เมื่อกฏกติกามีช่องว่างทำให้ เรอัล มาดริด ต้องพบกับทีมชุดสำรองของพวกเขาเองในนัดชิงปี 1980 ลองจินตนาการดูสิว่าตลอดการซ้อมของทั้งสองทีมจะดูอึดอัดแค่ไหน
ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับ ‘ราชันชุดขาว’ ในการเข้าไปเล่นในรอบชิงอยู่แล้ว ซึ่งฤดูกาลล่าสุดเพิ่งคว้าแชมป์รายการนี้สมัยที่ 20 ไปครอง หลังเอาชนะ โอซาซูน่า 2-1 แต่การต้องพบคู่ชิงที่เต็มไปด้วยเพื่อนร่วมสโมสรล่ะ มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นในนัดชิงโกปา เดล เรย์ ปี 1980
และนั่นคือครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในประวัติศาตร์ลูกหนังเมืองกระทิงที่ทีมชุดเยาวชนจะต้องเผชิญหน้ากับสโมสรแม่ของตัวเองในนัดชิง เรอัล มาดริด ชุดใหญ่ พบ เรอัล มาดริด กาสติย่า
แต่โชคร้ายที่มันไม่ได้จบอย่างที่ทีมกาสติย่าเฝ้าฝันไว้ หลังโดนทีมชุดใหญ่กดไป 6-1 ในวันนั้น แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ไม่ต่างจากเรื่องราวการต่อสู้ของสโมสรเล็กๆ ที่เข้าชิงในบอลยุโรปเลย ว่าแต่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปหาคำตอบผ่านบทความนี้กัน
ช่องโหว่
ก่อนปี 1991 ทีมชุดสำรองในสเปน นั้นเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์จากทีมชุดใหญ่ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ลงแข่งขันในลีกระดับเดียวกัน ทำให้อย่างน้อยทีมชุดเยาวชนก็สามารถลงแข่งขันในฟุตบอลถ้วยรายการเดียวกันได้ ซึ่งนั่นรวมไปถึงถ้วยโกปา เดล เรย์ ด้วยเช่นกัน
โดยทั่วไปทีมระดับเยาวชนมักจะตกรอบในบอลถ้วยอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาไม่ผ่านแม้กระทั่งรอบแรกด้วยซ้ำ หรือถ้าผ่านเข้าไปได้ แล้วมีการจับสลากว่าทีมชุดใหญ่ต้องเจอกับทีมสำรองของพวกเขาเอง ก็จะมีการประกบคู่ใหม่อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าจะได้เจอทีมอื่นและไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
เพราะฉะนั้นทางเดียวที่ทีมชุดเล็กจะเจอกับทีมชุดใหญ่ได้ก็คือ ทั้งคู่จะต้องไปพบกันในนัดชิงเท่านั้น ซึ่งคงไม่มีทางเกิดขึ้นใช่มั้ย?…ทว่านั่นเป็นเรื่องผิดถนัดเลย
เส้นทางสู่นัดชิง
18 ทีมชุดเยาวชนเข้าแข่งขันในศึกโกปา เดล เรย์ ปี 1979-80 ซึ่งหนึ่งในนั้นมีทีมกาสติย่ารวมอยู่ด้วย โดยค่าเฉลี่ยอายุของทีมชุดเล็กนั้นจะอยู่ที่ 20 ปี และไม่มีผู้เล่นคนไหนที่มีอายุมากกว่า 23 ปีอยู่ภายในทีม
แม้กระทั่งตัวผู้จัดการทีมเองก็ยังเป็นกุนซือหนุ่มที่อายุไม่ได้หนีกันมากนัก โดยทีมกาสติย่ามีฮวนโฆ การ์เซีย ซานโตส เป็นโค้ชและพาทีมชุดเล็กเข้าสู่รอบชิงอย่างสุดเซอร์ไพรส์และนั่นก็คือความยิ่งใหญ่ที่สุดในการอาชีพการคุมทีมของเขา
วันที่ยิ่งใหญ่
ในวันนั้น ทีมกาสติย่าได้เปลี่ยนไปใส่ชุดสีม่วง ซึ่งเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ แต่นั่นก็ไม่เปลี่ยนรูปเกมอย่างที่ใครหลายคาดเดาไว้ หลังจากแข่งขันไปจนจบครึ่งแรก ทีม ‘ราชันชุดขาว’ ชุดเล็กพบว่าตัวเองตามหลังชุดใหญ่อยู่ 2-0
และหลังจากเริ่มครึ่งหลังได้ไม่นาน พวกเขาก็โดนกดเพิ่มไป 4-0 ซึ่งนี่ไม่ต่างอะไรกับการที่ โลส บลังโกส กำลังกลั่นแกล้งน้องชายของตัวเองเลย
ต่อมา ริคาร์โด้ อัลวาเรซ ช่วยให้ทีมกาสติญ่าตีไข่แตกสำเร็จหลังช่วง 10 นาทีสุดท้าย ก่อนที่ทีมชุดใหญ่ที่บวกเพิ่มอีก 2 ประตูในท้ายที่สุด แต่ในช่วงที่รับถ้วยรางวัล ทั้งสองทีมต่างร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ด้วยกันอย่างชื่นมื่น
ดาวดังในวันนั้น
🔙🏆Historia del fútbol! Real Madrid y Castilla se vieron las caras en la final de Copa de la 79 – 80! Irrepetible!✨#TBT pic.twitter.com/RpMIP4wRf5
— Nacho Peña (@NachitoTV) June 4, 2020
นัดชิงในครั้งนั้นมีดาวเด่นอยู่ด้วย เช่น ลอรี่ คันนิ่งแฮม ที่เล่นในตำแหน่งปีก โดยแชมป์โคปา เดล เรย์ ปี 1980 คือครั้งแรกที่เขาครองแชมป์นี้ ก่อนที่อีกสองปีต่อมาจะคว้าแชมป์นี้อีกครั้ง และอดีตดาวดังจาก เวสต์บรอม ยังคว้าแชมป์ลา ลีก้า ในช่วงที่ค้าแข้งกับ ‘โลส บลังโกส’ ในปี 1980 ด้วย
อีกทั้งยังมี บิเซนเต้ เดล บอสเก้ ที่ใครๆ หลายคนรู้จักดีหลังพาสเปน คว้าแชมป์โลกปี 2010 มาแล้ว โดยในเกมวันนั้น เขาได้มีชื่ออยู่บนสกอร์บอร์ด หลังกดประตูให้ ‘ราชันชุดขาว’ ขึ้นนำ 4-0
นอกจากนั้นยังทีมชุดใหญ่มี โฆเซ่ อันโตนิโอ คามาโช่ ผู้ที่เคยคุมทีมมาดริด และเบนฟิก้า มาถึงสองครั้ง (และค่อนข้างล้มเหลวทั้ง 2 ครั้ง) ลงเล่นในเกมนั้นอยู่ด้วย
เหตุการณ์ต่อจากนั้น
ถึงจะพบกับความปราชัยในนัดชิง แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแย่และน่าโศกเศร้าสำหรับทีมกาสติย่าซะทีเดียว เมื่อ เรอัล มาดริด ได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในถ้วยยูโรเปี้ยน คัพ เรียบร้อยแล้ว ทำให้ทีมรองแชมป์ได้สิทธิ์ไปเล่นในถ้วยคัพ วินเนอร์ส คัพ แทนแชมป์โกปา เดล เรย์แทน
อย่างไรก็ตามการผจญภัยของ ‘ราชันชุดขาว’ ชุดเล็ก ในเวทียุโรปก็ไม่ได้ยาวนานมากนัก หลังต้องไปพบกับเวสต์แฮม ของ เทรเวอร์ บรุ๊คกิ้ง ในรอบแรก
แม้ว่าทีม กาติย่า จะทำได้ดีในนัดแรกหลังชนะไป 3-1 ที่มาดริด แต่ในนัดต่อมาพวกเขากลับโดน ‘ขุนค้อน’ ตอกกลับ 5-1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษในอัพตัน ปาร์ค และแพ้ไปด้วยประตูรวม 4-6
แม้จะแพ้ในนัดนั้น แต่ทีมกาสติย่า ก็ยังเป็นทีมชุดสำรองทีมเดียวที่เคยลงเล่นในการแข่งขันฟุตบอลยุโรปของทีมชุดใหญ่แบบไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงมันได้