โดนเด็กตบ! 5เกมพลิกล็อกชิงแชมป์สโมสรโลก

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาข่าวเด่น ข่าวดังที่สุดในสังคมไทย ที่มาแรงแซงทุกโค้งคงหนีไม่พ้นการดวลเพลงตบของ “มนุษย์ป้า” และ “น้องนักเรียน” ในโรงเรียนดังแห่งหนึ่งย่านสมุทรปราการ

 

งานนี้ไม่ต้องคิดให้มากความ ยังไง “มนุษย์ป้า” ผู้หาญกล้ากร่างไปตบก่อนยังไงก็รอดยาก เจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งใจ โดนเด็กถอนหงอกเพราะห้าวไม่รู้กาละเทศะ

 

เหมือนกับวงการฟุตบอล ที่หลายๆ ครั้ง หลายๆ ครา ทีมใหญ่มักทะนงตนว่าเก่ง เตรียมทีมไปไม่ดีก็มักเจอเหตุการณ์พลิกล็อกช็อกโลก โดยทีมเกรดต่ำกว่าสอยร่วงให้กรรมการนับ 8 ก็มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

 

โดยเฉพาะศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ที่ทีมจากยุโรปมักถูกยกให้เป็นเต็งหนึ่งเสมอ แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้งไปที่พวกเขาจะปิดรายการด้วยการก้าวไปเถลิงแชมป์ได้

 

งานนี้ทีมงาน UFAARENA ไปค้นสถิติเก่าดู พบว่ามีถึง 5 เกมที่ทีมเล็กกว่าสอยทีมใหญ่สักหงายเงิบ หรือเรียกกันภาษาบ้านๆ ว่าโดนเด็กตบร่วง งานนี้จะมีคู่ไหนบ้าง ลองไปทัศนาดูเลย

 

แมน ยู 1-3 วาสโก (รอบแบ่งกลุ่ม ปี 2000)

 

ปี 2000 คือปีแรกที่ศึกชิงแชมป์สโมสรโลกปรับโฉมใหม่ จากที่เคยซัดกันแค่ ยุโรป กับ อเมริกาใต้ กลายเป็นแชมป์ทุกทวีปต้องมาฟาดแข้งกันให้สมความยิ่งใหญ่ ซึ่งรูปแบบในตอนนั้นคือแบ่งเป็น 2 สาย สายละ 4 ทีม

 

แมนฯ ยูไนเต็ด ยุคทริปเปิ้ลแชมป์ คือเต็งแชมป์เคียงคู่กับ เรอัล มาดริด ที่มาร่วมการแข่งขันในฐานะแชมป์อินเตอร์คอนติเนลทัล คัพ ทว่า “ผีแดง” กลับไปไม่ถึงฝั่งฝันร่วงตกรอบแรกแบบน่าใจหาย

 

เกมสำคัญที่ช็อกแฟนบอลก็คือการเจอกับ วาสโก ดา กาม่า แชมป์อเมริกาใต้ เมื่อพวกเขาเจอพิษสงของ 2 เฒ่าจอมแสบทั้ง โรมาริโอ ที่เหมา 3 ประตูกับอีกลูกจาก เอ็ดมุนโด้ โดนนำห่างถึง 3 ประตู แม้ นิคกี้ บัตต์ จะมายิงได้ตอนท้ายก็ไล่ไม่ทันอยู่ดีแพ้ไป 3-1

https://www.youtube.com/watch?v=YUWhABo6Ahw

เซา เปาโล 1-0 ลิเวอร์พูล (นัดชิงชนะเลิศ ปี 2005)

 

ให้หลังความผิดหวังของชาวยุโรป 5 ปี ศึกชิงแชมป์สโมสรโลก ได้จัดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ตัวแทนของพวกเขายังมาจากเกาะอังกฤษ แต่สลับหน้าเป็นอริตัวแสบอย่าง ลิเวอร์พูล ชุดแชมป์ประวัติศาสตร์ที่อิสตันบลู

 

ลูกทีมของ ราฟาเอล เบนิเตซ คือตัวเต็งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภายใต้ระบบใหม่ที่ให้ไปรอเล่นในรอบรองฯ เลย พวกเขาก็สอย เดปอร์ติโว่ ซาปริสซ่า จากคอสตาริกา แบบสบายหายห่วง 3-0

 

ทว่าเกมนัดชิงกลับไม่เป็นอย่างคิด หงส์แดง บุกเป็นพายุแต่เจอความเหนียวของ โรเจริโอ เซนี่ นายทวารจอมพังประตู บวกกับประตูชัยของ มิเนโร่ อดีตกองกลาง 1 นัดของ เชลซี สุดท้ายแชมป์รายการนี้ก็ยังคงอยู่ในมือของอเมริกาใต้อีกสมัย

https://www.youtube.com/watch?v=uZkwQv4U444

อินเตอร์นาซิอองนาล 1-0 บาร์เซโลน่า (นัดชิงชนะเลิศ ปี 2006)

 

ปีต่อมายังคงแข่งขันที่ ญี่ปุ่น โดยหนนี้เต็งแชมป์ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเขาคือ บาร์เซโลน่า ที่นำทีมโดยสตาร์เบอร์ 1 ของโลกในเวลานั้นอย่่่าง “เหยินน้อย” โรนัลดินโญ่ พร้อมมีแข้งดังอย่าง เดโก้, ลูโดวิช ชูลี่ และ ไอเดอร์ กุดยอห์นเซ่น เป็นตัวสนับสนุน

 

เกมแรกที่ลงสนามในรอบรองฯ โชว์ฟอร์มสมราคาถล่ม คลับ อเมริกา ไปแบบไม่ไว้หน้า 4-0 ก่อนทะลุเข้าไปชิงชนะเลิศกับ อินเตอร์นาซิอองนาล ตัวแทนจากบราซิล ในฐานะแชมป์โคปา ลิเบอร์ตาโดเรส คัพ

 

รูปเกมเป็นไปตามคาดคือ บาร์ซ่า ครองบอลบุกได้มากกว่า แต่เอาจริงๆ ก็หาโอกาสจบสกอร์ได้แบบได้น้ำได้เนื้อได้ยาก สุดท้ายก่อนหมดเวลา 8 นาที อาเดรียโน่ กาบิรู ที่มาเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยยึดครองถ้วยแชมป์อยู่ที่แดนกาแฟเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน

ทีพี มาเซมเบ้ 2-0 อินเตอร์นาซิอองนาล (รอบรองชนะเลิศ ปี 2010)

 

ชื่อของ ทีพี มาเซมเบ้ แทบจะไม่เป็นที่รู้จักขอคอบอลในบ้านเราเลยด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาคือทีมจากคองโก และได้ร่วมโม้แข้งในศึกชิงแชมป์สโมสรหนนี้ในฐานะแชมป์จากทวีปแอฟริกา

 

เอาจริงๆ แค่รอบ 8 ทีมการเจอกับ ปาชูก้า ยอดทีมจากเม็กซิโก พวกเขาก็เป็นรองสุดกู่ ทว่าพวกเขาก็ทำเซอร์ไพรส์พลิกชนะได้ 1-0 ผ่านเข้าสู่รอบรองฯ เจอกับกระดูกชิ้นโตอย่าง อินเตอร์นาซิอองนาล อดีตแชมป์ 1 สมัย

 

ถึงแม้ทีมดังจากบราซิล จะมี อันเดรส ดิ อเลสซานโดร เพลย์เมกเกอร์ร่างจิ๋วเป็นตัวชูโรง ทว่าเจอบอลวิ่งสู้ฟัดถึงกับไปไม่เป็น ทีพี มาเซมเบ้ พลิกล็อกช็อกโลกเอาชนะไปได้เฉยเลย 2-0 น่าเสียที่เทพนิยายของพวกเขาได้แค่พระรอง เพราะสุดท้ายเจอของจริงอย่าง อินเตอร์ มิลาน พ่ายไปแบบหมดท่าสู้ 0-3

 

สำหรับทัวร์นาเมนต์นี้คนที่ดังที่สุดคือ มูเตบา คิเดียบ้า นายทวารของ ทีพี มาเซมเบ้ กับท่าดีใจสุดฮากระเถิบก้นแถ๊ดๆๆๆ จนดังไปทั่วโลกโซลเชียล

โครินเทียนส์ 1-0 เชลซี (นัดชิงชนะเลิศ ปี 2012)

 

ราฟาเอล เบนิเตซ น่าจะเป็นกุนซือที่ร่วมศึกชิงแชมป์สโมสรโลก มากที่สุดแล้ว หลังแห้วกับ ลิเวอร์พูล ก่อนจะมาสมหวังกับ อินเตอร์ เจ้าตัวได้โอกาสอีกครั้งด้วยการนำ เชลซี มาลุยศึกที่ประเทศญี่ปุ่น

 

ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรยาก รอบรองฯ ไล่ตบ มอนเตอร์เรย์ ไปแบบสบายๆ 3-1 ก่อนทะลุไปชิงกับ โครินเธียนส์ เจ้าของแชมป์สมัยแรก ที่มี เปาโล เกร์เรโร่ หัวหอกตัวเก๋าทีมชาติเปรู เป็นตัวชูโรง

 

งานนี้ต้องบอกว่า เกร์เรโร่ นั้นแสบจริงๆ เพราะกลายมาเป็นฮีโร่ยิงประตูชัยในนาที 69 ดับฝันแชมป์สมัยที่สองของ “เอล ราฟา” และกลายเป็นทีมจากทวีปอื่นเพียงทีมเดียวที่แย่งแชมป์จากยุโรปมาได้ ใน 12 หนหลังสุด

 

ปล.คืนนี้ ลิเวอร์พูล มีคิวดวลกับ ฟลาเมงโก้ ในเกมนัดชิงชนะเลิศ คุณผู้อ่านคิดว่าจะนัดนี้ “ผู้ใหญ่จะจบเด็ก” หรือ “เด็กจะตบผู้ใหญ่” ?