึ่งถือว่าเป็นการกลับมาติดทีมชาติในรอบ 3 ปี
วันนี้ UFA ARENA จะพาไปย้อนดูช่วงเวลา 3 ปีที่หายไปของนักเตะที่ได้ฉายาว่าเป็น จอมเกรียนแห่งวงการ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา และมีความเปลี่ยนแปลงอะไรในตัวอดีตดาวดังรายนี้บ้าง
ดาวดังสู่ดาวดับ
กองหน้าชาวอิตาเลี่ยน สร้างชื่อของตัวเองมาด้วยฝีเท้าที่น่าจับตามาตั้งแต่อยู่กับ อินเตอร์ มิลาน ซึ่งนอกจากศักยภาพแล้ว บาโลก็ขึ้นชื่อเรื่องความเกรียน ความเจ้าปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่งในช่วงแรกๆที่ฟอร์มของเขายังดีอยู่ในมาตรฐานของดาวรุ่งพุ่งแรง คนก็มักจะมองข้ามในเรื่องของพฤติกรรมไปบ้าง ไม่ว่าจะทั้งเกือบเผาบ้านตัวเอง หรือ แสดงพฤติกรรมห่ามๆในสนาม
ช่วงชีวิตที่หอกรายนี้เปรี้ยงปร้างที่สุดเห็นจะมีแค่ตอนอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ช่วงปี 2010-2013 เขาเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่ทำให้เรือใบสีฟ้าคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่รอคอยมานานได้ ในขณะที่กับทีมชาติอิตาลี เขาก็ถูกเรียกติดทีมไปลุยศึกยูโร 2012 ในฐานะตัวหลักแถมทำผลงานได้ดีจากการยิงไป 3 ประตู พาทีมไปถึงนัดชิงได้ แม้ต้องผิดหวังกับการแพ้ให้กับ สเปนยุคทองก็ตาม
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นกราฟชีวิตก็ร่วงลงเรื่อยๆ แม้หลังลาทัพเรือใบจะยังได้ไปอยู่กับทีมใหญ่อย่าง เอซี มิลาน และ ลิเวอร์พูล แต่ฟอร์มการเล่นก็สาละวันเตี้ยลง หนักสุดเห็นจะเป็นช่วงอยู่กับทัพหงส์แดงที่ลงไป 28 นัด ทำได้แค่ 4 ประตู จากทุกรายการ แน่นอนว่าด้วยฟอร์มแบบนี้ เขาก็ไม่ถูกเรียกติดทีมชาติไปพักใหญ่
กลายเป็นแข้งพเนจร
หลังจากไปล้มเหลวกับ ทัพหงส์แดง เกรียนโอ้ ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ นีซในลีกเอิง ซึ่งที่นี้เองเป็นที่ที่เขาดูจะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวได้เสียที เจ้าตัวกู้ฟอร์มแกร่งกลับมาได้จากฤดูกาลแรกที่กดไป 17 ประตูจาก 28 นัดรวมทุกรายการ แถมเรื่องวีรเกรียนก็หายไปด้วย ก่อนที่ในฤดูกาล 2017/18 จะเป็นฤดูกาลที่พีคที่สุดของเขาจากการกดไป 26 ประตู จาก 38 นัดรวมทุกรายการ จนถูกโรแบร์โต้ มันชินี่ โค้ชคู่บุญเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้งในการเล่นเกมกระชับมิตร
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ดีของเขาก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อฤดูกาลถัดมาฟอร์มของเขาก็ดร็อปลงไปอย่างน่าใจหาย กดไป 8 ประตู จาก 25 นัดรวมทุกรายการ แถมเรื่องพฤติกรรมก็เริ่มกลับมาเป็นปัญหาอีกรอบจากการที่มักโดนใบเหลืองโดยไม่จำเป็น ทำให้สุดท้ายนีซก็จำใจต้องปล่อยเขาหมดสัญญาออกไป และเป็นมาร์กเซยที่รับช่วงต่อ
โดยในสัญญากับมาร์กเซยเป็นการเซ็นสัญญาระยะสั้น 6 เดือน เท่านั้นและทัพโอเอมก็ไม่ได้มีความสนใจที่จะเซ็นขาด สุดท้ายเกรียนโอ้ก็ได้กลับไปที่บ้านเกิดกับ เบรสชา แต่ก็ลงเล่นได้แค่ปีเดียวก็ทำตัวมีปัญหา ทั้งมาซ้อมสาย และไม่ยอมมาซ้อมก่อนจะโดนยกเลิกสัญญาไปอีก หลังจากนั้นก็ย้ายไป มอนซ่า แต่ก็เป็นแค่สัญญาปีเดียวทำให้ต้องย้ายทีมอีก ซึ่งปัจจุบันก็ได้มาลงเอยกับ อดาน่า เดมีร์สปอร์ ในลีกแดนไก่งวง
ส่วนกับทีมชาติแม้ว่าจะมีกุนซือคู่บุญอย่าง มันชินี่คุมทัพ แต่เขาก็ไม่ได้ถูกเรียกติดทีมอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2018 สรุปรวมแล้ว ช่วงเวลาที่เขาไม่ติดทัพอัซซูรี่ บาโลเตลลี่ ย้ายทีมไปแล้วทั้งหมด 4 รอบด้วยกัน
ความเกรียนไม่เคยหาย
ความเกรียนดูจะเป็นเครื่องหมายการค้าของซูเปอร์มาริโอมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่หลังจากย้ายมาอยู่กับนีซ เขาก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ความเกรียนลดลง แต่สุดท้ายแล้วเนื้อแท้ของเกรียนโอ้ก็ยังไม่ได้หายไปไหน แม้จะไม่ได้ก่อเรื่องให้เห็นในสาธารณะ แต่กุนซืออย่าง ปาทริซ วิเอร่า ก็เคยออกมาพูดถึงดาวเตะรายนี้ไว้ว่า “เมื่อพูดถึง มาริโอ บางทีผมก็ต้องการตอกกลับใส่เขาบ้าง หรือไม่ก็จับเขาทุ่มใส่กำแพง หรือไม่ก็ก็จับเขาแขวนไว้กับราวแขวนเสื้อ แต่ผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เพราะตอนนี้ผมไม่ได้เป็นนักเตะอีกแล้ว” สุดท้ายก็ไม่สามารถร่วมงานกันได้
หลังจากนั้นช่วงที่เป็นนักเตะไร้สังกัดช่วงคาบเกี่ยวที่จะได้ย้ายไป มาร์กเซย บาโลก็ได้ไปพักผ่อนที่บ้านเกิด ก่อนที่จะไปจ้างเจ้าของบาร์ที่นั่นขับรถเวสป้าลงน้ำ โดยตัวนักเตะสัญญาว่าจะให้เงิน 2,000 ยูโร จนกลายเป็นคลิปไวรัล ต่อมาเมื่อย้ายกลับบ้านเกิดกับ เบรสชา มาริโอ ก็ก่อเรื่องอีกด้วยการไม่ยอมไปซ้อม โดยอ้างว่าป่วยเป็นโรคกระเพาะอักเสบทั้งที่หายดีแล้ว จนสโมสรทนไม่ไหวยกเลิกสัญญาไป
ส่วนกับทีมปัจจุบันในแดนไก่งวง ก็ยังมีลายความเกรียนเหลืออยู่เพียบ ทั้งการไปฉลองประตูด้วยการเยาะเย้ยใส่ผู้จัดการทีมฝ่ายตรงข้ามที่เคยวิจารณ์ตนไว้ หรือจะเป็นการแสดงความหงุดหงิดที่ถูกเปลี่ยนตัวออกด้วยการไปทุบเพื่อนร่วมทีมที่ม้านั่งสำรอง ยังดีที่ไม่ได้มีการตอบโต้อะไรใส่กัน และล่าสุดกับการฉลองประตูด้วยการไปเตะหัวเพื่อนร่วมทีมเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา
โอกาสพิสูจน์ครั้งสุดท้าย
แม้จะยังไม่ทิ้งลายความเกรียน แต่ซูเปอร์มาริโอ ก็ไม่ได้ทิ้งฝีเท้าของตัวเองไปด้วยเช่นกัน จากที่ในซีซั่นปัจจุบันกดไป 9 ประตู 5 แอสซิสต์ จาก 21 รวมทุกรายการ ประกอบกับปัญหาในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าของทัพอัซซูรี่ ในปัจจุบัน ทำให้เขาถูกเรียกกลับมาร่วมซ้อมกับทีมอีกครั้งในรอบ 3 ปี
โดยทีมชาติอิตาลี ถึงจะสามารถคว้าแชมป์ยูโร 2020 มาครองได้ในช่วงซัมเมอร์แต่ก็มีปัญหากองหน้าตัวเป้าปืนฝืดที่ต้องแก้ไข ทั้ง ชิโร่ อิมโมบิลเล่ และ อันเดรีย เบล็อตติ ที่ยิงรวมกันได้แค่ 2 ประตูเท่านั้นในรายการดังกล่าว ลากยาวมาจนส่งผลมาถึงการที่พวกเขาต้องมาเล่นในเกมเพลย์ออฟฟุตบอลโลก 2022 อีกด้วย
ด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ มันชินี่ เรียกตัวนักเตะคู่บุญอย่าง บาโลเตลลี่ กลับมาติดทีมอีกครั้งในช่วงโปรแกรมทีมชาติ แน่นอนว่ามันยังไม่ได้การันตีว่าเจ้าตัวจะได้ไปเล่นในเกมฟุตบอลโลก รอบเพลย์ออฟ ในเดือนมีนาคม แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่จะทำให้เขาได้กู้ฟอร์มการเล่นระดับสูงของตัวเองกลับมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามด้วยความเกรียนที่ยังมีอยู่ในตัวไม่น้อย ก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยระวัง และลุ้นกันการเดิมพันครั้งนี้จะคุ้มค่ากับความไว้ใจของ มันชินี่ หรือไม่ ส่วนตัวเขาจะสามารถคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ได้ไหม ซึ่งมันอาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาด้วยก็ได้