ปราการหลังกัปตันทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้เคยสร้างชื่อโด่งดังมากับ เลสเตอร์ ซิตี้ จนค่าตัวพุ่งพรวดไปถึงระดับสถิติโลก แต่ปัจจุบันฟอร์มการเล่นที่เคยส่งมูลค่าของตัวเขาไปมากมายขนาดนั้น กลับกลายหดหายเกลี้ยงไป จนตกเป็นเป้าวิจารณ์ของสาวกทีมตัวเอง และเป็นตัวตลกสำหรับทีมอื่น
วันนี้ UFAARENA จะพาไปวิเคราะห์ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ยันปัจจุบันที่ฟอร์มของเขาตกลงไป ทั้งสาเหตุ และความเป็นไปได้ที่จะคืนฟอร์มเก่งอีกครั้งกับ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ความมั่นใจหรือฝีเท้าที่หายไป
สไตล์ก่อนมาผี
ย้อนไปในช่วงซัมเมอร์ฤดูกาล 2019/20 ชื่อของ แม็คไกวร์ กลายมาเป็นตัวเด่นในตลาดหนนั้น จากการที่มีหลายทีมแย่งชิงโดยเฉพาะสองทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์ ก่อนที่จะเป็นปีศาจแดงที่เอาชนะเพื่อนบ้านคว้าตัวเขาไปได้ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกของกองหลังด้วยราคา 80 ล้านปอนด์ พร้อมกับทำลายสถิติแนวรับค่าตัวแพงของคู่อริอย่าง ลิเวอร์พูล ที่คว้า เวอร์จิล ฟานไดจ์ค เข้ามาก่อนหน้านั้นที่ราคา 75 ล้านปอนด์ไปอีกด้วย
จุดเด่นที่ปราการหลังเลือดผู้ดีทำได้กับ เลสเตอร์ จนหลายทีมให้ความสนใจคือการดวลกลางอากาศที่มีโอกาสสำเร็จถึง 78% ในปี 2018/19 รวมถึงการเป็นกองหลังที่สามารถสร้างเกมได้จากแนวหลังทั้งการพาบอลไปเองและการจ่ายบอลทั้งสั้นทั้งยาวซึ่งแทบจะเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆในฟุตบอลสมัยใหม่ที่นิยมสร้างเกมจากแนวรับขึ้นไป
ในขณะที่จุดด้อยของเจ้าตัวก็ยังมีให้เห็นอย่างเด่นชัด นั่นคือการเข้าปะทะที่ทำสำเร็จแค่ 55% เท่านั้น ซึ่งนับว่าต่ำมากสำหรับผู้เล่นในเกมรับ รวมถึงความเชื่องช้าที่ทำให้ดวล 1 ต่อ 1 ได้ไม่ดีนัก และการชอบเล่นเสี่ยงในแดนตัวเอง อย่างไรก็ตามด้วยฟอร์มโดยรวมกับเลสเตอร์ และ ทีมชาติอังกฤษบนเวทีฟุตบอลโลกที่ไปไกลถึงรอบรองชนะเลิศ ทำให้ค่าตัวของเขาพุ่งไปถึง 80 ล้านปอนด์
Virgil van Dijk vs. Harry Maguire: Premier League 2018/19 pic.twitter.com/YoejM7MB0X
— BlameFootball (@blamefootball) August 2, 2019
อยู่กับผีข้อเสียยิ่งชัด
อย่างที่ได้กล่าวไป แม็คไกวร์ ไม่ใช่นักเตะที่เข้าปะทะได้ดีนักตัวเลขความสำเร็จแค่ 55% จากฤดูกาล 2018/19 นั้นต่ำกว่านักเตะที่ปีศาจแดงมีอยู่ในทีมทั้ง วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ(67.5%) , ฟิล โจนส์(68%) , เอริค ไบญี่(60%) และ คริส สมอลลิ่ง(56%) นอกจากนี้ในส่วนของความผิดพลาดที่นำไปสู่ประตูก็มีให้เห็น 1 ครั้งเท่ากับ ลินเดอเลิฟ และ สมอลลิ่ง
แต่ทำไมกับทัพจิ้งจอกเจ้าตัวถึงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ปัญหาให้เห็นเท่าทุกวันนี้ อย่างแรกเลยคือแนวทางการเล่น กับเลสเตอร์ แม็คไกวร์ไม่ใช่กองหลังตัวสุดท้าย แต่จะเป็นตัวเข้าไปชนไปตัดบอลโดยมีเพื่อนร่วมทีมคอยซ้อนให้อีกที ทำให้เขาสามารถเข้าไปสกัดคู่แข่งได้แบบไม่ต้องมาห่วงหลัง ประกอบกับการยืนตำแหน่งของพวกเขาก็มีการแบ่งกันชัดเจนกว่าปีศาจแดง ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการทับตำแหน่งกันเอง
ตัดภาพมาที่การเล่นให้ปีศาจแดง ด้วยความที่ทั้ง แม็คไกวร์ และ ลินเดอเลิฟ เป็นกองหลังที่ไม่ได้มีจุดเด่นในการประคองเกมรับ รวมถึง ราฟาเอล วาราน ที่เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่ก็เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นกองหลังตัวที่จะเข้าไปปะทะอีกฝ่าย โดยที่ต้องมีใครสักคนซ้อนให้ พอมารวมกับการแบ่งหน้าที่ที่ไม่ชัดเจน ทำให้พวกเขามักจะทำตัวไม่ถูกว่าตัวเองต้องเขาไปสกัด หรือต้องรอซ้อน จนเราจะเห็นว่าหลายๆจังหวะแนวรับผีคิดช้าทำช้า ยืนขาตายมองเพื่อนเล่นนำไปสู่การเสียประตู
ถ้าจะถามว่าฝีเท้าของแม็คไกวร์ตกลงไปหรือไม่ ก็ต้องบอกว่าไม่ทั้งหมด สิ่งที่เราเห็นทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นจังหวะเข้าสกัดพรวดพราด การจัดระเบียบร่างกายที่ย่ำแย่ ชอบเล่นบอลหลายจังหวะจนเสียเอง เหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าตัวเป็นมาตั้งแต่อยู่กับเลสเตอร์แล้ว เพียงแต่ด้วยระบบการเล่นของปีศาจแดง ยิ่งทำให้เรื่องพวกนี้มันเด่นชัดขึ้นมาเท่านั้นเอง
สภาพจิตใจกระทบหนัก
เรื่องฝีเท้าและฟอร์มการเล่นก็ส่วนนึง แต่เรื่องสภาพจิตใจก็มีผลกระทบพอสมควร เรื่องนี้เริ่มมาตั้งแต่การต้องแบกรับค่าตัวระดับสถิติโลก การที่ต้องรับปลอกแขนกัปตันทีมทั้งที่เพิ่งย้ายมาแค่ 6 เดือน ฟอร์มในซีซั่นแรกเจ้าตัวยังไม่ค่อยโดนวิจารณ์ยับเยินแบบทุกวันนี้ มีจังหวะผิดพลาดบ้าง แต่ในเวลานั้นทุกคนก็พอจะให้อภัยได้อยู่บ้างจากผลงานทีมที่ทะยานไปจบอันดับ 3 ของตารางซีซั่น 2019/20
อย่างไรก็ตามกลิ่นความเพี้ยนมันก็มีมาตั้งแต่ซีซั่นแรกแล้วกับการไปประกบ อารอน วาน บิสซาก้า จนทีมเสียประตู ในเกมเสมอเซาธ์แฮมป์ตัน 2-2 ช่วงปลายฤดูกาล 2019/20 หลังจากนั้นความผิดพลาดก็มีให้เห็นมาเรื่อยๆ จนพักหลังทำให้สายตาของแฟนบอลจะจับจ้องไปที่ตัวเขามากเป็นพิเศษ ซึ่งจุดที่เริ่มฟอร์มหลุดก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นหลังจากที่รับปลอกแขนกัปตันทีม
เมื่อเทียบกับสมัยอยู่กับ เลสเตอร์ การเข้าสกัดบอลแบบรวดเร็วที่เคยทำ ค่อนข้างที่จะอาศัยความมั่นใจที่สูง ในการตัดสินใจที่จะเข้าไป แต่เมื่อความมั่นใจหายไป จังหวะเข้าเร็วเลยกลายเป็นการเข้าพรวดพราด ยึกๆยัก เข้าดีไม่เข้าดี แถมถ้าจะเข้าสกัดก็ต้องระแวงหลังที่ไม่มีตัวคอยซ้อนเหมือนเดิมแล้วอีก ทำให้หลายจังหวะดูเหมือนเขาทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ในสนาม
แม้ว่าผลงานจะทำได้ผิดพลาด หรือโดนวิจารณ์แค่ไหน แต่ปีศาจแดงก็ยังฝืนส่งเขาลงสนามต่อไป จน แม็คไกวร์ กลายเป็นนักเตะที่ลงสนามมากที่สุดในปี 2020 ความล้าทั้งจิตใจและร่างกาย ไม่ต้องบอกเลยว่ามันจะมีมากแค่ไหน แถมการที่ต้องตกเป็นแพะทุกครั้งเวลาที่ทีมทำผลงานไม่ดี ก็ทำให้กระแสต่างๆยิ่งโถมไปหาตัวเขา จนล่าสุดถึงขั้นมีการขู่ฆ่ากันแล้ว
หนทางคัมแบ๊คของแม็คไกวร์
ทั้งหมดทั้งมวลไม่ว่าจะเป็น ฝีเท้า , สภาพจิตใจ หรือแนวทางการเล่นของทีม แสดงให้เห็นแล้วว่าทั้งหมด ล้วนมีผลกับฟอร์มของปราการหลังที่แพงที่สุดในโลกรายนี้ บางทีการกู้ฟอร์มเก่งกลับมาอาจต้องเริ่มแก้ที่สภาพจิตใจ เหมือนอย่างที่ เนมันย่า วิดิช กองหลังรุ่นพี่ได้เคยออกมาแสดงความเห็นว่า “มันชัดเจนว่า แม็คไกวร์ไม่ได้อยู่ในจุดที่ดีที่สุดในซีซั่นนี้ ผมคิดว่าสิ่งที่คุณทำได้ หนึ่งในนั้นคือการไม่ต้องลงเล่นในทุกเกม เวลาที่คุณกำลังพยายามหาฟอร์ม และความมั่นใจอีกครั้ง มันยากที่จะเล่นให้ดีเวลาคุณมีแรงกดดัน เพราะคนจะรอว่าเมื่อไรคุณจะทำพลาดอีก”
ต่อมาแนวทางการเล่น ไม่ได้จะบอกว่าปีศาจแดงต้องเปลี่ยนแนวทางเพื่อนักเตะเพียงคนเดียว แต่นี้เป็นการเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาของทั้งทีม เราจะเห็นว่าแม้ไม่มี เจ้าตัวอยู่ในสนามพวกเขาก็ยังเล่นกันผิดพลาดได้ไม่ต่างกัน นายใหญ่คนใหม่อย่าง เอริค เทน ฮาก ต้องกำหนดหน้าที่ของนักเตะแต่ละคนให้ชัดเจน พื้นที่ตรงไหนของใคร หากหลุดตำแหน่งใครต้องมาซ้อน ซึ่งมันจะส่งผลดีกับทั้งทีม ไม่ใช่แค่ แม็คไกวร์ คนเดียว
ในเรื่องของฝีเท้า ดาวเตะชาวอังกฤษมีทั้งเรื่องที่แก้ได้และไม่ได้ ด้วยวัย 29 ปี จะให้ไปแก้เรื่องความเร็วความคล่องตัวมันก็ดูจะสายเกินไปแล้ว แต่เรื่องการเข้าสกัดพรวดพราด การจัดระเบียบร่างกายที่มันดูเก้ๆกังๆ หรือจะเป็นการชอบฝืนเล่นจนเสียบอลไป มันยังพอแก้ไขได้ ในขณะที่จุดเด่นของตัวเองอย่างการจ่ายบอลสั้นยาว หรือการเล่นลูกกลางอากาศ ก็อาจต้องกู้ฟอร์มเดิมกลับมาให้ได้
สุดท้ายแล้วความตกต่ำของนักเตะที่ชื่อ แฮร์รี่ แม็คไกวร์ มันประกอบขึ้นมาจากหลายปัจจัย แต่ก็ใช่ว่าอนาคตของเจ้าตัวจะหมดสิ้นแล้ว หนทางสำหรับการคืนฟอร์มเดิมสมัยอยู่เลสเตอร์ยังพอมีให้ได้คาดหวังอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัวจะสามารถทำได้หรือไม่