ย้อนกลับไปในเดือนตุลาคมปี 2020 นักเตะที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดที่ในประวัติศาสตร์ของ อาร์เซน่อล อย่าง เมซุต โอซิล กลายเป็นคนไร้ตัวตนหมดอนาคตกับทีม เมื่อไม่มีชื่อชุดลุยพรีเมียร์ลีก
การตัดสินที่เด็ดขาดปราศจากความเห็นอกเห็นใจของเหล่าผู้บริหารเบื้องบนเป็นการพิสูจน์ว่า อดีตกองกลางทีมชาติเยอรมัน ถึงเวลาปิดฉาก 7 ปี ในเอมิเรสต์ สเตเดี้ยมแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เขาได้ลงเล่นทุกเกมในลีกนับตั้งแต่ มิเกล อาร์เตต้า เข้ามาคุมทีมในเดือนธันวาคมปี 2019 ก่อนที่การแพร่ระบาดโควิด-19 จะทำให้การแข่งขันทั่วโลกหยุดชะงัก
นับตั้งแต่นั้น ดาวเตะจอมแอสซิสต์ ก็ไม่ได้ลงเล่นให้สโมสรอีกเลย หลังลีกผู้ดีกลับมารีสตาร์ทอีกครั้งในเดือนมิถุนายน โดยได้ลงเล่นเกมสุดท้ายในนัดที่เฉือนชนะ เวสต์แฮม 1-0 ต่อหน้าแฟนบอลกว่า 60,000 คนในรังเหย้าสโมสรก่อนล็อคดาวน์
หลังเหลือสัญญา 6 เดือนสุดท้าย โอซิล บอกใบ้เป็นนัยว่าเตรียมย้ายทีมในช่วงปีใหม่ ซึ่งนี่ถือเป็นการแยกทางกับทีมที่น่าเศร้าสำหรับนักเตะที่ครั้งหนึ่งเคยถูกให้เป็นเพลย์เมกเกอร์เบอร์ต้นของวงการลูกหนัง และสร้างความตื่นเต้นให้กับแฟนบอล ปืนใหญ่ มากมาย
เป็นที่ถกเถียงกันว่าเขาฟอร์มตกจนกลับมาเป็นคนเดิมไม่ได้แล้ว หรือเป็นแค่นักเตะที่สโมสรไม่ต้องการอีกต่อไป แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน อดีตแข้งขวัญใจ ‘กูนเนอร์ส’ ก็ต้องเดินหน้าต่อไปกับสโมสรใหม่หลังจากนั้น อีกทั้งยังเป็นเส้นทางที่ลำบากไม่แพ้กันด้วย…
เริ่มใหม่ได้สวยงาม
หลังจากช่วงเจรจาและมีการคาดการณ์เรื่องย้ายไปเล่นแบบยืมตัว สัญญาของ โอซิล ในอาร์เซน่อล ก็ถูกยกเลิกก่อนกำหนดอย่างเป็นทางการ และทำให้เขาสามารถย้ายไปเล่นกับ เฟเนร์บาห์เช่ ยอดทีมจากลีกตุรกีได้แบบไร้ค่าตัวในเดือนมกราคมปี 2021
“ผมตื่นเต้นมากๆ เพราะเป็นแฟนของ เฟเนร์บาห์เช่ เสมอ ฝันของผมเป็นจริงแล้ว” เจ้าตัวกล่าวหลังเปิดตัวกับต้นสังกัดใหม่ “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงตื่นเต้นกับการได้สวมชุดนี้ ผมหวังว่าจะประสบความสำเร็จกับเพื่อนร่วมทีม และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปด้วยดี”
ในทีมชุดนี้มีนักเตะเก่าจากพรีเมียร์ลีกที่แฟนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ทั้ง เอนเนอร์ วาเลนเซีย, ปาปิส เดมบา ซิสเซ่ รวมไปถึงกองกลางตัวเก๋าทีมชาติบราซิลอย่าง หลุยส์ กุสตาโว้ เช่นเดียวกับ ไบรท์ โอซายี่-ซามูเอล ดาวรุ่งจาก คิวพีอาร์ ก็ย้ายซบทีมแดนไก่งวงในเวลาไล่เรียกับ อดีตกองกลางจาก ‘ปืนใหญ่’
เฟเนร์บาห์เช่ ที่ทำผลงานขึ้นๆลงๆในครึ่งแรกของฤดูกาล 2020-21 อีกทั้งยังแพ้ถึง 4 จาก 7 เกมหลังสุดในลีกปี 2020 แต่ช่วงที่กองกลางชาวเยอรมัน กำลังย้ายมาร่วมทีม พวกเขาก็ทะยานกลับไปลุ้นแชมป์อีกครั้ง ด้วยการเก็บ 19 จาก 21 แต้มเต็มในเดือนมกราคม
อีกทั้งนัดประเดิมสนามของ มิดฟิลด์ป้ายแดง ก็น่าประทับใจไม่น้อย แม้เป็นการลงเล่นเกมอาชีพครั้งแรกในรอบ 11 เดือน แต่ก็มีส่วนช่วยให้ เฟเนร์บาห์เช่ พลิกกลับมาชนะ ฮาเตย์สปอร์ 2-1 พร้อมรั้งตำแหน่งจ่าฝูงต่อไปในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์
ตลอดอาชีพค้าแข้ง เขาคว้าแชมป์ลีกได้ครั้งเดียวกับ เรอัล มาดริด ในยุคของ โชเซ่ มูรินโญ่ ฤดูกาล 2011-12 ซึ่งเขาทำไปในปีนั้น 17 แอสซิสต์ และจู่ๆเขาก็มีโอกาสคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งที่ 2 กับสโมสรใหม่ในวัย 32 ปี
เจ็บบ่อยจนเค้นฟอร์มเก่งไม่ออก
เอรอล บูลุต ผู้จัดการทีมของ เฟเนร์บาห์เช่ ตัดสินใจส่ง โอซิล ในเกมสำคัญที่เปิดบ้านดวลกับ กาลาตาซาราย หลังเกมผ่านไป 1 ชั่วโมงในฐานะตัวทีเด็ดจากม้านั่งสำรอง ร่วมกับ ซิสเซ่ โดย ณ ขณะนั้นทีมของเขาตามหลังอยู่ 1-0
ทว่า อดีตกองกลาง ‘กันเนอร์ส’ ไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้เท่าไหร่นัก ก่อนพ่ายไปด้วยสกอร์ดังกล่าว และทำให้ทีมหล่นมารั้งอันดับ 3 ในลีก แต่ก็ถือว่าโชคดีที่ยังไม่มีแฟนบอลเข้าชมในสนาม
ต่อมา เฟเนร์บาห์เช่ ก็ไม่สามารถโชว์ฟอร์มแกร่งเหมือนช่วงต้นปี แถมสะดุดทำแต้มหล่นในหลายๆนัด ซึ่งทำให้ทีมหมดลุ้นแชมป์ไปเรียบร้อย
ทีมไม่เคยกลับไปทวงตำแหน่งจ่าฝูงได้อีกเลยหลังจากนั้น และหยุดอยู่กับอันดับ 3 เรื่อยมา จนทำให้ บูลุต ถูกปลดช่วกลางเดือนมีนาคม และแทนที่ด้วย เอมเร่ เบโลโซกลู อดีตกองกลางของสโมสร ทำหน้าที่กุนซือรักษาการณ์จนจบฤดูกาล ก่อนที่ เบซิคตัส จะคว้าแชมป์ลีกไปครอง โดยมี กาลาตาซาราย ตามมาเป็นอันดับที่ 2
ขณะที่ มิดฟิลด์หน้าใหม่ที่เพิ่งย้ายมาร่วมทัพในเดือนมกราคม ก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า จนทำให้เขาเข้าๆออกๆในทีมอยู่ตลอด และได้ลงเล่นเพียง 10 นัดเท่านั้นในซูเปอร์ลีกกับช่วงครึ่งฤดูกาลแรกใน เฟเนร์บาห์เช่
มากไปกว่านั้น อดีตเพลย์เกอร์ทีม ‘อินทรีเหล็ก’ ไม่ได้สร้างอิมแพ็คอะไรในทีมมากนัก เนื่องจากไม่สามารถทำประตูได้เลย รวมไปถึงการแอสซิสต์ที่เป็นจุดเด่นของตนเอง ก็ทำได้แค่ลูกเดียวเท่านั้นจาก 10 เกมที่ลงเล่น ซึ่งเกิดขึ้นในเกมพบ ซิวาซสปอร์ ด้วยการจ่ายบอลให้ ซิสเซ่ แต่ก็เป็นช่วงนาทีสุดท้ายของเกม แถมทีมของเขาก็พ่ายไป 2-1
นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าจะลำบากที่สุดในอาชีพค้าแข้งของ ดาวเตะเมืองเบียร์ก็ว่าได้ หลังเคยเป็นดาวเด่นที่สร้างสรรค์โอกาสได้มากมายกับสโมสรระดับโลก กลับต้องมากระเสือกกระสนเค้นฟอร์มเก่งกลับมาอีกครั้งในลีกตุรกี
โอกาสกู้ชื่อ?
อย่างไรก็ตาม ฤดูกาล 2021-22 เริ่มต้นด้วยความหวังใหม่ว่า โอซิล จะสามารถกลับมาเป็นผู้เล่นที่ เฟเนร์บาห์เช่ ต้องการให้เขาเป็นได้อีกครั้ง
ดาวเตะวัย 32 ปี ประเดิมฤดูกาลใหม่ด้วยการทำประตูแรกให้กับสโมสร พร้อมพาทีมเฉือนชนะ อดาน่า เดเมียร์สปอร์ 1-0 ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
ไม่แปลกที่เจ้าตัวจะฉลองอย่างลิงโลดหลังทำประตูได้ เพราะนี่ถือเป็นประตูแรกที่เขาทำได้ในฟุตบอลอาชีพรอบ 1 ปีครึ่ง นับตั้งแต่ยิงได้ในเกมที่ อาร์เซน่อล ถล่ม นิวคาสเซิล 4-0 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020
สัปดาห์ต่อมา กองกลางชาวเยอรมัน เป็นตัวสำรอง แต่ถูกส่งมาแทน วาเลนเซีย ในครึ่งหลังเกมพบ อันตัลยาสปอร์ ก่อนแอสซิสต์ในช่วงทดเวลาช่วยให้ทีมเอาชนะไป 2-0 และต่อมาก็ยิงประตูที่ 2 ให้สโมสรได้ในเกมบุกไปเสมอ ไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต 1-1 ในศึกยูโรป้าลีกนัดเปิดสนาม
ถึงอย่างนั้น ทุกอย่างก็ไม่ได้ราบรื่นดั่งหวัง เมื่อแข้งชุดแชมป์โลกปี 2014 ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงให้ เฟเนร์บาห์เช่ แค่ 3 จาก 8 นัดในลีก ฤดูกาลนี้ และชัดเจนว่าเจ้าตัวไม่พอใจกับสถานะที่เป็นอยู่เท่าไหร่นัก เมื่อ วิตอร์ เปเรย์ร่า กุนซือทีม เลือกไม่ส่งเขาลงสนามในเกมที่เฉือน คาซิมปาซ่า 2-1 ก่อนการเขวี้ยงเสื้อเอี๊ยมลงพื้นหลังสิ้นเสียงนกหวีด
แต่ 3 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ จากการลงเล่นไม่ถึง 500 นาที ก็ถือเป็นการกลับมาที่น่าพอใจในระดับหนึ่งแล้ว และแสดงให้เห็นว่าเขายังสามารถสร้างความแตกต่างในเกมได้ อย่างที่เคยทำได้บ่อยๆในช่วงพีกๆกับ มาดริด และ อาร์เซน่อล
เส้นทางในฤดูกาลนี้ยังอีกยาวไกล แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่สวยงามสำหรับ เฟเนร์บาห์เช่ ในมือของ เปเรย์ร่า ที่รั้งตำแหน่งจ่าฝูงซูเปอร์ลีกอยู่ในขณะนี้ โดยเก็บไป 19 แต้มจาก 8 นัด
โอซิล ต้องทนทุกข์ทรมานกับชีวิตค้าแข้งในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่ ณ เวลานี้ถือเป็นโอกาสที่เขาจะกลับมากอบกู้ชื่อเสียงอีกครั้งในช่วงบั้นปลายอาชีพ และการพายอดทีมจาก อิสตันบูล คว้าแชมป์ลีกแดนไก่งวงมาครอง คงพิสูจน์ถึงเรื่องนั้นได้เป็นอย่างดี