ความฝันสุดท้ายในการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ได้จบลงแล้ว หลังทีมชาติโปรตุเกส โดน โมร็อกโก เขี่ยตกรอบ ทว่าเส้นทางอาชีพค้าแข้งของเขามาถึงจุดจบแล้วหรือยัง?
หลังมีปากเสียงกับ เฟร์นานโด ซานโตส จนตกเป็นตัวสำรองในทัพ ‘ฝอยทอง’ ซึ่งท้ายที่สุดทัวร์นาเม้นต์อันแสนวุ่นวายก็จบลงไม่สวยเท่าไหร่สำหรับ CR7 แต่น้ำตาของเขาหลังชาติบ้านเกิดร่วงในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ก็บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ได้เป็นอย่างดี
การพลิกล็อคพ่ายต่อ โมร็อกโก นั่นหมายความดาวเตะวัย 37 ปี ยังคงไร้เหรียญแชมป์โลก ซึ่งเป็นแค่รายการเดียวที่เขายังไม่เคยครอบครอง และตอนนี้เขาก็กลายเป็นนักเตะระดับโลกที่ไร้สังกัดให้พักพิง หลังแยกทางกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อเดือนที่ผ่านมา
ผู้คนต่างสงสัยกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า เขาจะเล่นให้สโมสรไหน และขณะที่สื่อและแฟนบอลโปรตุเกส ยังคงรักใคร่ในตัวเขา คำถามก็คืออนาคตของเขาในทีมชาติจะจบลงไปพร้อมกับการตกรอบเวิลด์คัพหรือไม่?
ยิงได้ก่อนกลายเป็นสำรอง
โรนัลโด้ ลา ‘ปีศาจแดง’ ก่อนที่ฟุตบอลโลกจะเปิดฉากขึ้นไม่นาน แต่ช่วงเวลาของเขาที่ กาตาร์ ก็เริ่มต้นได้ดีพอควร
ทั้งการช่วยให้ โปรตุเกส ได้จุดโทษ ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกที่พบ กาน่า ก่อนซัดมันเข้าไปจนกลายเป็นนักเตะคนแรกที่สามารถทำประตูได้ในฟุตบอลโลกถึง 5 สมัย
ทว่าสิ่งต่างๆก็ค่อยๆ ดิ่งลงมาหลังจากเกมนั้น หลังกัปตันทัพ ฝอยทอง ไม่สามารถทำรประตูได้เลยในเกมรอบแบ่งกลุ่ม 2 นัดต่อมา ก่อนมีปัญหากับ เฟร์นานโด ซานโตส หลังมีปากเสียง และทำท่าทีไม่พอใจในตอนที่ถูกเปลี่ยนตัวในเกมพ่าย เกาหลีใต้
จากนั้นในเกมพบ สวิตเซอร์แลนด์ รอบ 16 ทีมสุดท้าย แข้งวัย 37 ปี ก็ถูกดร็อปเป็นตัวสำรอง ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 ที่เขาไม่ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในรายการเมเจอร์ โดยนักเตะที่ลงเป็นตัวจริงแทนเขาก็คือ กอนซาโล่ รามอส ที่เป็นดาวเด่นทำแฮตทริกได้ในวันนั้น
ในเกมพบ โมร็อกโก ก็เช่นกัน แม้ว่าถูกส่งลงมาในครึ่งหลัง เพื่อสร้างอิมแพ็คหลังทีมตามหลังอยู่ 1-0 ซึ่งการลงเล่นของเขาทำสถิติกลายเป็นนักเตะที่ลงเล่นให้ทีมชาติมากสุด เทียบเท่ากับ บาเดอร์ อัล-มูตาว่า ตำนานกองหน้าของคูเวต แต่เขาก็ไม่สามารถสร้างโมเม้นต์พิเศษในเกมได้เหมือนที่เคยทำในช่วงหลายปีก่อน
อีกทั้งยังครองสถิตินักเตะที่ยิงประตูในทีมชาติชายมากที่สุด ด้วยจำนวน 118 ประตู แต่ก็ไม่สามารถยิงประตูเพิ่มได้อีกในเกมนั้น
มุ่งมั่นแค่ไหนก็ไม่มีผล
โรนัลโด้ ได้สัมผัสบอลแค่ 10 ครั้งเท่านั้น และต้องลากยาวไปถึงนาทีที่ 91 กว่าเขาจะมีโอกาสยิงหนแรก ซึ่งก็ไม่ได้เฉียบคมพอจนผ่านตัวของ โบโน่ นายด่านของ โมร็อกโก แม้เฝ้ารอโอกาสและลูกเปิดที่เหมาะสมในกรอบเขตโทษตลอด แต่จังหวะที่เหมาะเจาะก็ไม่เคยมาถึงเลย
ในนาทีที่ 97 ตอนที่ ราฟาเอล เลเอา ครอสบอลจากฝั่งซ้ายมา บอลก็ข้ามหัว CR7 ก่อนที่ เปเป้ จะได้โหม่งเน้นๆ แต่ไม่ตรงกรอบ และการที่ อดีตกองหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ทรุดลงกับพื้น ราวกับรู้ว่าช่วงเวลาของเขาใกล้หมดแล้ว
เมื่อเสียงนกหวีดยาวดังขึ้น ดาวเตะวัย 37 ปี ก็จับมือกับคู่แข่ง และเดินออกจากสนามไป โดยมีช่างภาพคอยถ่ายรูปอยู่ และช่วงสั้นๆก็มีแฟนบอลที่ไม่รู้กาละเทศะ เข้ามาในสนามหวังเซลฟี่กับดาวเตะคนโปรด และแน่นอนว่าความพยายามนั้นไม่สำเร็จ
สตาร์ชาวโปรตุกีส เดินมาถึงปลายอุโมงค์ ก่อนที่เขาจะกลั่นน้ำตาแห่งความผิดหวังไว้ไม่ไหว และอำลาบอลโลกหนสุดท้ายของเขาได้อย่างสะเทือนใจ ต่อให้คุณอาจเป็นคนที่ชื่นชอบ, เฉยๆ หรือไม่ชอบเลยก็ตาม
หลังเกม ซานโตส ผู้เป็นกุนซือได้ปฏิเสธข่าวความแตกแยกของทีมว่า “ผมไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับ คริสเตียโน่ กับเสียงวิจารณ์ จะมีผลกับเกม เราเป็นทีมที่มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”
“ถ้าเราพูดถึงคนที่หัวเสียที่สุดกับเกม ก็คงเป็น โรนัลโด้ และตัวผมเอง นั่นเป็นส่วนหนึ่งของงานสำหรับการเป็นโค้ชและนักเตะ”
แข้งสำรองที่หลายคนยังต้องการ
โปรตุเกส อาจเป็นทีมที่สามัคคีกันดี แต่พวกเขาก็กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน หลังจากมีการถกเถียงเกิดขึ้นในช่วงบอลโลกว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่ดีกว่าหรือไม่ หากไม่มี โรนัลโด้ ที่หลายคนมองว่าอยู่ในช่วงขาลง
ยุคใหม่ของชาติใหญ่ต่างๆกำลังก่อตัวขึ้น หลังจากพบกับความพ่ายแพ้แบบชวนช็อคในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่ กาตาร์ แต่ไม่ว่า ซานโตส จะอยู่คุมทัพ ฝอยทอง ต่อไปหรือไม่ เชื่อว่าทีมก็ยังไม่ตัดขาดหรือเมินเขาอย่างแน่นอน
CR7 ยังได้รับเครดิตจากการพาบ้านเกิดคว้าแชมป์ยูโร ปี 2016 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จแรกในทัวร์นาเม้นต์ระดับเมเจอร์ด้วย
อีกทั้ง แฟนบอลของโปรตุเกส ยังสวมเสื้อสตาร์ของทีมที่สกรีนเบอร์ 7 ข้างหลัง นอกสนาม อัล ธูมาม่า ในวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นสัญญานบ่งบอกว่าพวกเขายังไม่ลืมความยิ่งใหญ่ของอดีตดาวเตะ เรอัล มาดริด ในอดีต แม้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
แม้หลายคนยังไม่รู้ว่าจุดจบของ ดาวเตะเบอร์ 7 ในทีมชาติโปรตุเกส จะเป็นอย่างไร แต่หากเขาได้ปรากฏตัวเป็นครั้งที่ 6 ในฟุตบอลโลกคงสร้างความพลิกผลันได้อย่างมากเลย
ณ ตอนนั้น เขาจะมีอายุ 41 ปี ในทัวร์นาเมนต์ระดับโลก แต่อย่างน้อยที่สุดและมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงๆ คือการไถ่บาปในศึกยูโร 2024 ที่ ฝรั่งเศส เพียงแต่ต้นสังกัดของเขาจะเป็นสโมสรไหนก็เป็นอีกเรื่องที่น่าสนใจเช่นกัน
หลายสโมสรสนใจคว้า เจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัย ไปร่วมทีมในช่วงตลาดหน้าหนาวนี้ โดยหนึ่งในนั้นมีชื่อของ อัล-นาสเซอร์ สโมสรดังจาก ซาอุดิอาระเบีย ที่เสนอสัญญาก้อนโตให้เขาพิจารณาด้วย
แม้ตะวันออกกลางดูห่างไกลจากการเล่นฟุตบอลระดับสูงที่เขาปรารถนา หากแต่มันยังทำให้ โรนัลโด้ ยังได้ลงเล่นในทีมชาติต่อไป ก็เชื่อว่านั่นอาจเป็นจุดหมายใหม่ที่เขาพร้อมจะเลือกเดินเช่นกัน