โทรฟี่ และความสำเร็จ คือสิ่งที่นักฟุตบอลอาชีพทุกคนต่างใฝ่ฝันต้องการไขว่คว้ามาครองให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นบอลถ้วยเล็กๆ, รายการใหญ่ หรือแชมป์ลีกของแต่ละประเทศในสโมสรนั้นๆ
แต่บางครั้งไม่ว่านักเตะมีฝีเท้าที่โดดเด่น หรือ มีความพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเหล่านั้นจะได้สัมผัสถ้วยแชมป์ในบั้นปลาย แต่ต้องมีทั้งเพื่อนร่วมทีมที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน, กุนซือมากฝีมือ หรือ โชคดวง เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
เช่นราย ล่าสุดกับ มาร์โก รอยส์ ผู้ที่คว้ารองแชมป์ลีกกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เป็นครั้งที่ 7 แล้ว หลังโดน บาเยิร์น มิวนิค ปาดหน้านัดสุดท้ายคว้าถาดแชมป์บุนเดสลีกา ในฤดูกาล 2022-23
แน่นอนว่า รอยส์ ไม่ใช่นักเตะคนแรกที่จบด้วยการเป็นรองแชมป์บ่อยๆ และ UFA ARENA จะไปพบกับ 10 นักเตะฝีเท้าระดับท็อป แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ชูถ้วยแชมป์ลีกแม้แต่หนเดียว
มาเร็ค ฮัมซิก
เพลย์เมกเกอร์ชาวสโลวาเกีย ต้องเห็นอดีตเพื่อนทีมสมัยค้าแข้งที่นาโปลีอย่าง เอเซเกล ลาเวซซี่, เอดิสัน คาวานี่ และ กอนซาโล่ อิกวาอิน ย้ายไปคว้าแชมป์ลีกกับสโมสรอื่น ขณะที่เขาอยู่ยาวกับทีมจนถึงฤดูกาล 2018-19 ซึ่งเป็นปี 12 ของเขากับอัซซูร่า ก่อนจะย้ายไป ต้าเหลียน อี้ฝ่างในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2019
ตลอดเวลากว่าทศวรรษที่ ฮัมซิก รับใช้นาโปลี เขาพยายามพาทีมคว้าแชมป์ เซเรียอา ให้ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ ดีเอโก้ มาราโดน่า เคยทำไว้ในปี 1980 แต่สิ่งที่ใกล้เคียงสำหรับทีมมากที่สุดคือการเป็นแค่รองแชมป์เท่านั้น
แต่อย่างน้อย ในฐานะแฟนบอลที่เอาใจช่วยอยู่ห่างๆเสมอ ฮัมซิค ก็ได้เห็น นาโปลี คว้าแชมป์สคูเด็ตโต้ในรอบ 33 ปี ได้เสียที กับฤดูกาล 2022-23
อองตวน กรีซมันน์
ในฤดูกาล 2009-10 ที่ อองตวน กรีซมันน์ เล่นฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัวเป็นหนแรก เขายิงไป 6 ลูก จาก 39 นัดให้กับ เรอัล โซเซียดาล คว้าแชมป์เซกุนด้า และกลายเป็นผู้เล่นตัวหลักของทีมในอีก 4 ปีต่อมาที่โลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดแดนกระทิง
ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ทำให้ แอตเลติโก้ มาดริด ดึงตัวแข้งชาวฝรั่งเศสไปร่วมทีม แทนที่ ดีเอโก้ คอสต้า ที่ย้ายไปเชลซีในปี 2014 แต่ตลอด 5 ปีในสีเสื้อ ‘ตราหมี’ เขาทำได้เต็มที่แค่รองแชมป์ใน 2 ปีหลังสุด และอันดับสามอีก 3 ครั้งเท่านั้น
แม้ย้ายไป บาร์เซโลน่า ในปี 2019 เพื่อหวังคว้าแชมป์ลาลีกา มาครองเป็นสมัยแรก เขาก็ดันย้ายมาในช่วงที่สโมสรมีปัญหาทั้งในและนอก ขณะที่ฟอร์มการเล่นของเขาก็ไม่ได้โดดเด่นจนต้องระเห็จกลับไป แอตฯ มาดริด อีกครั้งในปี 2021 และกลับไปถาวรในปี 2022
ที่ตลกร้ายที่สุดก็คือ ทีมเก่าของ กรีซมันน์ มักจะคว้าแชมป์ลีกได้ ยามที่เขาย้ายมาแล้ว ทั้ง แอตฯมาดริด ในฤดูกาล 2020-21 และ บาร์เซโลน่า ในฤดูกาล 2022-23
มาร์โก รอยส์
หลังจากไม่สามารถเติบโตในทีมเยาวชนของ ดอร์ทมุนด์ได้ เขาย้ายไปเล่นกับ รอส ไวส์ อาห์เล่น และ โด่งดังกับ มึนเช่นกลัดบัค แบบเต็มตัว ก่อนจะกลับมาอยู่กับทีมรักในวัยเด็กของเขาอีกครั้งในปี 2012
‘เสือเหลือง’ เพิ่งคว้าแชมป์บุนเดสลีก้าได้ 2 สมัยติด ก่อนที่จะปีกชาวเยอรมันจะย้ายมาร่วมทีม แต่ในขณะเดียวกัน บาเยิร์น มิวนิค ที่โดนลูบคมมา 2 ปี ก็เสริมทัพแบบจัดหนักจนกลับไปเป็นทีมเบอร์หนึ่งในลีกเมืองเบียร์อีกครั้ง
จริงๆ รอยส์ กับ ดอร์ทมุนด์ เกือบคว้าแชมป์ลีกได้ตั้งแต่ฤดูกาล 2018-19 แล้ว ถ้าพวกเขาไม่ทำแต้มสะดุดจนถูก ‘เสือใต้’ แซงไปก่อน และในฤดูกาลล่าสุดก็ลงเอยด้วยการเป็นรองแชมป์อีกหน หลังพลาดเสมอ ไมนซ์ 2-2 ขณะที่ บาเยิร์น เอาชนะ โคโลญจน์ 2-1 ในนัดสุดท้ายของซีซั่น
นั่นเท่ากับว่าตลอด 11 ปีกับทีม รอยส์ จบด้วยการเป็นพระรองในบุนเดสลีกาถึง 7 ครั้ง ช้ำจนหลายคนอดเห็นใจไม่ได้เลย
แฮร์รี่ เคน
ไม่มีปฏิเสธว่า แฮร์รี่ เคน คือกองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมชาติอังกฤษในเวลานี้ เช่นเดียวกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ต้นสังกัดของเขาในปัจจุบัน แต่น่าเหลือเชื่อไม่น้อยที่นักเตะที่ยิงประตูแตะหลักเกือบ 300 ลูกในสโมสร จะไม่เคยคว้าแชมป์เมเจอร์ใดๆได้เลย
โอกาสที่เข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกที่สุดคือ หอกวัย 29 ปี กับ ไก่เดือยทอง เกิดขึ้นถึง 2 หน นั่นก็คือฤดูกาล 2015-16 ที่ทีมใหญ่อื่นๆ มาตรฐานตกกัน จนเหลือแค่ สเปอร์ส ที่ลุ้นแชมป์กับ เลสเตอร์ แต่สุดท้ายเป็นทีมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่ไม่นิ่ง รักษามาตรฐานไม่ได้ จนตาม จิ้งจอกสีน้ำเงิน ไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง แถมแผ่วปลายจนโดน อาร์เซน่อล แซงขึ้นมาจบอันดับ 2 อีก
อีกฤดูกาลคือ ซีซั่น 2016-17 ซึ่งพยายามไล่ตาม เชลซี อยู่ และแม้ เคน จะยิงในลีกถึง 29 ประตู แต่มาตรฐานของทีมโดยรวม ก็น้อยว่า ทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ หลายเท่า จนจบฤดูกาลด้วยการเป็นรองแชมป์ ที่โดนทิ้งห่างถึง 9 แต้ม
แกรี่ ลินิเกอร์
ชื่อของ แกรี่ ลินิเกอร์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดกองหน้าของยุโรปในยุค 80 แต่บางทีจุดด่างพร้อยของเขา อาจเป็นการที่เขาเป็นนักเตะที่คว้ารางวัลส่วนตัว มากกว่าความสำเร็จระดับเมเจอร์กับสโมสร
ทั้งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของ PFA, นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักข่าว 2 สมัย, ดาวซัลโวลีกผู้ดียุคดิวิชั่น 1 ถึง 3 สมัย, ดาวซัลโวฟุตบอลโลกปี 1986 และอีกมากมาย ขณะที่ถ้วยรางวัลระดับเมเจอร์ของ ‘มิสเตอร์ไนซ์กาย’ กลับมีเพียง เอฟเอ คัพ กับ สเปอร์ส, คัพ วินเนอร์ส คัพ และ โกปา เดล เรย์ กับ บาร์เซโลน่า เท่านั้น
ลินิเกอร์ อาจได้แชมป์ดิวิชั่น 2 กับ เลสเตอร์ แต่กับแชมป์ลีกในอังกฤษ ก็ดันอยู่ถูกที่แต่ผิดเวลา เมื่อย้ายไป เอฟเวอร์ตัน ในฤดูกาล 1985-86 ที่ยิงในลีกไป 30 ลูก แต่จบด้วยการเป็นรองแชมป์ โดยที่ฤดูกาลก่อนหน้าและหลังจากนั้น ‘ท็อฟฟี่สีน้ำเงิน’ จบด้วยการเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 ทั้งหมด
เฟร์นานโด ตอร์เรส
หากพิจารณาถึงอาชีพค้าแข้งของ เฟร์นานโด ตอร์เรส ก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จไม่แพ้ใคร ไม่ว่าจะเป็นแชมป์ยูโร 2 สมัยกับ แชมป์โลกกับ ทีมชาติสเปน หรือ ถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ เชลซีในปี 2012
แต่ที่น่าเหลือเชื่อสุดๆคือ ‘เอล นินโญ่’ ไม่มีโอกาสได้สัมผัสแชมป์ลีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว และช่วงที่ใกล้เคียงมากที่สุดคือ ตอนที่เขาค้าแข้งกับลิเวอร์พูล และถูกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปาดหน้าคว้าแชมป์ไปในปี 2009 ทั้งๆที่แพ้แค่ 2 นัดเท่านั้น อีกทั้งการย้ายไปเล่นในช่วงบั้นปลายอาชีพกับ ซากัน โตสุ ในแดนปลาดิบ ก็ไม่ได้ช่วยให้มีโอกาสคว้าแชมป์เพิ่มมากขึ้น และแขวนสตั๊ดไปแบบไม่มีรางวัลติดไม้ติดมือ
อูโก้ โยริส
กัปตันทีมชาติฝรั่งเศสอย่าง อูโก้ โยริส เคยคว้าแค่แชมป์เฟร้นช์ คัพ รายการเดียวเท่านั้นในระดับสโมสร ในช่วงที่เฝ้าเสาให้ โอลิมปิก ลียง และแชมป์โลกกับ ‘เลอ เบลอส์’ ในปี 2018 คงเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาแล้ว
ความสำเร็จระดับสโมสรก็ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่นัก หลังย้ายมาร่วมทีมไก่เดือนทองในปี 2012 และเจ้าตัวคงหวังว่าขอคว้าแชมป์ได้ซักรายการเป็นอย่างน้อย ก่อนหมดสัญญากับทีมในปี 2024
ดานิเอเล่ เด รอสซี่
ดานิเอเล่ เด รอสซี่ ถือเป็นตำนานลูกหม้อของ โรม่า ที่เติบโตโดยมี ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ เป็นเหมือนอาจารย์คอยถ่ายทอดวิชาลูกหนังให้ โดยเขาเป็นกัปตัน ที่พาทีมทะลุเข้ารอบตัดเชือกในแชมเปี้ยนส์ลีก หนแรก หลังยุคไร้ต๊อตติ รวมถึงเคยคว้าแชมป์ โคปปา อิตาเลีย ด้วยกัน 2 สมัย (เช่นเดียวกับแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2006 กับทีมชาติอิตาลี) แต่ก็มีอีกถ้วยหนึ่งที่ เด รอสซี่ ไม่เคยได้สัมผัสเช่น ต๊อตติ จนกระทั่งแขวนสตั๊ด
ถ้วยนั้นก็คือ สคูเด็ตโต้ ในฤดูกาล 2000-01 ซึ่งเป็นแชมป์ลีกสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของ จัลโลรอสซี่ โดยที่ ต๊อตติ ในวัย 24 เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าแชมป์ ทว่าความสำเร็จนี้ ดันมาเร็วสำหรับ เด รอสซี่ ในวัย 17 ปี หลังได้ประเดิมชุดใหญ่ในอีกไม่กี่เดือนต่อมาหลังทีมคว้าแชมป์
หลังจากนั้น 18 ปีใน สตาดิโอ โอลิมปิโก้ เด รอสซี่ ก็ต้องเห็นทีมจบด้วยการเป็นอันดับ 2 ถึง 9 ครั้ง ก่อนย้ายไปแขวนสตั๊ดกับ โบคา จูเนียร์ ในฤดูกาล 2019-20
ฆวน มาต้า
หนึ่งในผลผลิดเยาวชนของ เรอัล มาดริด ที่ไม่สามารถเลื่อนมาเล่นในทีมชุดใหญ่ได้ แต่กลับแจ้งเกิดกับทีมอื่น กลายเป็นแข้งตัวหลักของ บาเลนเซีย และคว้าแชมป์ โคปา เดล เรย์ ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่มาเล่นให้ทีมค้างคาวเลย
หลังจาก 4 ปีในถิ่นเมสตาย่า มาต้า ได้ย้ายไปเล่นต่างแดนเป็นครั้งแรกกับ เชลซีในปี 2011 และกลายเป็นตัวหลักประจำทีมอย่างรวดเร็ว แต่ก็ย้ายไปอยู่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเวลาต่อมา หลังไม่ได้โอกาสลงเล่นมากนักในยุคที่ โชเซ่ มูรินโญ่ กลับมาคุมทีม ‘สิงห์บลูส์’ ครั้งที่ 2
แต่ก็น่าประหลาดใจอยู่ไม่น้อยที่แข้งร่างเล็กชาวสแปนิช เคยสัมผัสแชมป์แทบทุกรายการกับ 2 ทีมยักษใหม่ในแดนผู้ดีแล้ว ยกเว้นเพียงแค่แชมป์ลีกที่ มาต้า ทำได้แค่มองดูเท่านั้น
สตีเว่น เจอร์ราร์ด
นักเตะลักษณะนี้ที่หลายคนนึกถึงเป็นคนแรกๆ คงหนีไม่พ้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันทีมลิเวอร์พูล ผู้ได้สัมผัสเกือบทุกแชมป์ในระดับสโมสร ยกเว้น แชมป์พรีเมียร์ลีก
ทริปเปิ้ลแชมป์บอลถ้วยในปี 2001, ปาฏิหาริย์ที่อิสตันบูลในปี 2004 หรือลูกยิงไกลนัดชิงเอฟเอ คัพ ปี 2006 คือความมหัศจรรย์ที่เขาฝากไว้ให้แฟนๆ หงส์แดง ได้จดจำ แต่มันคงจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ หากได้แชมป์พรีเมียร์ลีกมาเชยชม แม้เพียงครั้งก็ยังดี
โอกาสใกล้เคียงที่สุดคือ ฤดูกาล 2008-09 ที่ทีมของ สตีวี่ จี แพ้เพียง 2 ครั้งน้อยสุดในลีก ก็ยังไม่ดีพอกับการเป็นแชมป์ หรือฤดูกาล 2013-14 กับช็อตหล่อลื่นในตำนาน จนโดน เดมบา บา ฉกบอลไปยิงดื้อๆ จนพ่าย เชลซี 2-0 แต่เกมที่เสียหายจริงๆคือนัดต่อมา ที่โดน คริสตัล พาเลซ ตามเจ๊า 3-3 จนโดน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แซงในท้ายที่สุด