บอลโลกเป็นเหตุ : ไมเคิ่ล โอเว่น กับชื่อเสียงที่เกินรับมือไหว

บอลโลกเป็นเหตุ : ไมเคิ่ล โอเว่น กับชื่อเสียงที่เกินรับมือไหว

นักเตะในทีมชาติต่างกลายเป็นวีรบุรุษของคนทั้งประเทศ จากพาทีมไปไกลถึงรอบลึกๆหรือแม้กระทั่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก พร้อมทั้งได้รับชื่อเสียงเงินทองมากมาย 

แต่จริงๆแล้ว สำหรับใครบางคนมันไม่สนุกเลยซักนิด และหนึ่งในนั้นคือ ไมเคิ่ล โอเว่น อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ที่แจ้งเกิดระดับโลกเต็มตัวในเวทีฟุตบอลโลกปี 1998

ทว่าทำไมเจ้าของฉายา ‘เบบี้โกล’ ถึงคิดแบบนั้น UFA ARENA จะพาไปเจาะลึกผ่านบทสัมภาษณ์ที่เจ้าตัวเคยเปิดใจใน Fourfourtwo ผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

จุดเริ่มต้น

Lilleshall: FA's School of Excellence, producing stars like Sol Campbell  and Michael Owen, is now a luxury wedding venue | The Sun

โอเว่น เล่าว่าเขาเชื่อมั่นในตัวเองมากๆในคืนที่พบกับอาร์เจนติน่า แม้ด้านร่างกาย จะไม่ได้แข็งแกร่งกว่า คิลิยัน เอ็มบัปเป้ ในวัย 19 ปี และด้านเทคนิค ก็ก็ไม่ดีเท่า กองหน้าทีมชาติฝรั่งเศส เหมือนกัน แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าตัวมองว่าเหนือกว่า แข้งเฟรนช์แมน

แต่ด้านจิตใจ ผมว่าผมแข็งแกร่งกว่าเขาแน่นอนในวัยเดียวกัน แถมเขายังแก่กว่าผมตอนปี 98 ซะอีก” อดีตแข้งชาวอังกฤษ กล่าว

ในหัวของผมมักจะนึกตลอดว่าตัวเองมีวุฒิภาวะมากกว่าวัยเสมอ จิตใจที่แข็งแกร่งของผมคือสิ่งสำคัญ เมื่อไหร่ที่มีโอกาสทำประตู ผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะใจเต้นตึกตัก แต่คุณต้องเป็นอีกแบบ คุณต้องใจเย็นให้เหมือนกับน้ำแข็งเลย

การไปลีลชอลล์ทำให้ โอเว่น เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งการจากบ้านในวัย 14 ปี เป็นเรื่องที่ยากพอสมควร 2 ปีที่ต้องบอกลาครอบครัว แต่มันก็ช่วยสอนให้คุณเติบโตอย่างรวดเร็ว ได้อยู่กับเพื่อนๆอีก 31 คน ได้เรียนรู้ว่าเป็นยังไง และจะเป็นอย่างไรเมื่อเข้าอยู่ในทีมชุดใหญ่ โดยในตอนนั้นมีทั้ง เวส บราวน์, อลัน สมิธ แล ไมเคิ่ล บอล อยู่ในลีลชอลล์ช่วงเดียวกับเขา และทุกคนก็ได้เล่นในทีมชาติอังกฤษด้วย

 

เติบโตอย่างรวดเร็ว

Michael Owen on being a Premier League hero at 18, his most memorable  moment and how he became an expert finisher | The Independent | The  Independent

เมื่อ โอเว่น อยู่ลิเวอร์พูลได้ 4 ปี ทีมก็ส่งเขาไปทดสอบฝีเท้าที่ลีลชอลล์ โรงเรียนฝึกทักษะลูกหนังของเอฟเอ ซึ่งเขากับสวีเว่น เจอร์ราร์ด อยู่ทีมทดสอบฝีเท้าชุดสุดท้าย แย่หน่อยที่สตีวี จี ทำไม่สำเร็จ 

‘เบบี้โกล’ มีรูปของนักเตะลิเวอร์พูลอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และ นีล รัดด็อก ในห้องนอน และ ‘หงส์แดง’ ก็เป็นทีมเขาเชียร์มาเสมอ และไม่แปลกที่เขาอยากเป็นฟาวเลอร์

ประสบการณ์ครั้งแรกที่ โอเว่น มีเกี่ยวกับฟุตบอลมักจะประสบความสำเร็จเสมอ ในทีมชาติอังกฤษชุด U-15 ก็ทำลายสถิติมากมาย ได้เล่นทั้งชุด U-16 และ U-17 จากนั้นก็เข้าไปอยู่ในทีมลิเวอร์พูลชุดสำรอง และคว้าแชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ มาครองได้สำเร็จ

ทว่าเขามักจะถามตัวเองตลอดว่า ประตูที่ยิงช่วยให้เขามั่นใจมากขึ้นหรือเขาต้องเชื่อมั่นกับตัวเองก่อนว่าจะยิงได้ แม้ในด้านจิตใจอาจพร้อมแล้ว หลังยิงประตูให้ลิเวอร์พูลตั้งแต่นัดประเดิมสนามกับวิมเบอร์ดันในช่วงท้ายฤดูกาล 1996-97 แต่เขาก็ยังคิดว่ายังไงตัวเองก็คงไม่ได้เล่นมากนักในปีต่อมา

เมื่อ สแตน คอลลีมอร์ย้ายไปแอสตัน วิลล่า แต่ลิเวอร์พูลก็เซ็น คาร์ล ไฮนซ์ รีดเล่ ที่มีประสบการณ์ในทีมชาติเยอรมันมากมายมาร่วมทีม ดังนั้นโอเว่น จึงคิดว่าคงไม่มีโอกาสในชุดใหญ่มากนัก เพราะมีทั้งฟาวเลอร์และ รีดเล่ ขวางทางอยู่ 

แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาได้เป็นตัวจริงตั้งแต่เกมแรกในฤดูกาล 1997-98 ซึ่งพบกับวิมเบอร์ดันอีกครั้ง และได้ลงเล่นบ่อยๆด้วยในปีนั้น สุดท้ายเขายิงได้ 18 ประตูในลีกพร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวพรีเมียร์ลีกร่วมกับดิออน ดับลินและ คริส ซัตตัน นี่ถือเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ สำหรับนักเตะวัยแค่ 17 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีกองหน้าอย่าง เอียน ไรท์, แอนดี้ โคล, อลัน เชียเรอร์ และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ ค้าแข้งอยู่ในลีกด้วย

แม้จะเป็นแบบนั้น แข้งชาวอังกฤษก็ไม่คิดว่าตัวเองใกล้เคียงกับการเล่นในทีมชาติเลย แต่ถ้ายิงได้เรื่อยๆ และคว้ารางวัลรองเท้าทองคำมาได้ ก็คิดว่าอาจได้รับโอกาสจริงๆในในฤดูกาลหน้าก็ได้

แต่ในเดือนกุมภาพันธ์ ระหว่างที่ โอเว่น กำลังตีกอล์ฟกับพ่ออยู่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นั่นเป็นเบอร์ของดัก ลิเวอร์มอร์ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของ ‘หงส์แดง’ ทันใดนั้นเขาก็คิดว่า “กูทำอะไรผิดหรือป่าววะ” แต่หลังจากที่รับสายเขาบอกว่า “ฉันมีข่าวดีมาบอก นายได้ติดทีมชาติอังกฤษ”  

ในตอนแรก โอเว่นมีสกอร์นำพ่ออยู่ แต่หลังจากสายนั้น เขากลับแพ้พ่อซะงั้น มันทำให้เขาไม่มีสมาธิเลย แต่ทำให้เขารู้สึกก็ตื่นเต้นมากๆเช่นกัน และแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะบอกให้ทุกคนได้รับรู้เรื่องนี้

 

สิงโตหนุ่ม

Michael Owen enters final straight after scaling rare heights | The Times

โอเว่น เล่าต่อว่า การได้ติดทีมชาติเป็นครั้งแรก เขาเคารพทุกคนมากๆ ทั้งพอล แกสคอยน์ ฮีโร่ในวัยเด็กของผม แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็เชื่อว่าตัวเองนั้นดีพอเช่นกัน 

เมื่อผมข้ามเส้นนั้นมาได้ ผมก็ไม่เกรงกลัวใครในวงการฟุตบอล ผมรู้สึกว่าตัวเองสมควรอยู่ ณ ตรงนี้ หรือรู้สึกตัวเองเจ๋งที่สุดในสนามแล้ว แต่มันเป็นทัศนคติแย่ๆที่คุณต้องมี” โอเว่น กล่าว

คุณอาจจะรู้สึกอายเมื่อเห็นนักมวยพูดว่า “ผมคือเบอร์หนึ่งของโลกและผมจะตั้นหน้าใครสักคนให้หมอบไปเลย” แต่ถ้าคุณไม่คิดแบบนั้น ก็ไม่มีทางเป็นที่หนึ่งได้ นอกสนามคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นนะ แต่ในสนามคุณต้องคิดแบบนั้นแหละ ผมถูกเปรียบเทียบกับนักเตะคนอื่นมากมายๆ เมื่ออายุ 17 หรือ 18 และผมก็คิดว่า “แน่ใจหรอวะ” ให้ผมปิดตาเล่นบอล ยังเล่นดีกว่าเขาอีก

เขายังเชื่อมั่นในตัวเองเสมอ และหลังจากที่ยิงประตูแรกให้ทีมชาติได้ในเกมที่พบกับโมร็อคโก ซึ่งเป็นเวลา 1 เดือนก่อนจะถึงเวิลด์คัพ เกล็น ฮอดเดิ้ล นายใหญ่ของทีม ก็บอกกับผมว่า “นายจะไม่ได้มาบอลโลกเฉยๆแน่นอน ถึงนายจะไม่เป็นตัวจริงในเกมแรก แต่นายจะได้เป็นตัวจริงแน่นอน” 

เกมแรกในรอบแบ่งกลุ่มกับตูนีเซีย นั้นแย่ที่สุดสำหรับเจ้าตัว เนื่องจากเขาต้องการจะทำให้คนอื่นรู้จักและเป็นตัวจริงให้ได้ แม้อาจดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย แต่การลงเล่นในช่วง 5 นาทีสุดท้าย ในช่วงที่ทีมนำอยู่เป็นอะไรที่ไม่สบอารมณ์เลยสำหรับเขาในตอนนั้น

แต่ในเกมที่ตามหลังโรมาเนีย 1-0 ในนัดต่อมา โอกาสของดาวรุ่งเลือดผู้ดีก็มาถึง เขาถูกเปลี่ยนตัวลงมาและทำประตูได้ และในนัดสุดท้ายที่พบกับโคลอมเบีย เขาก็ได้ลงเล่นตัวจริงตามที่ ฮอดเดิ้ล ให้สัญญา และได้ลงเล่นในเกมต่อมา

 

สวัสดีชาวโลก

bet365 on Twitter: "ON THIS DAY: In 1998, Michael Owen scored *that* goal vs  Argentina. FAV if that makes you feel old. http://t.co/KWkzshqIzS" / Twitter

หลังจากโคลอมเบีย ก็มาพบกับอาร์เจนติน่า นี่เป็นเกมใหญ่มากๆ ความประหม่าจึงเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่ โอเว่น ก็ยังเชื่อมั่นในตัวเอง แม้จริงๆแล้วเขาจะไม่รู้จักว่าคู่แข่งคือใครก็ตาม

“ผมได้ยินชื่อของกาเบรียล บาติสตูต้าอยู่แล้ว แต่ก็แค่นั้น และผมก็หวังว่าจะเก็บความรู้สึกนี้ไปตลอดการค้าแข้งของผม ทั้งความไร้เดียงสา, ปราศจากความกลัว, ความมั่นใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม และความต้องการเอาชนะคู่แข่ง” เจ้าของฉายา ‘เบบี้โกล’ เล่าต่อ

 “แต่สิ่งเหล่านี้จะหายไปเมื่อคุณเติบโตขึ้น ในช่วงต่อมาของการค้าแข้ง ผมคงคิดว่า “ผมเจอกับทีมในวันนี้ เซ็นเตอร์ฝั่งขวาเขาแข็งแกร่งและรวดเร็ว ดังนั้นผมจะลองดวลกับซ็นเตอร์ฝั่งซ้ายดู” แต่ในวันนั้น ผมไม่สนใจว่าจะเล่นกับใคร สนแค่วันนี้จะยิงซักกี่ประตูดี?”

อดีตหอก ลิเวอร์พูล ไม่รู้จักนักเตะจากอาร์เจนติน่ามากนัก แต่เขาก็คอยปั่นป่วนแนวรับของทีม ‘ฟ้าขาว’ จนดูไม่จืดเลย และเรียกจุดโทษให้ทีมได้  ก่อน อลัน เชียเรอร์เป็นคนสังหารให้ทีมตามตีเสมอได้ 1-1 ก่อนที่เขาจะทำประตูที่หลายคนจดจำได้ไม่ลืมในวันนั้น

“ถ้าคุณมองประตูที่ผมทำได้ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา คุณจะเห็นผู้เล่นอยู่กลางสนาม แต่แว๊บเดียวก็ไม่เห็นแล้ว เดวิด เบ็คแฮมจ่ายบอลให้ผม ในตอนนั้นผมก็คิดว่าจะเก็บบอลไว้กับตัวหรือจ่ายให้พอล อินซ์ หรือ ดาวิด แบ็ตตี้ ดี เพราะผมอยู่ตรงกลางสนามเลย”

“จากนั้นผมก็สังเกตุว่า โฮเซ่ ชามอต อยู่ติดกับผมมาก ถ้าผมจับบอลแรกได้ดี ผมสามารถวิ่งผ่านเขาไปได้ ซึ่งผมก็ทำแบบนั้นได้ และแหงนมองตรงไปข้างหน้า ผมคิดว่า “กูผ่านมาแล้ว” จากนั้นก็เห็นโรแบร์โต้ อยาล่า อยู่ห่างมากๆ  เพราะเขารับรู้ถึงความเร็วที่ผมมี และยืนรออยู่ ซึ่งผมไม่เคยเห็นกองหลังคนไหนยืนตำแหน่งแบบนี้เลย”

“ผมพาบอลไปข้างหน้าต่อ พอล สโคลส์ ก็วิ่งขนาบข้างผมมา แต่ ณ จุดนี้ผมคงไม่จ่ายบอลให้เขาแล้ว เมื่อผมทำประตูได้ ผมดีใจอย่างบ้าคลั่งเป็น 10 วินาทีเลย ขณะที่ทุกคนเข้ามากระโดดกอดผม แต่ผมก็มุ่งกลับไปโฟกัสที่เกมต่อทันที จนลืมไปด้วยซ้ำว่ามีผู้คนหลายล้านดูประตูนี้อยู่ที่อังกฤษ”

 

อย่าเป็นเพราะผม

WorldCupAtHome: Argentina frustrate England again

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ประตูชัยของ อังกฤษ เนื่องจากต้องยิงจุดโทษตัดสินหลังจากเสมอในช่วงต่อเวลา 2-2 และแม้ผมจะยิงประตูมาได้ แต่โอเว่นก็ยังรู้สึกว่าไม่อยากทำให้ใครผิดหวังด้วยเช่นกันในช่วงเวลาสำคัญ

ผมพยามจัดการกับความรู้สึกนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องแย่ๆของทีมชาติอังกฤษ แต่คุณควรจะไปยิงจุดโทษจริงๆหรอ หากคิดว่าตัวเองจะยิงไม่เข้า และลงเอยด้วยการกลายเป็นพนักงานขายพิซซ่าในท้ายที่สุด? ถ้าทุกคนคิดแบบนี้จริงๆ บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมเราแพ้การดวลจุดโทษตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” อดีตแข้งวัย 42 ปี กล่าว

ผมยิงจุดโทษเข้า แต่ไม่รู้สึกสนุกเลย แต่ก็เชื่อว่าถ้าเราแพ้จริงๆ  ผมก็คงไม่โดนด่าตลอดชีวิตหรอก ผู้คนมักจะไม่จดจำสิ่งที่คุณทำมาตลอด 15 ปี แต่พวกเขาจะจำว่าคุณเคยยิงจุดโทษไม่เข้าหรือลื่นตอนยิง ซึ่งการทำแบบนั้นเป็นเหมือนการสร้างแผลเป็นในใจ และเป็นเรื่องยากที่จะรับมือจริงๆ

ถ้าอดีตแข้ง เรอัล มาดริด อายุ 28 ในตอนนั้น คงทำอีกอย่างหลังจากทีมแพ้ในเกมนั้น แต่สำหรับเด็กอายุ 18 ปี มันยากที่คิดได้อย่างแจ่มแจ้ง และสิ่งที่เขาจะทำเป็นอย่างแรกคือจะเข้าไปหาเบ็คแฮมและปลอบใจเขา แต่ภาพที่ปรากฏออกมา เขาคือฮีโร่และ เดวิด เบ็คแฮม ที่โดนใบแดงกลายเป็นผู้ร้าย 

ผมอยากจะเป็นผู้เล่นเพื่อทีมมากกว่านี้ แต่อารมณ์ของผมในตอนนั้นอาจจะแตกต่างจากคนอื่นๆ ทำให้ทุกคนเข้ามาหา แตะไหล่เบาๆ และพูดว่า “สุดยอดมาก ไม่ต้องกังวลไป นายยังมีเวลาอีกตั้ง 15 ปี” ทุกอย่างดูเป็นเรื่องบวกเสมอสำหรับผม

เราบินกลับอังกฤษด้วยเครื่องบินคองคอร์ด และกัปตันก็พูดว่า “นายช่วยมาห้องคนขับตอนเครื่องลงจอดแล้วได้มั้ย” เขาเอาธงชาติอังกฤษมาให้ผมและบอกว่า ผมน่าจะโบกธงไปมาที่หน้าต่างนะ มันเยี่ยมไปเลย แม้ผมจะเขินๆเรื่องนั้นบ้างก็ตาม จากนั้นผมก็ขี่รถกลับบ้าน และจำได้ว่ามีทั้งผู้คน,ช่างภาพ และ นักข่าวจากช่องต่างๆ ยืนเรียงกันเต็มหน้าบ้านไปหมด และพวกเขาก็ปรบมือตอนรับผมกลับมาด้วย

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงที่เข้ามาเริ่มเปลี่ยนชีวิตของ ลูกหม้อ ลิเวอร์พูล ไม่ว่าจะเป็นทุกๆเช้าที่ขี่รถไปเล่นกอล์ฟกับพ่อ จะมีคนกลุ่มคนตามมาเสมอ ทั้งคนที่เข้ามาถ่ายรูปมากมาย จนเขามองว่านี่กลายเป็นสิ่งที่ล้วงล้ำความเป็นส่วนตัวเกินไปหน่อยแล้ว

 

ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

The story of Man Utd 2 Liverpool 1 1999 from the Impossible Treble |  Manchester United

หลายคนรู้จัก โอเว่น ก่อนฟุตบอลโลก และลิเวอร์พูลเป็นหนึ่งในทีมที่มีแฟนบอลยอดเยี่ยมที่สุดในโลก แต่การเล่นในฟุตบอลโลกช่วยทำให้ทั้งโลกรู้จักคุณ มันเปลี่ยนทุกอย่างไปเลย

ผู้คนมักจะตื่นเต้นเมื่อไหร่ที่เจอเขาและจากที่เคยได้จดหมายแค่เพียงไม่กี่ฉบับก่อนบอลโลกกลายเป็นจำนวน 4 กระสอบในทุกวันหลังจากนั้น

พูดตรงๆเลยว่านั่นเป็นปัญหา เมื่อคุณต้องมาเป็นแบบที่ผมเป็น ผมจำเป็นต้องไปซ้อมกับลิเวอร์พูล จากนั้นก็กลับบ้านอย่างรวดเร็ว เพราะมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ที่บ้าน แม่ผมใช้เวลาทั้งเช้า,สาย,บ่าย และ เย็น กับจดหมายเหล่านั้น ต้องเอามาให้ผมเซ็น ผมเคยกลับบ้านไปตอนบ่ายและนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง 5 ทุ่ม เพื่อตอบจดหมาย” เขาย้อนความถึงช่วงนั้น

เราไปไหนไม่ได้เลย แม่ผมดูเครียดพอตัว เพราะเธอบอกว่า “โอ้ ผู้คนพวกนี้พูดถึงแต่เรื่องดีๆของลูกทั้งนั้นเลย” และแม่ก็อยากตอบจดหมายเหล่านั้นด้วย ผมจึงต้องทำแบบนั้นต่อไป ดังนั้นสิ่งเหล่านี้มันส่งผลกระทบต่อผมมากจนทำให้ผมต้องออกจากสนามซ้อมก่อนเวลาเพื่อมาจัดการกับเรื่องพวกนี้

แต่แล้ว เอเย่นต์ของ โอเว่น ก็เข้ามาช่วยเหลือ เขาจ้างคนมาจัดการกับเรื่องนี้ จากนั้นเขาใช้เวลา 1 ชั่วโมงต่อวันในการเซ็นจดหมายกลับไป 500 ฉบับเท่านั้น แม้มองย้อนกลับไปมันดูตลกดีนะ แต่ตอนนั้นมันก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับเขาจริงๆนั่นแหละ

ทว่าเมื่อเขาได้เริ่มเล่นกับลิเวอร์พูลอีกครั้งหลังจากบอลโลก เขากลับรู้สึกกดดันมากกว่าที่เคย ความคิดเห็นของคนทั่วไปสำคัญเสมอ และนั่นทำให้เขากลัวมากว่าจะมีใครว่าบอกว่าเขาเป็นแค่พวกเก่งแค่เดี๋ยวเดียว 

 

ภายใต้แสงสี

Five most controversial Ballon d'Or wins ranked - from Michael Owen to  Pavel Nedved - Daily Star

นอกเหนือจากความคิดลบๆพวกนั้น เขาก็มีแรงกระตุ้นเช่นกัน หลังจากยิงประตูแรกได้ในเกมที่พบกับเซาธ์แฮมตัน จากนั้นก็ทำแฮตทริกใส่นิวคาสเซิล

ในเกมที่พบกับนิวคาสเซิลเป็นครั้งแรกที่มีคนหมายหัวหอกดาวรุ่ง ‘หงส์แดง’ โดยเขาเล่าวิ่งเหยาะเข้าประจำตำแหน่ง จากนั้นสจวร์ต เพียร์ช ก็เข้ามาขู่ว่า “มึงต้องเจอกับกูวันนี้ ไอหนู ระวังไว้ให้ดี” แน่นอนว่าเขาระวังมากขึ้น แต่ก็ไม่กลัวเช่นเดียวกัน

ทว่า หอกหนุ่มเริ่มกลัวมากขึ้น หลังจากได้รางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของสหราชอาณาจักรประจำปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องออกไปพูดต่อหน้าคนเยอะๆ และกังวลว่าจะพูดอะไรเวิ่นเว้อเกินไป รวมถึงตอนคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของบอลโลก

ตอนคว้ารางวัลบัลลง ดอร์ ปี 2001 ก็ไม่ต่างกัน เชราร์ อุลลิเย่ร์บอกว่า “นายคว้าบัลลงดอร์เลยนะ” ซึ่งเจ้าตัวยินดีกับรางวัล แต่หลังจากนั้นก็ไม่คิดถึงมันอีก บางทีอาจจะไม่ได้คิดถึงมันอีกเลยจนกระทั่งผมได้โชว์รางวัลนี้อีกครั้งที่แอนฟิลด์ ซึ่งมันทำให้เขากระตือรือร้นมากขึ้น

คุณจะยินดีกับรางวัลนี้เป็น 10 เท่าเมื่อคุณแขวนสตั๊ดไปแล้ว และเมื่อผมได้มองงานมอบรางวัลบัลลงดอร์ในโทรทัศน์ ผมก็เห็นแต่ลิโอเนล เมสซี่ ไม่ก็คริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ได้รางวัลนี้ไปครอง รวมถึงรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมของสหราชอาณาจักรประจำปีก็ไม่ต่างกัน

ผมจะไม่ขอโทษหรอกนะที่ทำแบบนั้นหลังจากได้รางวัลในช่วงค้าแข้ง เช่น “ใช่ รางวัลนี้อยู่ในกระเป๋าฉันแล้ว รางวัลต่อไปที่ฉันจะได้คืออะไรนะ?” แต่ถ้าคุณไม่คิดแบบนั้น คุณไม่มีทางที่จะเดินหน้าและคว้าชัยชนะมาได้ต่อไปหรอก ผมเคยพูดกับ โทนี่ แม็คคอย และ ฟิล เทย์เลอร์ ว่าไม่มีความสนุกในการทำสิ่งใดๆหรอก มีแต่ความกลัวว่าจะมีใครซักคนที่เหนือกว่าคุณและเอาชนะไปได้ และเวลาเห็นทีมอื่นคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ผมอิจฉาและฉกเข้าไปที่ทีวีทุกครั้ง

 

การปรับเปลี่ยน

World Cup 2022 schedule and dates in full: Today's match times, group  stages and finals

นักเตะอังกฤษรุ่นใหม่กลายเป็นฮีโร่ในซัมเมอร์ที่ รัสเซีย เมื่อ 4 ปี ซึ่ง โอเว่น ยอมรับในจุดนั้น แต่เขาคิดว่าในรุ่นของเขาดีกว่านี้ถึงสองเท่าเลย ไม่ว่าจะเป็น แฟร้งค์ แลมพาร์ด, สตีเว่น เจอร์ราร์ด, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เวย์น รูนี่ย์ 

แต่ถ้าพูดถึงเรื่องหัวจิตหัวใจนักสู้ อดีตดาวยิง ลิเวอร์พูล ก็มองว่าทีมชุดปัจจุบัน มันล้ำหน้าเหนือกว่าความสามารถของพวกเขาไปเยอะ พวกเขาเล่นได้สนุกและน่าภูมิใจมากที่พวกเขาเป็นตัวแทนของอังกฤษในบอลโลกครั้งนี้

สำหรับผู้เล่นที่ถูกจับตามองหลังจากที่โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในบอลโลก พวกเขาอาจจะได้เปรียบในตอนนี้ มันช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้ แต่คุณก็จำเป็นต้องถ่อมตัวยามอยู่นอกสนามด้วยเช่นกัน นี่คือจุดที่ เจ้าของฉายา ‘เบบี้โกล’ อยากแนะนำรุ่นน้องในทีมชาติ

จุดแข็งที่สุดของผมก็คือผมสามารถแบ่งแยกระหว่างชีวิตจริงๆและการเป็นนักฟุตบอลได้ เมื่อผมเดินผ่านอุโมงค์ในสนาม ผมจะเปิดสวิตช์ให้อยู่ในโหมดงานทันที ผมรักงานของผม แต่ก็มีคนมากกว่า 50,000 คนตะโกนชื่อคุณอยู่ มันไม่ใช่เรื่องปกติอยู่แล้ว ถ้าจะมีคนพันๆคนขี่รถตามคุณ,แวะทักทายคุณเพื่อขอลาย,เพื่อถ่ายรูป จากใครก็ไม่รู้หรือเด็กที่สวนสาธารณะ

นักฟุตบอลหลายคนอาจจะยืดติดกับชื่อเสียงและมันคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ แต่ผมรู้สึกว่าเราต้องสลับสวิตช์เมื่อออกจากสนาม เมื่อผมกลับไปบ้าน ผมเป็นพี่ชาย,เป็นลูกชาย, ผมมีแฟน, ผมมีเจ้าตูบ ผมทำทุกอย่างเหมือนคนปกติทั่วไป เมื่อลงสนามกับลิเวอร์พูลนั่นคืออีกโลกนึง คุณรักมัน นี่เป็นชีวิตที่ดีสุดในโลกเลย แต่ถ้าไม่สามารถรับมือกับมันได้ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ และการพึ่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดต่างๆก็ไม่ช่วยให้คุณรับมือกับมันได้ คุณจะคิดว่าการยกย่องสรรเสริญคือสิ่งเป็นบรรทัดฐานของนักฟุตบอล ซึ่งมันไม่ใช่เลย

เจ้าตัวหวังว่านักเตะ ‘สิงโตคำราม’ ทั้งหลายจะใช้มันเพื่อสร้างประสบการณ์ในแง่บวก บางคนอาจจะได้ไปต่อ บางคนก็อาจจะลืมรากเหง้าของตัวเอง แต่อย่างน้อยก็เชื่อว่านี่จะกระตุ้นให้นักเตะมีอาชีพค้าแข้งที่ดีขึ้นได้ในอนาคตข้างหน้า

ผมคว้ารางวัลดาวซัลโวอีกครั้งหลังจากบอลโลกปี 1998 โดยครองร่วมกับดไวท์ ยอร์ค และ จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ ในใจผมแม้จะมีความกดดันผสมอยู่ แต่ผมก็เชื่ออยู่เสมอว่าผมเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ผมต้องเชื่อแบบนั้น

ผมหวังว่าถ้ามีใครซักคนเห็นผมบนถนนตอนนี้ พวกเขาจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆในช่วงค้าแข้งของผม เช่นประตูของผมในนัดชิงเอฟเอ คัพปี 2001 กับอาร์เซน่อล, แฮตทริกใส่เยอรมัน และประตูนั้นกับอาร์เจนติน่า ผมยินดีมากๆกับทุกๆเหตุผลดีๆที่ทุกคนจดจำ และประตูกับอาร์เจนติน่าในวันนั้นได้เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

เบลลิ่งแฮมยังห่าง : 10 แข้งอายุน้อยสุดซัดประตูในฟุตบอลโลก
เบลลิ่งแฮมยังห่าง : 10 แข้งอายุน้อยสุดซัดประตูในฟุตบอลโลก