หลังห่างหายไปนานกว่า 2 เดือน ศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เตรียมกลับมาฟาดแข้งอีกครั้งแล้วกับ ฤดูกาล 2021-22 กับเกมนัดเปิดสนามในวันศุกร์นี้
เบรนท์ฟอร์ด ทีมน้องใหม่ป้ายแดงที่เลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 74 ปี จะเปิดรังพบกับ อาร์เซน่อล ยอดทีมดังจากลอนดอนเหนือ ที่ชื่อชั้นเหนือกว่า ‘เดอะ บีส์’ หลายเท่านั้น
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทีมใหญ่ๆในลีกผู้ดีจะเอาชนะคู่แข่งมวยรองไปได้แบบสบายเท้า เพราะตลอด 29 ปีที่พรีเมียร์ลีกแข่งขันมา มีเรื่องช็อก และเหตุการณ์พลิกล็อกเกิดขึ้นตลอดแทบทุกปีในสัปดาห์แรกของลีกขวัญใจมหาชนลีกนี้
และนี่คือ 10 นัดเปิดสนามสุดช็อกในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ UFA ARENA คัดมาให้คอบอลอังกฤษได้ระลึกถึงกัน ก่อนทีมรักของตัวเองจะเตะในสัปดาห์นี้
อาร์เซน่อล 2-4 นอริช (1992-93)
ในฤดูกาล 1991-92 ‘ปืนใหญ่’ จบอันดับที่ 4 ซึ่งอาจจะไม่ใช่อันดับที่น่าพอใจนัก แต่มันก็สูงกว่า นอริช คู่แข่งนัดเปิดสนามในพรีเมียร์ลีกปีแรกที่รั้งอันดับที่ 18 แบบเทียบกันไม่ติด ซึ่งเจ้าบ้านก็เปิด ไฮบิวรี่ อัดทีมเยือนไปก่อน 2-0 ในครึ่งแรก แต่ทว่า 15 ต่อมา ‘นกขมิ้นเหลืองอ่อน’ ก็รัวคืนทีเดียว 4 เม็ด เอาชนะไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย หลังจากนั้นทีมระดับกลาง (ในตอนนั้น) ก็กลายร่างเป็นทีมลุ้นแย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แอสตัน วิลล่า แบบเซอร์เพรส์แฟนบอลทั่วเกาะอังกฤษ
ท้ายที่สุด นอริช จบอันดับ 3 ในปีนั้นด้วยผลต่างประตู -4 ขณะที่ อาร์เซน่อล คว้าแชมป์บอลถ้วยถึง 2 รายการ แต่ก็จบอยู่อันดับ 10 แบบเจ็บๆ โดยตามหลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 9 อยู่แต้มเดียวเท่านั้น รวมถึงทำอันดับได้แย่กว่า ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ คู่อริตลอดกาลอีกด้วย
แอสตัน วิลล่า 3-1 แมนยูไนเต็ด (1995-96)
แฟนบอลบางส่วนมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเท่าไหร่ แม้ ‘ปีศาจแดง’ จะโดนอัดไปถึง 3 ประตูในครึ่งแรก เนื่องจากแนวรุกของแอสตัน วิลล่า ที่มี ดไวท์ ยอร์ค รวมถึงแนวรับดาวรุ่ง แกเร็ธ เซาธ์เกต และ กองหลังจอมเก๋า พอล แม็คกรัธ แต่ถึงอย่างนั้นยูไนเต็ดก็จบฤดูกาลด้วยแชมป์ลีก ส่วน ‘สิงห์ผงาด’ ก็จบอันดับ 4 ได้อย่างน่าพอใจ
ในวันนั้นทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่มีทั้ง เอริค คันโตน่า, แอนดี้ โคล, สตีฟ บรูซ และ ไรอัน กิ๊กส์ ทำให้จำเป็นปรับแผนใหม่เป็น 5-3-2 ซึ่งเป็นแผนการเล่นที่นักเตะดาวรุ่งไม่คุ้นเคยนัก แถมในปีนั้นเฟอร์กี้ยังขาย พอล อินซ์, มาร์ค ฮิวจ์ และ อังเดร แคสเชสกี้ แต่ดันไม่ซื้อใครมาเพิ่ม
นั่นทำให้ อลัน เฮนเซ่น อดีตแข้งตำนานของลิเวอร์พูลหล่นวาทะระดับก้องโลกไว้ว่า “คุณไม่มีทางคว้าแชมป์อะไรได้ด้วยเด็กๆหรอก” และหลังจากนั้นก็อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับ แข้งคลาสออฟ 92 หลังจากนั้น
โคเวนทรี่ 2-1 เชลซี (1998-99)
ในนัดเปิดฤดูกาลปี 1997-98 โคเวนทรี่พลิกล็อกเอาชนะเชลซีไป 3-2 จากแฮ็ตทริกของ ดิออน ดับลิน แต่เชื่อว่าใครหลายคนคงคิดว่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นคงไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนใช่มั้ยล่ะ? แต่เปล่าเลย เพราะจริงๆมันไม่ได้ต่างจากเดิมมากเท่าไหร่
‘สิงห์บลู’ ในยุค 90 ไม่ได้เป็นทีมที่แข็งแกร่งเท่ากับยุคปัจจุบัน แถมเคยคว้าแชมป์ลีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้นในสมัยยังใช้ชื่อ ‘ดิวิชั่นหนึ่ง’ แต่ในตอนนั้นพวกเขามีนักเตะแชมป์โลกอย่าง มาร์กแซล เดอไซญี่ และ แฟรงค์ เลอเบิฟ ยังไม่พูดถึงนักเตะคนอื่นเช่น กัส โปเยต์, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ และ จานลูก้า วิอัลลี่ ที่ควบตำแหน่งกุนซือ-ผู้เล่นอีก แต่ก็ดันไปแพ้ให้กับ’ ‘สกาย บลูส์’ 2 ปีติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ทีมดังจากลอนดอนก็จบอันดับ 4 ได้ แม้เสมอไปถึง 15 เกม น้อยกว่า โบลตัน ทีมตกชั้นแค่เกมเดียว ขณะที่ โคเวนทรี่ที่เอาชนะมาได้ 2-1 ก็คว้าอันดับที่ 15 ไปครอง
วีแกน 0-1 เชลซี (2005-06)
วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม น้องใหม่อย่าง วีแกน แอธเลติก ต้องมาเจอกับ เชลซีที่มี โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นกุนซือ ทีมที่มีเงินถุงเงินถังจาก โรมัน อับราโมวิช และ เป็นทีมแชมป์เก่าจากฤดูกาลที่ผ่านมา หลังคว้าแชมป์ลีกในปี 2004-05 ซึ่งทำแต้มสูงถึง 95 คะแนน มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกในตอนนั้น
เมื่อเทียบดีกรีนักเตะของเชลซีที่มีแข่งอย่าง ปีเตอร์ เช็ก, โคล้ด มาเกเลเล่, แฟรงค์ แลมพาร์ด และดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ซึ่งลงเล่นเป็นตัวจริงในวันนั้น กับแข้ง ‘เดอะ ลาติกส์’ อย่าง ไมค์ พอลลิตต์, อาร์ยัน เดอ ซูว์ , เดเมียน ฟรานซิส, อลัน มาโฮน และ เจสัน โรเบิร์ต ซึ่งชื่อชั้นช่างต่างกันมากโขหลายเท่าตัว
ใครๆต่างคิดว่า วีแกน ต้องโดนแชมป์เก่ารับน้องใหม่และสอนมวยไปแบบยับเยินแน่นอน แต่ทว่าความจริงแล้ว เชลซีต้องเหนื่อยเอาเรื่อง และเกือบเอาตัวไม่รอดแล้ว หากไม่ได้ประตูชัยของ เฮอร์นาน เครสโป้ ที่ลงสนามเป็นตัวสำรองในช่วงนาทีที่ 93
โบลตัน 2-0 สเปอร์ส (2006-07)
‘เดอะ ทร็อตเตอร์ส’ ชนะมาแค่นัดเดียวเท่านั้นในช่วงอุ่นเครื่องพรีซีซั่นภายใต้การคุมทีมของ แซม อัลลาไดซ์ (ที่ลาออกไปช่วงท้ายฤดูกาลนั้น) พวกเขาไม่สามารถคว้าแข้งใหม่มาเสริมทัพอย่างที่ต้องการ แอนดี้ จอห์นสัน ก็เลือกย้ายไปเอฟเวอร์ตันแทน หรือ ดีทมาร์ ฮามันน์ ก็ย้ายมาอยู่กับแค่วันเดียวเท่านั้น ก่อนจะลาทีมไปดื้อๆ
ด้วยเหตุนั้นทำให้ ‘บิ๊กแซม’ อ้างว่าเขามีผู้เล่นในทีมที่ฟิตพอลงเล่นแค่ 13 คนเท่านั้นในเกมนัดเปิดสนาม ขณะที่มาร์ติน โยล กุนซือของสเปอร์ส เพิ่งใช้งบกว่า 20 ล้านเพิ่มคว้าตัว ดีมิทาร์ เบอร์บาต็อฟ และ ดิดิเย่ร์ โซโคร่า มาร่วมทีม
อย่างไรก็ตาม ทีมเจ้าบ้านก็มาได้ประตูเร็วในช่วง 13 นาทีแรกจาก เควิน เดวี่ส์ และ อิบัน คัมโป ส่งผลให้ ‘ไก่เดือยทอง’ พ่ายไป 2-0 และพวกเขายังไม่จดจำบทเรียนจนกระทั่งฤดูกาลต่อไป
ซันเดอร์แลนด์ 1-0 สเปอร์ส (2007-08)
ซัมเมอร์ของปี 2007 สเปอร์สได้ทุ่มเงินกว่า 35 ล้านปอนด์เพื่อคว้า 5 แข้งใหม่มาร่วมทีม มีทั้ง ดาร์เรน เบนท์ ที่มีค่าตัวสูงสุดเป็นสถิติสโมสร, แกเร็ธ เบลจากเซาธ์แฮมป์ตัน, แดนนี่ โรสจากลีดส์, โยเนส กาบูล และ เควิน ปรินซ์-บัวเต็ง
แต่นั่นก็เป็นอีกปีที่ ‘ไก่เดือยทอง’ ออกสตาร์ทได้ย่ำแย่อีกครั้ง เมื่อโดนซันเดอร์แลนด์ของ รอย คีน เปิดบ้านมาเอาชนะไปได้ 1-0 จากประตูโทนของ ไมเคิล โชปรา
อย่างน้อย สเปอร์ส ก็น่าจะเรียนรู้ได้แล้วในฤดูกาลต่อไป แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นแบบนั้น หลังพวกเขาใช้เงินไปมากกว่าเดิมถึง 67 ล้านปอนด์ แต่ก็พ่ายให้กับ มิดเดิ้ลสโบรห์ 2-1 ในนัดแรกของฤดูกาลถัดมาอยู่ดี
เวสต์บรอม 3-0 ลิเวอร์พูล (2012-13)
ณ วันที่ 18 สิงหาคม ปี 2012 สตีฟ คล้าก กุนซือเวสต์บรอม ต้องมาเจอกับ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือลิเวอร์พูล คนที่ทำให้ต้องลาถิ่นแอนฟิลด์ ในเกมเปิดสนามนัดแรกของฤดูกาล 2012-13
และดูเหมือนว่านายใหญ่จาก ‘เดอะ แบ็กกี้ส์’ จะล้างแค้น บีร็อด ได้สมดั่งใจต้องการ เมื่อทีมของเขาเปิด เดอะ ฮอวน์ธอร์น ถล่ม ยอดทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ไป 3-0 แม้จะพลาดจุดโทษไปลูกหนึ่งก็ตาม
แต่ด้านดีๆของทีมเยือนยังมีอยู่ เมื่อลิเวอร์พูลจ่ายบอลในเกมนั้นได้แม่นยำถึง 89 เปอร์เซ็นต์ เยี่ยมไปเลยใช่มั้ยล่ะ?
อาร์เซน่อล 1-3 แอสตัน วิลล่า (2013-14)
มีไม่น้อยที่แฟนบอลต่างประหลาดใจเมื่อเห็นทีมอย่าง อาร์เซน่อล พลาดท่าในเกมนัดเปิดสนาม ซึ่งในฤดูกาล 2013-14 เขาพ่ายให้กับ แอสตัน วิลล่าของพอล แลมเบิร์ต ได้ถึงเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ก่อนที่อีก 2 ปีต่อมา ‘ปืนใหญ่’ จะแพ้ในนัดเปิดสนามกับ เวสต์แฮม (0-2 ในปี 2015-16) และ ลิเวอร์พูล (3-4 ในปี 2016-17)
จริงๆแล้ว ตลอดเวลา 6 ปีที่ อาร์เซน เวนเกอร์ คุมทีมนัดเปิดสนามในรังเหย้าของตัวเอง เขาพาทีมชนะได้ครั้งเดียวเท่านั้น ต้องขอบคุณประตูชัยของ อารอน แรมซีย์ ในเกมพบคริสตัล พาเลซ เมื่อฤดูกาล 2014-15
การแพ้ให้กับ ‘สิงห์ผงาด’ ถือเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่มากๆในตอนนั้น หลังเกมเต็มไปด้วยเสียงโห่ของเหล่า ‘กูนเนอร์ส’ ทั่วสนาม เนื่องจากนายใหญ่ชาวฝรั่งเศสลงเสริมทัพแค่ ยาย่า ซาโนโก้ กองหน้าดาวรุ่งมาแค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งเวนเกอร์ก็ตอบรับคำเรียกร้องของแฟนด้วยการคว้าตัว มาติเยอ ฟลามินี่ มาแบบฟรีๆ เฉียบมั้ยล่ะ?
อย่างไรก็ดี ในวันสุดท้ายของตลาดนักเตะ เวนเกอร์ก็เรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาได้อีกครั้ง เมื่อทุ่มคว้าตัว เมซุต โอซิล จากเรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสโมสร ณ ตอนนั้น
แมนยูไนเต็ด 1-2 สวอนซี (2014-15)
หลังความล้มเหลวที่ เดวิด มอยส์ ได้สร้างไว้ให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้บอร์ดบริหารต้องหาทางแก้ไขโดยด่วน เพื่อให้ทีมกลับมาคว้าแชมป์อย่างที่เคยจะเป็นได้ ซึ่งนายใหญ่คนใหม่ก็คือ หลุยส์ ฟาน กัล กุนซือมือฉมังมากประสบการณ์ที่คว้าแชมป์กับสโมสรดังมากมาย และเพิ่งพาฮอลแลนด์คว้าที่ 3 ในปฟุตบอลโลกปี 2014 ด้วย
แต่ในปีแรก ‘ทิวลิปเหล็ก’ พาทีม ‘ปีศาจแดง’ กลับไปเล่นในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้เท่านั้น และสิ่งต่างๆดูไม่เข้าท่าตั้งแต่ต้น เมื่อเขาพาทีมพ่ายนัดเปิดสนามในบ้านเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1972 โดยพ่ายให้กับสวอนซี ทีมที่เสียนักเตะไปถึง 5 คนในซัมเมอร์นั้น
และที่แย่มากไปกว่านั้นคือการที่ ฟาน กัล วางระบบ กองหลัง 3 คนให้กับยูไนเต็ดที่ไม่เคยใช้แผนการเล่นนี้มาก่อน รวมไปถึงการดันนักเตะอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด, ฟิล โจนส์ และ แอชลี่ย ยัง ไปเล่นเป็นทั้งฟูลแบ็ค หรือ วิงแบ็ค ในเกมนั้น และอีกหลายๆเกมของฤดูกาลดังกล่าว
อาร์เซน่อล 0-2 เวสต์แฮม (2015-16)
แซม อัลลาไดซ์ ที่แฟน ‘ขุนค้อน’ ไม่ปลื้มกับสไตล์การทำทีมของเขาถูกปลดออกจากตำแหน่งไปเพื่อหลีกทางให้กับ สลาเวน บิลิช เข้ามาหน้าที่กุนซือคนใหม่ของ เวสต์แฮม แทน ซึ่งกูรูลูกหนังหลายคนออกปากเตือนสโมสรว่าคิดผิดแล้วที่แต่งตั้งผู้จัดการชาวโครแอตกุมบังเหียนแทน ‘บิ๊กแซม’
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับตอกหน้ากูรูเหล่านั้นจบเงียบสนิท เมื่อบิลิชดึงศักยภาพของนักเตะในทีมออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยมในนัดแรกที่พบกับอาร์เซน่อล ก่อนเอาชนะปืนใหญ่ไปได้ 2-0 ถึงถิ่นเอมิเรสต์ สเตเดี้ยม (แถมยังช่วยให้ปีเตอร์ เช็ก แพ้เกมลีกนัดแรกกับอาร์เซน่อลอีกต่างหาก)
นอกจากนี้ พวกเขายังคว้าอันดับ 7 ไปครองหลังจบฤดูกาลนั้น พร้อมกับได้ตั๋วไปเล่นในศึกยูโรป้า ลีก ฤดูกาล 2016-17 แบบหล่อๆ