ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หากพูดถึงกองกลางที่เก่งที่สุดในโลก เชื่อว่าชื่อของลูก้า โมดริชจะแล่นผ่านเข้ามาในหัวเป็นชื่อแรกๆสำหรับใครหลายคน
4 ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก , 2 ลาลีก้า , 1 รองแชมป์โลก , 1 นักเตะยอดเยี่ยมของยูฟ่า , 1 นักเตะยอดเยี่ยมของฟีฟ่า และ 1 บัลลงดอร์ ทั้งหมดคือความสำเร็จที่ดาวเตะชาวโครแอตคว้ามาได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของอาชีพการค้าแข้ง และปัจจุบันในวัย 36 ปี เจ้าตัวยังคงเป็นขุนพลคนสำคัญของเรอัล มาดริด และยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมแขวนสตั๊ดง่ายๆ
จากเด็กลี้ภัยที่ต้องเล่นฟุตบอลในลานจอดรถของโรงแรม สู่การเป็นนักเตะที่หยุดไม่ให้สองสัตว์ประหลาดชนะบัลลงดอร์ได้… ในวันนี้ เรามาทำความรู้จักกับแง่มุมที่ไม่ได้อยู่ในสนามของโมดริชกันให้มากขึ้นดีกว่า
เป็นผู้ลี้ภัยในวัยเด็ก
โมดริช มีช่วงเวลาวัยเด็กที่ยากลำบาก เมื่อต้องเติบโตขึ้นมาในระหว่างสงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย ช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 โดยการต่อสู้ในครั้งนี้ ทำให้เขาสูญเสียคุณปู่จากการถูกสังหาร และกลายเป็นผู้ลี้ภัยพร้อมกับครอบครัว หลังจากต้องหนีออกมาจากบ้านเกิดแบบไม่มีทางเลือก ซึ่งในฐานะผู้ลี้ภัย เจ้าตัวต้องใช้ชีวิตอยู่ตามโรงแรมในเมืองซาดาร์ โดยเป็นการอาศัยอยู่ที่โรงแรมชื่อว่าโคโลแวร์นาน 7 ปี และมีลานจอดรถของที่นี่เป็นสนามฟุตบอลแห่งแรกในชีวิต
เกือบได้เป็นนักเตะบาร์เซโลน่า
ย้อนกลับไปในปี 2008 โมดริช ตกเป็นข่าวเชื่อมโยงกับหลายสโมสรทั่วยุโรป รวมถึง บาร์เซโลน่า ทว่าท้ายที่สุด เจ้าบุญทุ่มกลับปล่อยโอกาสเซ็นสัญญาหลุดมือ และเป็น ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่ได้เพชรเม็ดงามชิ้นนี้ไปครอบครอง
“เราพาเขามาที่ บาร์เซโลน่า เพื่อทำความรู้จักกับเขา” โบยาน เกร์กิช ซีเนียร์ อดีตแมวมองอาซูลกราน่า บอกกับ SER Catalunya “เราไปดื่มกาแฟกับเขา เขาทิ้งความประทับใจที่ดีมากเอาไว้ เขาพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว และเขาฉลาดมาก เขาเป็นนักเตะที่มีแนวคิดของผู้ชนะ แต่สโมสรไม่ได้คิดไกลถึงอนาคตข้างหน้า คิดแค่ในระยะสั้นถึงระยะกลาง”
เคยถูกโหวตให้เป็นดีลยอดแย่ของลาลีก้า
เรอัล มาดริด ตัดสินใจลงทุน 30 ล้านปอนด์ เพื่อดึง โมดริช มาจาก สเปอร์ส เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2012 อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปครึ่งฤดูกาล แม้เจ้าตัวจะลงสนามให้กับราชันชุดขาวไป 19 นัด ซึ่งถือว่าไม่น้อย แต่ก็ลงเล่นเฉลี่ยแค่ 38 นาทีต่อเกม และยิงได้ประตูเดียว นั่นทำให้เขาถูกโหวตเป็นการเซ็นสัญญาที่แย่ที่สุดของลาลีก้าสำหรับช่วงซัมเมอร์ปี 2012 จากการจัดทำโพลล์โดย Marca สื่อดังของสเปน โดยเข้าวินด้วยคะแนนโหวต 32.2%
ลงเล่นมากกว่าทุกคนในฟุตบอลโลก 2018
ฟุตบอลโลกปี 2018 ถือเป็นหนึ่งในรายการที่น่าจดจำที่สุดในอาชีพการค้าแข้งของโมดริช เมื่อเจ้าตัวสามารถนำทีมชาติโครเอเชียไปได้ไกลถึงรอบชิงชนะเลิศ พร้อมคว้ารางวัลโกลเด้นบอล หรือรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์มาครอง และด้วยความที่ทัพตราหมากรุกต้องลุยในช่วงต่อเวลาพิเศษกับทั้งเดนมาร์กในรอบ 16 ทีมสุดท้าย , รัสเซียในรอบ 8 ทีมสุดท้าย รวมถึงอังกฤษในรอบรองชนะเลิศ ทำให้สตาร์ราชันชุดขาวที่ออกสตาร์ททุกนัดและไม่เคยถูกเปลี่ยนตัวออก กลายเป็นนักเตะที่ลงเล่นเยอะที่สุดในศึกเวิร์ลคัพหนนี้ด้วย หลังจากเขาใช้เวลาในสนามไปมากถึง 694 นาที
งัดข้อไก่เดือยทองเพื่อซบราชันชุดขาว
ภาพลักษณ์ของโมดริชที่หลายคนมอง คือการเป็นนักเตะไนซ์กายทั้งในและนอกสนาม อย่างไรก็ตาม ครั้งหนึ่งแข้งร่างเล็กก็เคยทำตัวไม่น่ารักเหมือนกัน เมื่อในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 เจ้าตัวพยายามบีบให้ สเปอร์ส ยอมปล่อยไปร่วมทัพโลส บลังโก้ด้วยการไม่มารายงานตัวกับทีม จนโดนสโมสรปรับเงินไปถึง 80,000 ปอนด์ (ประมาณ 3.5 ล้านบาท) ก่อนที่สุดท้าย เขาจะได้บินไปค้าแข้งบนถิ่นซานติอาโก้ เบร์นาบิวสมใจ
“นักเตะอยู่ภายใต้กฎระเบียบของสโมสร ท่านประธานรู้สึกว่าพฤติกรรมของเขาไม่ใช่เรื่องปกติ พฤติกรรมของความเป็นมืออาชีพ” อังเดร วิลลาส-โบอาส กุนซือของสเปอร์สในเวลานั้น กล่าวโจมตี โมดริช
“เราเปิดกว้างกับเขา บอกเขาไปว่าเราพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอสำหรับเขา ซึ่งนี่เป็นเรื่องผิดปกติ ก่อนหน้านี้เคยมีหลายทีมสนใจในตัวเขา แต่เขาก็ยังทำตัวเป็นมืออาชีพมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำแบบนี้ เราไม่รู้ว่าเขาถูกเป่าหูมาแบบไหน”
ไอดอลลูกหนัง
เช่นเดียวกับนักฟุตบอลส่วนใหญ่… โมดริช เองก็มีไอดอลในวัยเด็กเป็นฮีโร่ของชาติ ซึ่งคนๆนั้นคือ ซโวนิเมียร์ โบบัน ตำนานจอมทัพทีมชาติโครเอเชียและเอซี มิลาน หนึ่งในขุนพลตราหมากรุกชุดคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส
“ซโวนิเมียร์ โบบัน สำหรับผมคือที่ 1 เขาเล่นกับทีมชาติโครเอเชียเมื่อตอนที่ผมยังเด็ก ส่วนหนึ่งของรุ่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศส” โมดริช กล่าวในบทสัมภาษณ์ที่ถูกนำมาเผยแพร่โดย Marca “สำหรับเรา สำหรับเด็กทุกคนที่เติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรักที่มีต่อฟุตบอล พวกเขาคือไอดอลของเรา และสำหรับผม โบบัน คือที่ 1 การได้เห็นเขาและพูดคุยกับเขาเป็นสิ่งที่เยี่ยม”
มนุษย์คนเดียวในรอบ 13 ปีที่ชนะบัลลงดอร์
นับตั้งแต่ปี 2008 จนถึงปี 2021 หรือ 13 ปีหลังสุดที่มีการจัดงานมอบรางวัลบัลลงดอร์ ลิโอเนล เมสซี่ กับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กวาดลูกบอลทองคำรวมกันไปถึง 12 สมัย และครั้งเดียวที่สองแข้งจากนอกโลกไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดคือในปี 2018 หลังจาก โมดริช สามารถเอาชนะทั้งคู่ได้แบบเป็นเอกฉันท์ โดยผลงานเด่นที่เป็นรูปธรรมของอดีตมิดฟิลด์ไก่เดือยทอง คือการนำทีมชาติโครเอเชียไปถึงตำแหน่งรองแชมป์โลก และช่วยให้ เรอัล มาดริด ซิวแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน
* อันที่จริงในระหว่างปี 2008-2021 ต้องมีการจัดงานมอบรางวัลบัลลงดอร์ 14 ครั้ง แต่ของปี 2020 ถูกยกเลิกเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19