“มันเป็นช่วงพักครึ่ง และนักเตะเชลซีก็แทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาได้ยิน”
“เวลานั้นทีมกำลังออกนำ นิวคาสเซิ่ล อยู่ 2-0 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดหากไม่ใช่ผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นในสกอร์บอร์ด แต่มันคือสิ่งที่ กุนซือหน้าใหม่ชาวเยอรมนีผู้นี้ได้บอกกับลูกทีมของเขาต่างหาก” แหล่งข่าววงในของเชลซีกล่าวต่อ
“ทูเคิล เข้ามาคุยกับ ทุกคนในเรื่องแท็กติก แล้วจู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าพวกคุณเอาชนะเกมนี้ได้นะ ผมจะให้พักยาวๆแบบไม่ต้องทำอะไรเลย 2 วัน” จากนั้นทุกคนมองหน้ากัน แล้วต่างคิดว่า “อะไรวะ…?!” เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินอะไรแบบนี้ มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กับสิ่งที่ผู้จัดการทีมกระตุ้นพวกเขาในครั้งนี้”
นี่เป็นเพียงบางสิ่งที่ โธมัส ทูเคิล ได้ทำเอาไว้ และมันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงจากการคุมทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด และถึงเวลานี้ จากชัยชนะที่ทัพ “สิงห์บูล์ส” บุกไปเอาชนะแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล 1-0 ถึงถิ่น แอนฟิลด์ นั่นทำให้ ยอดกุนซือรายนี้ พาทีมกวาดชัยไปแล้วถึง 7 นัดจาก 10 เกมแรกในทุกรายการที่เขาเข้ามาคุมทีมข้างสนามแล้ว
เชลซี เขยิบจากอันดับ 9 ขึ้นมาอยู่ในท็อปโฟร์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อีกครั้ง และอะไรที่ทำให้ ยอดทีมจากกรุงลอนดอนทีมนี้ กลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็นอีกครั้ง วันนี้เราจะพาไปเจาะลึกกับสิ่งที่ ทูเคิล เข้ามาเปลี่ยนแปลงทีมกัน
การสื่อสารที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
ผู้จัดการทีมทุกคนต่างมีการจัดการทีมที่ต่างกันออกไป และการสื่อสารกับลูกทีมแบบจริงใจนั้นดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในกลยุทธที่ ทูเคิล นำมาใช้กับเชลซี อาทิเขามักจะเข้าไปอธิบายเหตุผลกับนักเตะที่ไม่ได้ลงสนามเป็น 11 ตัวจริง พร้อมกับบอกว่าทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของทีม รวมถึงแนะนำสิ่งที่จำเป็นที่แข้งตัวสำรองต้องทำ เพื่อโอกาสในการเบียดขึ้นมาเป็นตัวจริงในอนาคต
อย่างเกมที่ดวลกับ บาร์นสลีย์ และ นิวคาสเซิ่ล ที่ เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ได้ขึ้นมาเป็นผู้รักษาประตูตัวจริงแทน เอดูอาร์ เมนดี้ มือ 1 ของทีมในฤดูกาลนี้ ทูเคิล ก็ได้อธิบายให้ทั้งคู่เข้าใจถึงการตัดสินใจของเขา พร้อมกับบอกอย่างชัดเจนด้วยว่า เมนดี้ นั้นจะยังเป็นมือ 1 ต่อไป และจะได้กลับมาเฝ้าเสาอีกครั้งในเกมดวล เซาธ์แฮมป์ตัน หลังจากนั้น
ในเรื่องนี้ เมนดี้ ก็กล่าวถึงสไตล์การคุมทีมของบอสคนใหม่ว่า “ทูเคิล แสดงออกมาให้ทุกคนเห็นว่าเขาชื่นชอบคุณ หากคุณทำผลงานออกมาได้ดีในสนาม หรือในการฝึกซ้อม เขาพยามผลักดันทุกคน และมองโลกในแง่ดี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผมและทีม ”
ที่เหมือนจะกลายเป็นประเด็นดราม่า ในเกมที่เสมอ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-1 ที่เขาตัดสินใจ เปลี่ยนตัว คัลลัม ฮัดสัน-โอดอย ซึ่งเป็นตัวสำรองในครึ่งหลัง ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัวออกอีกครั้งเพื่อเปิดทางให้ ฮาคิม ซิเยค ลงมาแทนในนาทีที่ 76 หลังจบเกม ทูเคิล ได้เผยถึงการตัดสินใจดังกล่าวว่าเป็นเพราะเขารู้สึกไม่พอใจกับทัศนคติของดาวเตะวัย 20 ปี ซึ่งจากคำพูดดังกล่าวอาจทำให้เกิดความไม่พอใจภายในทีมได้เหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้
แต่แล้วสิ่งที่กุนซือชาวเยอรมนีทำจากนั้นคือการเรียกประชุมทีมหลังจบเกมทันที ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ นอกจากนี้ทั้งยังพิสูจน์ให้เห็นด้วยว่าเขาไม่ได้มีปัญหาอะไรส่วนตัวกับ โอดอย แม้แต่น้อย ด้วยการส่งปีกชาวอังกฤษ ลงสนามในอีก 3 วันต่อมา ในเกมสำคัญที่บุกไปเอาชนะ แอตเลติโก มาดริด 1-0
พร้อมกันนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่วของกุนซือชาวเยอรมนี ทำให้เขาสามารถสื่อสารกับทุกคนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เขายังสร้างมิตรไมตรีกับทุกคนในสโมสรตั้งแต่เจ้าหน้าที่้ดูแลสนาม ไปยัน มาริน่า กรานอฟสกาย่า ผู้อำนวยการของทีม
สิ่งเหล่านี้นั้นมีความหมายซ่อนอยู่ เพราะเมื่อกุนซือเข้ามาคุยกับทุกคนก่อน มันจะทำให้คนเหล่านี้รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับช่วยลดแรงกระแทกภายในทีมลงได้อย่างแน่นอน
มีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมมากกว่าเดิม
ทูเคิล เคยออกมากล่าวว่า ขุนพลแข้งของ เชลซี ในเวลานี้ต่างเต็มไปด้วยนักเตะที่มีพรสวรรค์มากมาย ซึ่งสิ่งที่เขาต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน คือการทำให้โครงสร้างของทีมเป็นไปอย่างถูกต้อง ด้วยการจัดเรียงการฝึกซ้อมใหม่ ซึ่งนักเตะหลายคนในทีมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การเตรียมทีมในแต่ละแมตช์นั้นมีรายละเอียดมากขึ้น พร้อมบอกอีกว่าเพวกขานั้นเข้าใจในสิ่งที่ ทูเคิล แนะนำอย่างดี ซึ่งนั่นทำให้เข้าใจในแท็กติกการเล่นมากขึ้น อีกทั้งยังเข้าใจในคู่แข่งแต่ละทีมที่จะลงเล่นด้วย นั่นทำให้เมื่อเดินออกจากห้องแต่งตัวลงสู่สนาม พวกเขาจะรู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อคว้าชัยชนะในเกมนั้นๆ
นั่นทำให้ถึงเวลานี้แท็กติก 3-4-2-1 ของ ทูเคิล ที่ใช้กับ เชลซี นั้นจึงได้ผลอย่างมาก นอกจากนี้เขายังเน้นให้ทีมเพิ่มประสิทธิภาพในจังหวะสวนกลับ ด้วยการขึ้นมาเพรสซิ่งสูงจนคู่ต่อสู้นั้นจ่ายบอลเสียกันมากกว่าเดิม เพื่อให้ทีมได้บอลกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ ทูเคิล ต้องการจริงๆคือ เขานั้นต้องการให้นักเตะเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากจะเปลี่ยนจากเกมรับ 3 มาเป็น 4 คนอีกครั้ง “มันมีโอกาสเสมอที่แต่ละเกมแท็กติกจะต่างกันออกไป เพื่อให้เหมาะสมกับทีมมากที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกคนต้องเข้าใจว่า เราจะเล่นเกมรุกอย่างไร เล่นเกมรับอย่างไร และนั่นจะทำให้เราเล่นได้อย่างแข็งแกร่งในทุกๆรูปแบบ”
ให้โอกาสนักเตะทุกคนในทีม
เซซาร์ อัซปิลิกัวเอต้า คือกัปตันทีมที่กลับชาติมาเกิดอีกครั้ง ภายใต้การคุมทัพของ ทูเคิล ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาได้ลงสนามเพียง 14 จาก 29 นัดเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ แนวรับทีมชาติสเปน นั้นถูกดร็อปเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้งในยุคของ แลมพาร์ด เนื่องจากกุนซือชาวอังกฤษ นั้นชื่นชอบในตัวของ รีช เจมส์ แบ็กขวาจากอคาเดมี่ของทีมอย่างมาก แต่แล้วนับตั้งแต่ ทูเคิล ปรับมาเล่นในตำแหน่งกองหลัง 3 ตัว อัซปิลิกัวเอต้า ก็ได้ลงเล่นอีกครั้งอย่างสม่ำเสมอในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็กฝั่งขวา
“ตอนนี้เขารู้สึกกลับมาเป็นผู้นำของทีมอีกครั้ง ทั้งในและนอกสนาม เขารู้สึกถึงความมั่นใจมากว่าเดิม”
สิ่งที่ ทูเคิล ทำกับ อัซปิลิกัวเอต้า นั่นก็คือให้ทำให้เขารู้สึกว่าคือหนึ่งในผู้นำของสโมสรอย่างแท้จริง เมื่อดาวเตะสแปนิช จะได้เข้าร่วมประชุมกับเจ้าหน้าที่การแข่งขัน ก่อนที่เกมจะเริ่ม เพราะกุนซือชาวเยอรมนี มองว่าเจ้าตัวรับใช้สโมสรเชลซี มาแล้วกว่า 409 นัด นับตั้งแต่ย้ายมาเมื่อปี 2012 หมายความว่าเขายังเป็นส่วนสำคัญของเชลซีอยู่เสมอ
ส่วนนักเตะรายอื่นๆทั้ง จอร์จินโญ่ ,มัตเตโอ โควาซิช ,มาร์กอส อลอนโซ่ ,อันเดรียส คริสเตียนเซ่น ,คัลลั่ม ฮัดสัน โอดอย หรือ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ แม้กระทั่ง เกปา อาร์ริซาบาลาก้า ก็ได้รับโอกาสมากขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเขายังคงไม่ทอดทิ้งแข้งที่ แลมพาร์ด สร้างเอาไว้อย่าง เมสัน เมาท์ ที่ถึงเวลานี้ก็ยังคงยึดตำแหน่งตัวจริงได้อยู่เสมอ
“นักเตะต่างผสมผสานกัน ผู้คนเคยพูดว่าตอนที่ แลมพาร์ด จากไป และ ทูเคิล เข้ามารับช่วงต่อ มันจะเป็นการกลับไปใช้งานแข้งต่างชาติอีกครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะเขาได้นำความเชื่อมั่น และการเป็นหนึ่งเดียวกันกลับคืนสู่ทีม ”
“แข้งที่เหมือนจะหมดอนาคตในยุค แลมพาร์ด ต่างรู้สึกว่าจิตวิญญานในการลงสนามได้ถูกกระตุ้นให้กลับมาอีกครั้ง เขาต้องการให้ทุกคนในทีมรู้สึกดี และพร้อมที่จะลงเล่น” แหล่งข่าววงในกล่าว
ถึงเวลานี้อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอกว่า ทูเคิล นั้นคือคนที่ใช่ของ เชลซี แต่จากสิ่งที่เขาเปลี่ยนแปลงภายในทีมมากมาย มันก็ทำให้แฟนบอลเชลซีแน่ใจได้ไม่มากก็น้อยว่า ทีมกำลังเดินมาอย่างถูกทางแล้ว
และการเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกครั้ง ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า โรมัน อบราโมวิช ประธานสโมสร ไม่ได้คิดผิดที่เขาจะคิดเร็วทำเร็วเหมือนที่เคยเป็นมา
DaboyG